View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๗
พิชวัฒน์
13-09-2024, 19:45
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๗
JS9TrSSzuSE
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ถ้าเป็นฝรั่งที่ถือโชคถือลาง วันนี้ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันเลย ในเรื่องของฤกษ์ของยามของวันเวลา จะว่าไปแล้วสู้กำลังใจของคนไม่ได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะกำลังใจอ่อน ก็เลยทำให้เรื่องของฤกษ์ยามต่าง ๆ ที่เป็นมงคลภายนอกเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิต
แล้วก็ยังมีความเชื่อผิด ๆ อย่างเช่นว่า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นในชีวิตก็ไปเปลี่ยนชื่อ ไปต่อลายมือ สารพัด ซึ่งความจริงสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นนั่นก็คือกรรมเก่าที่เราทำไว้มาส่งผล แต่ก็มักจะไม่แก้ไขด้วยตนเอง ไปอาศัยหมอดูบ้างหมอเดาบ้าง ยุ่งไปหมด โอกาสที่จะแก้ไขได้ถูกต้องและมีผลก็เลยกลายเป็นเรื่องยาก แล้วก็ทำให้คนส่วนใหญ่ไหลตามกันไป
อย่างในปัจจุบันนี้ที่เขาเรียกกันว่า "สายมู" ก็คือมาจากคำว่า "มูเตลู" สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เป็นหนังจากประเทศอินโดนีเซีย เรื่อง "มูเตลูศึกไสยศาสตร์" ที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งกระผม/อาตมภาพดูตอนนั้นก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะอย่างเช่นว่าคนโดนไสยศาสตร์มา เขาเอากริชเปิดแผลที่ข้างหลัง แล้วก็รีดเป็นตัวหนอนออกมา แต่เรามองเห็นชัด ๆ ว่ามันก็คือเฉาก๊วยหรือวุ้นดำของปักษ์ใต้นั่นแหละ แล้วคราวนี้อะไรที่เป็นไสยศาสตร์ เขาก็เลยใช้คำว่า "สายมู" ก็คือย่อมาจากคำว่ามูเตลูนั่นเอง
เมื่อวานนี้มีเรื่องน่ารำคาญใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น และขณะเดียวกันก็น่าสงสารมาก ก็คืออยู่ ๆ มีไลน์ใหม่เข้ามา เขียนว่า "ผมสรวิชญ์ครับหลวงพ่อ" กระผม/อาตมภาพก็คือเป็นพระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ ผศ.,ดร. จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก็เลยกดรับแล้วก็ส่งหัวใจกลับไปให้
ปรากฏว่าเขายืนยันกลับมาว่า "ผมสรวิชญ์ครับ ไม่ใช่ไอ้ตัวเล็ก..!" ทำให้กระผม/อาตมภาพนึกได้ว่า ถ้าอีกสรวิชญ์หนึ่งก็คือไอ้ท่านหมื่นของเราที่หนีออกจากวัดไปโดยไม่บอกไม่กล่าวนั่นเอง ก็เลยถามว่ามีธุระอะไร ?
เขาตอบกลับมาว่า "หลวงพ่อมีความยินดีในไอ้ตัวเล็กหรือเปล่าครับ ?" กระผม/อาตมภาพก็งงตึ้บ เลยส่งข้อความกลับไปว่า "ผมไม่เข้าใจคำถามของคุณ ?" แล้วเขาก็หายเงียบไปเลย แต่ว่าอีกประมาณชั่วโมง ไอ้ตัวเล็กส่งข้อความมาเป็นร้อยเลย พร้อมกับคลิปบันทึกเสียง ก็คือท่านหมื่นไปคาดคั้นไอ้ตัวเล็กว่า "ได้ทำผิดศีลข้อที่ ๓ หรือเปล่า ?" ถามไปถามมา ได้ความว่าตัวเองปฏิบัติธรรมแล้วไปเห็นเข้า..!
เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เป็นปกติของบุคคลที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว จะมีของแถมที่เกิดขึ้น ก็คือทิพจักขุญาณ การรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ แต่ว่าการรู้เห็นนั้นเราต้องมีสติ โดยเฉพาะอย่าเพิ่งเชื่อ อย่างที่หลายต่อหลายครั้งที่กระผม/อาตมภาพยกตัวอย่างว่า ในสมัยที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ มาธรรมสากัจฉากันหลังกรรมฐาน ท้ายที่สุดทุกคนเหลือคาถาป้องกันตัวบทเดียวเหมือนกันหมด ก็คือ "กูไม่เชื่อ"
คราวนี้ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ถ้าไอ้ตัวเล็กไปผิดศีลข้อที่ ๓ จริง ๆ แล้วพระไปเสือกอะไรกับเขาด้วย..!? ส่วนกระผม/อาตมภาพจะยินดีหรือไม่ยินดีกับเขาที่ไปผิดศีลข้อที่ ๓ ก็เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย ? แล้วสิ่งที่ตัวเองรู้เห็นแล้วไปเที่ยวคาดคั้นคนอื่น ช่วยให้มรรคให้ผลของตัวเองเจริญขึ้นหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายขาดสติตรงนี้ ก็จะโดนจูงเตลิดเปิดเปิงไปเลย
ที่ผ่านมากระผม/อาตมภาพเสียดายอยู่หลายคน อย่างเช่นว่าทิดชาติชาย สมัยนั้นก็คืออดีตพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล ปฏิบัติธรรมแล้วทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก แต่ว่าโดนหลอกจนหลงทาง ปฏิบัติแบบไม่กินไม่นอนเป็นเวลาต่อเนื่องกันทั้งวันทั้งคืนประมาณ ๒ เดือน ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าถ้าไม่มีกำลังสมาธิค้ำอยู่นี่เป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คงจะตายไปแล้ว..!
หลังจากที่ทำเรื่องป่วนไปหมด กระผม/อาตมภาพก็จับส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา โดยที่กำชับกับหมอว่า "ต้องดูแลให้ดีนะครับ เผลอเมื่อไรเขาหนีทันที..!" หมอยังพูดแบบไม่เชื่อถือว่า "ตั้งแต่ผมทำงานมา ยังไม่เคยเห็นคนไข้เก่งกว่าหมอเลย..!"
ปรากฏว่ารุ่งขึ้นโทรศัพท์มา บอกว่าคนไข้หายไปจากโรงพยาบาลแล้ว..! เนื่องเพราะว่าตั้งแต่ตอนที่เขาหนีไปซ่อนอยู่ในโบสถ์ เพื่อไม่ให้กระผม/อาตมภาพและญาติพี่น้องของเขาจับตัว แล้วพี่ชายก็พังประตูโบสถ์ที่เกาะพระฤๅษีเข้าไป ไอ้ทิดของเราซึ่งตอนนั้นเป็นพระเดิน ออกข้างฝาไปเฉย ๆ..! แล้วหมอมึงจะเก่งขนาดนั้นไหม ?
กระผม/อาตมภาพไปค้นในกุฏิของเขา เจอบันทึกที่เขียนทิ้งเอาไว้ มีอยู่วันหนึ่งก่อนที่จะวิปลาสไป เขาเขียนว่า "วันนี้พระมาบอกว่า วาระของมรรคผลมาถึงแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติธรรมที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งเร่งรัดตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีผลมากเท่านั้น"
พออ่านบันทึกตรงนี้กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า ถึงเวลามารจะหลอกเรา เขาบอกความจริง "เกือบทั้งหมด" ถ้ากระผม/อาตมภาพให้ท่านทั้งหลายไปอ่านกันเอง รับประกันว่าเจ๊งแน่นอน..! เพราะเกือบทุกอย่างที่เขาบอกมานั้นใช่หมด ยกเว้นประโยคสุดท้ายที่บอกว่า "ยิ่งเร่งรัดมากเท่าไร ยิ่งได้ผลมากเท่านั้น" ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่..!
การปฏิบัติธรรมนั้นต้องทำพอดี พอเหมาะ พอควร ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ ตลอดจนกระทั่งบารมีที่สั่งสมมา ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งแบกข้าวสารได้ ๑๐๐ กิโลกรัม เราจะไปแบกได้เท่าเขา นั่นไม่ใช่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การรู้เห็นถ้าหากว่าเราขาดสติและขาดปัญญา จะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก..!
อีกรายหนึ่งก็เป็นไอ้ทิด แล้วขณะเดียวกันก็มีโยมที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นก็อยู่ที่เกาะพระฤๅษี พวกเขามาถามกระผม/อาตมภาพว่า "ไหนที่หลวงพ่อบอกว่า ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมถึงที่สุดแล้วต้องตายภายใน ๗ วัน พวกเขาทำได้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะตายเลย..!" ก็คือทั้งสองท่านนั้นปฏิบัติอยู่ในลักษณะที่ว่าดีมาก สามารถทรงฌาน ๔ ต่อเนื่องได้เป็นเดือน ๆ ไม่ต้องถึงฌาน ๔ หรอก แค่ปฐมฌานละเอียด ท่านทั้งหลายก็กด รัก โลภ โกรธ หลง ดับสนิทชั่วคราวได้อยู่แล้ว หลายท่านแค่เข้าถึงปฐมฌานละเอียดคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ แล้วเจ้าสองตัวนั่นทรงฌาน ๔ ได้ มีหรือที่จะไม่คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ?!
แล้วถ้าถามว่าปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? สองคนไปมีลูก ๕ คน..! เพราะไปโดนหลอกว่า มีความสามารถขนาดนี้ควรที่จะช่วยเหลือทั้งพระพุทธศาสนาและโลกของเรา ด้วยการสร้างสุดยอดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ตอนนั้นยังไม่มี X-Men ยังไม่มีจักรวาลมาร์เวล แต่เขาโดนหลอกล่วงหน้าไปแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดว่า "ในเมื่อกูเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมกูถึงต้องมาผลิตลูกอีก ?" ปัจจุบันก็เลยต้องเลี้ยงลูก ๕ คน หน้ามืดตาลายไป แล้วก็ยังไม่เห็นว่าไอ้มนุษย์พันธุ์ใหม่ทั้ง ๕ คนจะช่วยอะไรโลกได้เลย..!
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวิปลาส ก็คือความเข้าใจผิด ความหลงผิด ไปเชื่อในนิมิตที่ตนเองเห็น โดยทั่ว ๆ ไปส่วนหนึ่งก็คือเห็นตัวเลข เห็นแล้วถ้าหากว่าไม่ซื้อไม่หา ไม่สนใจ ก็จะออกตรงตามนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านซื้อเมื่อไร จากประสบการณ์ของกระผม/อาตมภาพเอง ซื้อ ๓ ตัวจะมาแค่ ๒ ซื้อ ๒ ตัวจะมาแค่ ๑ ถ้าหากว่าเห็น ๑ ตัวแล้วซื้อไม่มาเลย..! ก็คือกวนตีนเราเล่นอย่างนั้น..! แต่กระผม/อาตมภาพเห็นหนักกว่านั้นอีก เห็นครบรางวัลที่ ๑ ทุกตัวเลย เพียงแต่หาซื้อไม่ได้ ถ้าให้รางวัลมาอื่นก็อาจจะหลงตามไปเหมือนกัน..!
การที่หลายต่อหลายท่านเราจะเห็นว่าเขาให้หวยแม่นมาก แต่ได้ไม่กี่งวด เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าเรื่องออกสื่อเมื่อไร คนจำนวนมากจะซื้อตาม แล้วแต่ละคนนั้นกำลังของบุญของทานไม่เท่ากัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษารุ่นเก่าเขาเรียกว่า "ตัวเลขจะเคลื่อน" ก็คือจะไม่ตรงกับที่รู้เห็นมา แล้วตัวเองยิ่งไปตะเกียกตะกาย จะให้รู้เห็นเหมือนเก่า ท้ายที่สุดก็วิชาเสื่อมหมด
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่พวกเราพึงสังวรเอาไว้ว่า การรู้เห็นนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นของดี เพราะว่าส่วนหนึ่งเราไม่สามารถที่จะทำใจให้ไม่สนใจกับนิมิตได้ แล้วนิมิตนี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าอัศจรรย์ คือเรายิ่งไม่สนใจก็จะยิ่งชัดเจนมาก ถ้าหากว่าจำเป็นต้องสนใจก็อย่าเพิ่งเชื่อถือตามนั้น
โดยเฉพาะใครที่ฝึกมโนมยิทธิมา กระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์โหดที่บอกต่อพวกเราอยู่บ่อย ๆ ว่า เรื่องที่ ๑ ถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่ ๒ จะถูกตามนั้น เรื่องที่ ๑ เรื่องที่ ๒ ถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่ ๓ จะถูกตามนั้น รับรู้เอาไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นไปตามนิมิตก็ขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์เมตตามาทำให้เห็น ถ้าหากว่าไม่ถูกไม่ต้องอะไรเลย ก็เป็นเรื่องปกติ หลับตาอยู่จะไปรู้เห็นอะไรได้ ?
เพียงแต่ว่าเสียดายที่ท่านหมื่นซึ่งก่อนหน้านี้อยู่กับพวกเรา ก็คือเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ท่านเคยขอไปอยู่กับหลวงพ่อปานฑบที่สำนักสงฆ์ธรรมปีติ ที่พุล่อมาแล้วรอบหนึ่ง กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไปได้เลย แล้วไม่ต้องกลับมา" ท่านคิดอย่างไรก็ไม่รู้ ? กลับมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แต่ปรากฏว่าพอส่งไปฝึกพระวิปัสสนาจารย์ ก็หายเงียบไปเลยโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วอยู่ ๆ ก็ติดต่อกลับมาพร้อมกับเรื่องปวดกะโหลกที่เกิดขึ้น
เมื่อไอ้ตัวเล็กส่งข้อมูลมากมายมหาศาลมาให้ว่าท่านออกในทำนองเพี้ยน ๆ ก็คือใช้คำว่า "อย่ามายุ่งกับผมอีก" เขาไปยุ่งกับท่านตอนไหนก็ไม่รู้ ? กระผม/อาตมภาพก็เลยรำคาญบล็อกไปเลย ถ้าหากว่ามาที่ไลน์ของใครก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.