เถรี
14-09-2009, 13:25
ช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ ๔ ปีด้วยกัน ใหม่ ๆ เข้าไปอาตมาก็ปิดตัวเอง ไม่อยากให้เพื่อน ๆ รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่งานมาก..ก็เรื่องมาก พอเรียนไป ด้วยความที่อาตมาทำอะไรสม่ำเสมอแล้วได้ผลดี ก็ปรากฏชัดออกมาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มาอยู่ในจุดที่ว่า อาตมาทิ้งห่างเพื่อนไกลมาก พอมาพิจารณาดูตัวเองแล้วว่า ที่ทิ้งห่างเขาไกลเป็นเพราะอะไร พอดูจริง ๆ แล้วอาตมาแทบไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้น แต่คนอื่นเขาถอยหลัง พอคนอื่นถอยหลังต่อให้อาตมาอยู่เฉย ๆ ก็จะห่างกันไปเรื่อย ตรงจุดนี้อยากให้พวกเราทุกคนพิจารณาดูว่า เราเข้ามาปฏิบัติแล้ว มีความก้าวหน้าหรือว่าถอยหลังอย่างไรบ้าง ?
อย่างเมื่อเช้านั่น ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะบวชเสียด้วยซ้ำ จนป่านนี้ก็ยังกลัวตายจนไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วอย่างคนเมื่อครู่นี้ ก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนบวช แต่ก็ได้แค่อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าในการปฏิบัติของบางคนจะมีความสม่ำเสมอ แต่สม่ำเสมออยู่ในระดับไหน ? อยู่ในระดับของทานหรือเปล่า ? อยู่ในระดับของศีลหรือเปล่า ? หรือว่าอยู่ในระดับของการภาวนา แล้วถ้าหากว่าทั้ง ทาน ศีล ภาวนา มีความสม่ำเสมอ คราวนี้ก็ต้องมาวัดกันว่า แล้วมีความก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับกัลยาณชนหรืออริยชนหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นโลกียชน จะเป็นผู้ทรงฌานได้อย่างไร ?
อาตมาถึงได้บอกกับพระที่วัดอยู่เสมอว่า พวกคุณบวชเข้ามาใหม่ ๆ ตั้งใจไว้ว่าอย่างไร ? แล้วตอนนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ? ยังตรงเป้าหมาย ตรงทิศตรงทางที่ตั้งใจอยู่หรือเปล่า ? ก้าวมาได้ระยะทางเท่าไร ? เหลือระยะทางใกล้ไกลอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ? เคยพิจารณาบ้างไหม ? ไม่ใช่พอถึงเวลาบ่นทีด่าทีหนึ่ง ก็รู้สึกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พอเลิกบ่น เลิกด่าก็ละลายหายไปอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่างจากควายเท่าไรนัก โดนปฏักทีหนึ่งก็สะดุ้งทีหนึ่ง พอไม่มีปฏักแทงก็เอ้อระเหยลอยชายไป ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปสู่โรงฆ่าสัตว์หรือมุ่งหน้าไปสู่ทางหลุดพ้นกันแน่..!
อย่างเมื่อเช้านั่น ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะบวชเสียด้วยซ้ำ จนป่านนี้ก็ยังกลัวตายจนไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วอย่างคนเมื่อครู่นี้ ก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนบวช แต่ก็ได้แค่อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าในการปฏิบัติของบางคนจะมีความสม่ำเสมอ แต่สม่ำเสมออยู่ในระดับไหน ? อยู่ในระดับของทานหรือเปล่า ? อยู่ในระดับของศีลหรือเปล่า ? หรือว่าอยู่ในระดับของการภาวนา แล้วถ้าหากว่าทั้ง ทาน ศีล ภาวนา มีความสม่ำเสมอ คราวนี้ก็ต้องมาวัดกันว่า แล้วมีความก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับกัลยาณชนหรืออริยชนหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นโลกียชน จะเป็นผู้ทรงฌานได้อย่างไร ?
อาตมาถึงได้บอกกับพระที่วัดอยู่เสมอว่า พวกคุณบวชเข้ามาใหม่ ๆ ตั้งใจไว้ว่าอย่างไร ? แล้วตอนนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ? ยังตรงเป้าหมาย ตรงทิศตรงทางที่ตั้งใจอยู่หรือเปล่า ? ก้าวมาได้ระยะทางเท่าไร ? เหลือระยะทางใกล้ไกลอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ? เคยพิจารณาบ้างไหม ? ไม่ใช่พอถึงเวลาบ่นทีด่าทีหนึ่ง ก็รู้สึกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พอเลิกบ่น เลิกด่าก็ละลายหายไปอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่างจากควายเท่าไรนัก โดนปฏักทีหนึ่งก็สะดุ้งทีหนึ่ง พอไม่มีปฏักแทงก็เอ้อระเหยลอยชายไป ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปสู่โรงฆ่าสัตว์หรือมุ่งหน้าไปสู่ทางหลุดพ้นกันแน่..!