เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๒


เถรี
09-09-2009, 00:45
หลวงพ่อกล่าวว่า "ปัจจุบันนี้เท่าที่มองเห็นในเรื่องการศึกษา ส่วนใหญ่สักแต่ว่าเรียนให้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะเอาความรู้อะไรเลยจริง ๆ ในเมื่อแต่สักให้เรียนผ่านไปเฉย ๆ พวกวิชาการต่าง ๆ มันก็จะอ่อนลงไปทุกวัน ถ้าหากเปรียบเทียบสถิติในเรื่องการศึกษาเราสู้ใครไม่ได้หรอก พวกที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกมาถือว่าเป็นอัจฉริยภาพเฉพาะตัวของเขา ภาพรวมนี่มันห่างไกลประเทศอื่นมากเหลือเกิน

ตั้งแต่ใช้ระบบสอบซ่อมขึ้นมา เด็กไม่ให้ความสนใจในการสอบเลย เพราะว่าตกก็ซ่อมได้ เขาก็เลยไปสนใจเรื่องอื่นแทน ในเมื่อไม่ให้ความสนใจไม่ให้ความสำคัญ แล้วมันจะเอาความสามารถที่แท้จริงมาจากไหน"

"พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ต่อไปสัญญาและปัญญาของคนจะทรามลงไปเรื่อย มันเป็นเรื่องจริง"

เถรี
09-09-2009, 01:20
หลวงพ่อเล็กท่านเล่าให้ฟังว่า เวลาท่านเรียนท่านทุ่มให้สุดตัว ชนิดที่ว่าถ้าอาจารย์ความรู้ไม่แน่นจริง โดนซักขึ้นมาแทบจะหอบผ้าหนีไปเลย และด้วยความเคยชินของท่าน งานทุกอย่างเวลาทำแล้วต้องดี ยิ่งอาจารย์ท่านใดมีการตำหนิแล้วให้แก้ไข หลวงพ่อก็จะชอบมาก เพราะจะได้รู้ว่าตนมีข้อบกพร่องตรงไหน

นอกจากนี้ท่านยังบอกว่า ตอนเรียนปริญญาตรีเทอมแรก พวกรุ่นน้องเดินถือแฟลชไดร์ทมาเป็นแถว มาขอก๊อปตัวอย่างรายงานจากท่าน (อาจารย์สั่งให้ทำ) หลวงพ่อบอกว่า รายงานของท่านที่ทำไป ยังคิดว่ามันไม่ดีด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าดีที่สุดให้เขามาเลียนแบบ

"ตอนที่ย้อนกลับไปอ่านก็เห็นข้อบกพร่องในรายงานเยอะแยะ แต่มันดันกลายเป็นดีที่สุดให้เขามาเลียนแบบ เพราะว่าตอนที่เราเรียนไม่ว่าอยู่ในระดับใดก็ตาม มุมมองที่เราเรียนจะไม่กว้างพอ ในเมื่อมุมมองไม่กว้างพอ ความคิดไม่เป็นระบบพอ งานมันออกมาดีแค่ไหน มันดีแค่ระดับนั้น พอเราก้าวพ้นแล้วมาตรวจดู ก็จะมาคิดว่า ก่อนหน้านั้นเราทำไปได้อย่างไร"

เถรี
09-09-2009, 04:12
ท้ายสุดท่านกล่าวว่า "ถ้าถามว่าการเรียนที่ผ่านมามันมีประโยชน์หรือเปล่า......มีประโยชน์มาก แต่ว่าส่วนใหญ่มันเป็นประโยชน์ทางโลก แต่ถ้าจะเอาประโยชน์จากการปฏิบัติ มันเฉพาะตัวของใครของมัน ก็คือ ใครสามารถรักษาอารมณ์ได้ขณะที่เรียน ก็เท่ากับว่ากำลังปฏิบัติอยู่ในตัวอยู่แล้ว

จากที่เรียนมาด้วยกันสี่ปี เพื่อนมันจะเห็นข้อต่างไปเรื่อย ๆ เพราะของเราเสมอต้นเสมอปลาย แต่ของเขานี่ถอยไปเรื่อย กลายเป็นว่าต่อให้ไม่มีอะไรก้าวหน้าเลยก็ตาม ระยะห่างมันจะทิ้งห่างไปเรื่อย เพราะเพื่อนเขาถอยหลัง ฉะนั้นการเรียนนี่ ประโยชน์ทางธรรมมีน้อย ยกเว้นสามารถรักษากำลังใจตัวเองเอาไว้ได้"

เถรี
09-09-2009, 04:13
ถาม : เรื่องการสึกนี่ จะสึกตามฤกษ์สะดวกจะได้ไหม
ตอบ : จริง ๆ ถ้าบวชไม่ต้องมีฤกษ์ แต่สึกจะต้องมี เพราะว่าการสึก คือ การจากที่เย็นไปสู่ที่ร้อน

เถรี
09-09-2009, 04:15
หลวงพ่อบอกว่า "วันที่ ๔ ตุลาคม เป็นวันออกพรรษา วันที่ ๕ ตุลาคม ตักบาตรเทโว สนุกไปกันใหญ่ พวกเราเตรียมตัวไปตักบาตรเทโวด้วยแล้วกัน ตักบาตรเทโวที่วัดท่าขนุน จะเป็นงานใหญ่ของอำเภอ"

เถรี
09-09-2009, 12:34
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่องคาถาเงินล้านเยอะ ๆ คาถาเงินล้านจะมีคาถาปัดอุปสรรคด้วย ช่วยให้สำเร็จด้วย และเกี่ยวข้องกับเรื่องลาภผลโดยตรง ท่องให้ได้วันละ ๑๐๘ จบ หรือมากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอทุกวัน อย่างเช่นถ้าเราทำ ๑๐๘ จบ ก็ต้อง ๑๐๘ จบทุกวัน ถ้าทำสักสองเดือนติดกันแล้วทุกอย่างจะคล่องตัว แต่ว่าต้องท่องแบบคุณภาพนะ ไม่ใช่เร่งให้จบ

ทำเป็นกรรมฐานไปเลย เช้าสัก ๓๖ จบ
กลางวัน ๓๖ จบ
เย็น ๓๖ จบ มันจะได้ไม่หนักเกินไป

ถาม : แล้วที่อยู่ที่เดิม
ตอบ : ถ้าหากมันมีความคล่องตัว อยู่ที่ไหนมันก็อยู่ได้

เถรี
09-09-2009, 13:12
ถาม : (สอนหนังสือเด็กแล้วเด็กไม่สนใจเรียน)
ตอบ : เข้าใจคำว่าสอนกระดานดำไหม ว่าของเราไปเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจะคุย จะเล่นอะไรเรื่องของเขา ถึงเวลาข้อสอบออกมาแล้วเขาจะรู้เองว่าเจออะไรบ้าง

ถาม : คือทางโรงเรียนเขาให้เราช่วยเหลือด้วย
ตอบ : ช่วย.....แต่ช่วยด้วยการซ่อมสัก ๔ รอบ แล้วเด็กมันจะจำเราไปจนวันตาย สอนเหมือนกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ด้วย ทำแบบนั้น

ถาม : แต่คนที่ตั้งใจเรียนเขาก็ตั้งใจค่ะ
ตอบ : ใช่ คนที่เขาสนใจเขาจะได้ ส่วนคนที่ไม่สนใจต่อไปก็เกิดโทษแก่ตัวเขาเอง ไม่ใช่เรา

ถาม : แต่คนที่ไม่สนใจ เขาก็จะไม่สนใจเลย
ตอบ : เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา คะแนนออกมาแล้วเขาจะรู้บทเรียนเอง

ถาม : ถ้าบังคับ
ตอบ : ไม่ต้องบังคับ เขาจะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา ก็บอกแล้วว่าเราสอนกระดานดำของเราไป แต่ถ้าเขาสอบตก ก็ให้เขาซ่อมไปเรื่อย ติด ร. ไปเรื่อย อย่างน้อยให้ซ่อมสัก ๔ ครั้งแล้วค่อยปล่อยผ่าน แล้วมันจะเข็ดเอง

ถาม : แล้วอย่างนี้ทางโรงเรียนเขารู้ เขาก็จะมองว่าเราสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ตอบ : เราสอนมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการคนอย่างเรา เราก็ไปหาที่อื่นต่อ

ถาม : ใจหนูอยากจะช่วยพวกเขาค่ะ อย่างคนที่เขาตั้งใจ
ตอบ : ก็ถ้าเราสอนของเราไปอย่างเต็มที่ คนดีก็จะได้ของเขาไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกังวลกับเขา ทำแค่ที่ทำได้ ไม่ใช่ว่าไปแบกโลกทั้งโลก ประเภทป้อนอาหารถึงปากแล้วบ้วนทิ้ง แถมยังพ่นใส่หน้าเราด้วย แล้วยังจะไปป้อนมันอีกหรือ ก็เอาคนที่มันกินสิ พูดง่าย ๆ ว่าทั้งห้องถ้ามีคนสนใจเรียนเพียงแค่ ๑ คน ก็พอแล้ว

ถาม : แต่อาจารย์ที่นั่นเขาบอกว่าอย่าไปซีเรียสกับเด็กนัก ก็คือ...
ตอบ : ก็ใช่ ถึงได้บอกว่าไม่ต้องซีเรียส

ถาม : เขาบอกว่าสอนแค่ครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว อย่าไปยัดให้เต็มเวลา แล้วคนที่ดี ๆ......
ตอบ : เราสอนของเราไป เอาสักครึ่ง อย่างเช่นว่าชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อยแล้วค่อยปล่อย อาตมาเองก็สอนครึ่งเวลาแล้วค่อยปล่อย

ถาม : แต่หนูโดนผู้ใหญ่ตักเตือนมาว่า อย่าปล่อยก่อนเวลา
ตอบ : ถ้าเด็กมันต่อรองก็บอกว่า อาจารย์โดนมาแล้ว เขาด่ามา เพราะฉะนั้นปล่อยก่อนไม่ได้หรอก พวกเธอจะทำอะไรก็เชิญ

เถรี
09-09-2009, 13:17
หลวงพ่อบอกว่า "เดือนที่แล้วนอกจากจะมีแต่คนแห่ไปไหว้พระอุปคุตแล้ว ยังมีจดหมายส่งมาอีกว่า ขอรายการวัตถุมงคลที่เป็นพระอุปคุตทุกแบบ พร้อมราคาด้วย

จะเห็นได้ว่าแรงโฆษณานี่มันรุนแรงมาก"

เถรี
09-09-2009, 13:45
หลวงพ่อก็กล่าวว่า "จริง ๆ ในเรื่องของอาหารถ้าเรามีวินัยตัวเอง อย่างโบราณเขาบอกว่ากินแค่รู้รส แต่ส่วนใหญ่แล้วห้ามใจไม่อยู่ เคยมีเด็กคนหนึ่ง ซื้อขนมปังไส้สัปปะรดใส่โหลให้เขา มันกินจนหมดเกลี้ยง ทั้ง ๆ ที่ คนทั่วไปกินสัก ๕-๖ ชิ้นกรอกน้ำตามไป มันอิ่มแน่ แต่นี่กินหมดโหลเลย นั่นแสดงว่าเขาห้ามปากตัวเองไม่ได้ "

เถรี
10-09-2009, 14:01
มีคนมากราบเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำบายศรี หลวงพ่อเล็กได้กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ตำราการทำบายศรีของหลวงพ่อ(ฤๅษี) ไปกันใหญ่ ก็เพราะว่าคนทำมันไม่รู้ เติมนั่นเติมนี่ตามใจเยอะ

ข้าวสุกหรือข้าวสวยมันอยู่ในบายศรีปากชามอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเรื่องของถั่วเขียวคั่วเป็นของสำหรับบายศรีตั้งศาลพระภูมิ

บางท่านก็จะมีทองหยิบฝอยทอง ซึ่งอันนั้นเขาบวงสรวงกรมหลวงชุมพรโดยเฉพาะ

หลายท่านก็มีขนมจีนมาด้วย ถ้าขนมจีนน้ำพริกก็เป็นการบวงสรวงกรมหลวงชุมพร แต่ถ้าหากเป็นขนมจีนทั่วไป จะเป็นน้ำพริกน้ำยาอะไรก็ตาม เขาใช้สำหรับทำการบวงสรวงเฉพาะในวัดเท่านั้น เพราะว่าหลวงปู่ขนมจีนท่านขอเอาไว้

บางท่านก็เล่นปลาช่อนแป๊ะซะเสียด้วย ถ้าหากบวงสรวงมีได้ก็ดี แต่ถ้าหากมีศาลเจ้าที่อยู่ก็ตั้งที่ศาลเจ้าที่เลย เพราะว่าปลาแป๊ะซะนี่เจ้าที่เขาขอให้เป็นสัญลักษณ์

บายศรีนั้นมีกำลังเท่าไร....ทำเท่านั้น ไม่ใช่ไปจำกัดว่าต้องเป็นสามชั้น ห้าชั้นอะไร อย่างนั้นมันไม่ใช่"

เถรี
10-09-2009, 14:05
ถาม : พักหลังนี่ภาวนาแล้วเครียด ๆ แล้วก็ปวดตรงตา
ตอบ : กำหนดรู้แล้วก็ผ่อนคลาย

ถาม : ต้องทำกรรมฐานกองไหน
ตอบ : ให้กำหนดดูที่ศูนย์กลางกายแทน อย่าไปกำหนดไว้ตรงหน้า ถ้ากำหนดไว้ตรงหน้า....เผลอใช้สายตาแล้วมันจะเครียด กำหนดตามลมไปให้มันอยู่ตรงที่สุดลม ให้มันนิ่งไว้

ถาม : ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพพระใช่ไหม สั่งจิตวางไว้
ตอบ : ไม่ต้อง สั่งจิตวางไว้เฉย ๆ หรือจะกำหนดเป็นลูกแก้วอะไรก็ได้

เถรี
10-09-2009, 14:08
หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงหลวงพ่อวิรัชว่า "พี่วิรัชจะว่าไปแล้ว ท่านน่าจะมีอานิสงส์อย่างพระอานนท์ พระอานนท์อุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้ามานาน ถามว่าก่อนนั้นมีคนอุปัฏฐากไหม.....มี แต่ว่าท่านอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าไม่นาน

อย่างพระจุนทะเถระก็เคยอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พระเมฆิยะก็เคยอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าแต่ว่าทิ้งไป ทิ้งเลย เพราะว่าท่านเห็นที่ที่เหมาะใจในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าเพิ่งไปเลย แต่ว่าท่านไม่ฟัง ท่านวางบาตรและสังฆาฏิของพระพุทธเจ้าไว้ แล้วก็ไปปฏิบัติของท่าน พระพุทธเจ้าก็ต้องถือบาตรและสังฆาฏิเสด็จไปเอง

พอพระอานนท์บวชเข้ามา พระสงฆ์ท่านก็เลยลงมติให้พระอานนท์รับหน้าที่อุปัฏฐาก พระอานนท์จึงได้ขอพร ๘ ประการ อย่างเช่นว่า อย่าประทานผ้าไตรจีวรดี ๆ ให้ อย่าพาท่านไปในที่ที่นิมนต์ด้วย เพื่อป้องกันคนอื่นว่าท่านรับหน้าที่เพราะเห็นแก่ลาภ แล้วอย่างข้อที่ว่าถ้าไปเทศน์ที่ไหนขอให้มาเทศน์ซ้ำให้ท่านฟังด้วย ข้อนี้เพื่อป้องกันว่าถึงเวลาเขาถามแล้ว ท่านตอบไม่ได้ คนจะตำหนิว่าอยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเสียเปล่า แค่นี้ก็ไม่รู้ แล้วท่านก็ทำหน้าที่มาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าท่านบอกพระอานนท์ว่าในกาลต่อไปข้างหน้าชาวบ้านจะศรัทธามาก เพราะว่าได้อุปัฏฐากใกล้ชิดมาก่อน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก สามารถที่จะกล่าวสอนธรรมได้เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าว ท่านจำได้หมด แล้วคนก็จะติด

อย่างพี่วิรัชคนจะให้การสนับสนุนมาก เพราะท่านเคยใกล้ชิดหลวงพ่อมาก่อน"

เถรี
10-09-2009, 14:10
ถาม : พระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ ทำไมเดี๋ยวนี้จึงมีมาก
ตอบ : ก็ต้องถามสิ ว่าทำไมคนถึงรู้จักมากขึ้น

ถาม : คนรู้จักมากขึ้น ?
ตอบ : หลายส่วนทำขึ้น เมื่อหลายส่วนทำขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเดี๋ยวนี้เครื่องมันผลิตได้ง่ายจะตายไป แต่ถ้าหากใจเรายึดมั่นก็เหมือนของจริง สำคัญตรงว่าเราระลึกนึกถึง แต่ถ้าเราไม่ระลึกนึกถึง มีแต่ความลังเลสงสัย ต่อให้เป็นของจริงก็เหมือนของปลอม แต่ถ้าเราระลึกนึกถึงด้วยความเชื่อมั่น ด้วยความศรัทธา ของปลอมก็เหมือนของจริง

เถรี
10-09-2009, 14:11
ถาม : กรรมที่เราไม่เจตนา ที่เป็นวิบาก อย่างนี้เราจะแก้ไขอย่างไรครับ

ตอบ : ถ้าเป็นไปได้ขอขมาโดยตรงเลย ถ้าหากว่าไม่ได้ก็สร้างทาน ศีล ภาวนาให้มากเข้าไว้ เดี๋ยวมันตามไม่ทัน เพราะว่าไม่ได้เจตนานี่แรงมันน้อย มันต้องรอกรรมอื่นแสดงผลแล้ว มันจึงโผล่

เถรี
10-09-2009, 14:13
ถาม : เวลาถวายสังฆทาน ยกพระพุทธรูปมาวาง ควรหันหน้าพระพุทธรูปไปทางด้านไหน
ตอบ : ยกมาถวายให้ถึงที่ก็สมควรแล้ว มันอยู่ที่เขาสบายใจ บางคนก็สบายใจว่าหันหน้าให้ผู้รับ บางคนก็สบายใจว่าหันหน้าให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นอันไหนสมควรกว่ากันไม่ต้องคิดถึง คิดถึงอย่างเดียวว่าให้ถึงมือพระก็ใช้ได้แล้ว

เถรี
11-09-2009, 14:10
ตอนนี้วัดท่าขนุนได้กลายเป็นศูนย์ฝึกอบรมการปฏิบัติธรรมแล้ว ช่วงที่ผ่านมาทางวัดได้ฝึกอบรมการปฏิบัติให้กับทางผู้คุมเรือนจำ มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงพ่อท่านได้เล่าเกี่ยวกับการบรรยายธรรมให้ฟังว่า

"วันสุดท้ายบอกเขา (ผู้คุมเรือนจำ) ให้เอาธรรมะทั้งหมดที่บรรยายมาไปประยุกต์ใช้ให้ได้ โดยเฉพาะตัวพรหมวิหาร ขอให้คิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ต้องขังเพราะทำผิดมา

เนื่องจากการตัดสินของศาลนั้นเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏเฉพาะหน้าเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะถูกหรือไม่ถูก แต่ละคนถ้าหากเขาทำชั่ว ทำผิด ในระหว่างที่เขาต้องโทษ ก็คือ เขากำลังชดใช้อยู่แล้ว ถ้าหากเราไปซ้ำเติมเขามันจะเกิดโทษแก่ตัวเราเอง"

เถรี
11-09-2009, 14:15
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่คบกับพวกวงการพระเครื่อง เพราะว่าโดนมันเล่นซะเจ็บเลย

ตอนนั้นท่านสั่งสร้างพระปิดตา ต.ช.ด. รุ่น ๑ เป็นพระปิดตาเล็ก ๆ เหมือนกับสามเหลี่ยมแต่ว่าตัดเหลี่ยม สั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ เยอะมากเลยในสมัยนั้น ปรากฏว่าเขา (แอบ) ปั๊มเกินเป็นเท่าตัว หลวงพ่อท่านก็เลยสั่งระงับ พิธีพุทธาภิเษกก็ยกเลิกไปเลย แล้วหนังสือพิมพ์ก็ไปตีข่าวว่า "ฤๅษีลิงดำทราบด้วยญาณว่า มีการปั๊มเกินจำนวนมาก จึงสั่งระงับการสร้างปิดตา ต.ช.ด." พอเรื่องเงียบหลวงพ่อท่านก็สั่งเอามาพุทธาภิเษกแจกเขา ปั๊มเกินไปหนึ่งเท่า

สมเด็จคำข้าวและสมเด็จหางหมากก็ลักษณะนั้น เขานัดส่งงานแล้วเลื่อนออกไปสองเดือน ลองคิดดู...แม่พิมพ์ ๑๓ ตัว สองเดือนเขาปั๊มได้เท่าไหร่ ผงก็ของเรา เนื้อก็ของเรา พิมพ์ก็ของเราอีกต่างหาก จะไปหาจุดตำหนิของปลอมได้ที่ไหน

ถ้าหากหลวงพ่อคบหากับพวกตลาดวัตถุมงคล ชื่อเสียงท่านจะดังมากกว่านี้อีก แต่ว่าที่ท่านไม่เอาก็เพราะว่าคนจะมาเพราะเครื่องรางของขลัง ไม่ได้มาเพราะธรรมะ แบบเดียวที่ไปวัดท่าขนุนแล้วไปถามว่า พระอุปคุตรุ่นนี้ราคาเท่าไหร่ จ้องจะไปเอาวัตถุมงคลกันอย่างเดียว"

เถรี
11-09-2009, 14:19
ถาม : สติในสัมโพชฌงค์กับสติธรรมดา ต่างกันอย่างไร
ตอบ : จริง ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสติในสัมโพชฌงค์เป็นสติที่มุ่งมั่นเพื่อการหลุดพ้นโดยตรง สติทั่ว ๆ ไป อาจจะเป็นสติสัมปชัญญะ การระลึกได้ จะว่าไปก็คือสติตัวเดียวกัน เพียงแต่ว่าเน้นหรือไม่เน้นเท่านั้นเอง

ในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ท่านบอกวิธีการปฏิบัติ จะมี อาตาปี ก็คือ เพียรเพ่ง สร้างตบะในการแผดเผากิเลส สัมปชาโน มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ สติ มีความระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรเฉพาะหน้าอยู่

เถรี
11-09-2009, 14:23
ถาม : คาถาที่หลวงพี่บอกให้ท่อง....
ตอบ : แสดงว่าเราไม่ได้เรื่อง ใช้คำภาวนา มันไม่ใช่ท่อง ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ตัวคาถาไม่ใช่สักแต่ว่าท่อง ๆ ให้มันคล่องปากไป คาถามันจะมีผลต่อเมื่อสมาธิทรงตัว ไม่ใช่เราท่องไปเรื่อยเปื่อยไม่มีสมาธิ แล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร ไปทำใหม่ ใช้คำว่าภาวนาคาถา ไม่ใช่ท่อง

เถรี
11-09-2009, 14:27
ถาม : หนูอยากถามว่าการกินเจเป็นการละเว้นสัตว์หรือไม่
ตอบ : ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์ก็เท่ากับว่าเป็นการงดเว้น

ถาม : แล้วมันดีไหม
ตอบ : ดีไหม...ก็ต้องดูว่าถามแง่ไหน ถ้าแง่ในทางโลก คนที่อายุไม่ถึง ๑๘ ปีไม่ควรกิน

ถาม : แล้วเจเป็นมังสวิรัติหรือเปล่าคะ
ตอบ : จริง ๆ แล้วเจกับมังสวิรัตมันความหมายเดียวกัน เพียงแต่ว่าอาหารเจบางอย่างเขาไม่งดเว้น เพราะว่าเขาไปถือเอาตามวรรณกรรมของจีน เช่น อาหารเจเขาไม่งดเว้นหอยนางรม เขาเชื่อว่าครั้งหนึ่งที่มีพระถังซำจั๋งอดอาหาร แล้วเฮ่งเจียหาให้ไม่ได้ ก็อธิษฐานเอาไม้กระบองกวน ๆ อยู่ในทะเล ว่าถ้ามีอะไรติดขึ้นมาก็ถือว่าเป็นอาหารเจ ปรากฏว่ามีหอยนางรมติดขึ้นมา เขาก็เลยถืออย่างนั้น แต่ว่ามังสวิรัติงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกประเภท

เพียงแต่ว่าอายุยังน้อยร่างกายยังต้องการสารอาหารอยู่ ถ้าหากว่าไปกินเจซะทีเดียว บางทีก็ขาดสารอาหารบางส่วนเหมือนกัน ทำให้เวลาอายุมากแล้วกระดูกจะเสียได้ง่าย เมื่อครู่ถามว่าเรามุ่งเอาประโยชน์ด้านไหน ถ้าถามในเรื่องทางโลกมันก็คือข้อบกพร่องอยู่ ในเรื่องของทางธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม
ท่านบอกว่าเนื้อสัตว์นั้นถ้าหากไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ก็กินได้

ถาม : แล้วการที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นการที่เรากินเพราะเขาฆ่าเพื่อเราหรือคะ
ตอบ : ถ้าเราไม่กินเขาก็ฆ่าอยู่ดี แต่ว่าขอให้ดูนะ ดูตัวอย่างคนอินเดีย คนอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูจะเป็นมังสวิรัติโดยอัตโนมัติเลย ตัวเขาเท่าตึก เวลาจะคุยเราต้องแหงนคอมอง นั่นเขาเป็นมังสวิรัติตั้งแต่เด็กเลย แต่ว่าเขากินพวกถั่ว พวกงา พวกนมแทน ก็แปลว่ามันต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนด้วย ถ้าจะเป็นมังสวิรัติก็กินแบบฮินดูเขา

เถรี
11-09-2009, 14:29
ถาม : เรื่องการภาวนา
ตอบ : ถ้ากำลังใจมันไม่มีคุณภาพ ผลมันก็จะน้อย เพราะฉะนั้นกำลังใจต้องมีคุณภาพ จับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ จัง ๆ ถ้าถามว่าเอาคุณภาพขนาดไหน เอาแค่ว่าไม่ต้องบังคับมันก็รู้ลมอัตโนมัติ

เถรี
11-09-2009, 14:32
ถาม : ตอนเด็ก ๆ เขาจะไม่หลับ เขาจะมีความรู้สึกว่าตัวเขาหลุดลอยออกจากร่างไปค่ะ
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่ใช่ป่วย ก็ถอดจิตออกไป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเรื่องปกติ แล้วตอนนี้ยังเป็นหรือเปล่าจ๊ะ (ผู้หญิงคนนั้นตอบว่าไม่เป็นแล้ว)

ถ้าตอนเป็นเด็กจิตมันยังบริสุทธิ์อยู่ สิ่งที่เคยทำได้ในอดีตมันก็มา พอโตขึ้น....รักโลภโกรธหลงเกิดขึ้น มันก็ไปกลบไปบังตรงนั้นเสีย ทำให้ความสามารถส่วนนี้ของเราหายไป ไม่เช่นนั้นถ้ารักษาไว้ได้ เรื่องถอดจิตไปเที่ยวภพภูมิต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย

เถรี
11-09-2009, 14:33
ถาม : เขาแปลกมาก มักมีพวกองค์เจ้าเข้าทรงเข้ามาทักเขา
ตอบ : ปล่อยให้เขาทักไป พวกนั้นไม่มีอะไรจะทำ ทักไปเรื่อย อาตมามันยังทักเลย อย่าไปสนใจ ฟังไว้เฉย ๆ ก็พอ มัวแต่ไปยินดียินร้ายตามมันเดี๋ยวก็เพี้ยนหรอก

เถรี
11-09-2009, 14:36
ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ตอบ : นั่งดูลมหายใจเข้า-ออก ใช้คำภาวนาว่าพุทโธก็ได้ หายใจเข้าก็พุท หายใจออกก็โธ

ถาม : สวดมนต์ด้วยหรือเปล่าคะ
ตอบ : ถ้าสวดมนต์ได้ก็ดี คราวนี้ตอนที่หายใจเข้า-ออก ให้ความรู้สึกทั้งหมดมันอยู่ที่ลมหายใจ มันหายใจเข้าก็กำหนดความรู้สึกไหลตามมันเข้าไป มันหายใจออกก็กำหนดความรู้สึกไหลตามมันออกมา ถ้ามันคิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ทิ้งมันเสีย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว พยายามทำให้ได้

ถ้าหายใจเข้าก็พุท หายใจออกก็โธ ไม่คิดอะไรเลย นับ ๑
พุทเข้า โธออก ไม่คิดอะไรเลย ก็นับ ๒ ไล่ไปเรื่อย
ถ้ามันคิดเมื่อไหร่ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ดูซิว่านับได้ ๑๐ โดยไม่คิดอะไรเลยใช้เวลานานเท่าใด สองชั่วโมงเอาอยู่ก็เก่งแล้ว กลัวว่าพุท ไม่ทันจะโธ มันจะคิดไปทุกเรื่อง

เถรี
12-09-2009, 12:49
หลวงพ่อได้พูดเกี่ยวกับเรื่องการบนไว้ว่า "เรื่องการบน ถ้าไม่จดไว้ก็ลำบาก บางทีมันลืม

คุณชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ เคยเล่าให้ฟัง เพื่อนเขาไปล่าสัตว์ และก็ไปบนเจ้าพ่อตาหินช้างไว้ สำหรับเจ้าพ่อตาหินช้าง ถ้าเราขับรถวิ่งลงทางใต้ไปแถวชุมพร เราจะเห็นว่ามีอยู่ที่หนึ่ง ที่มันเป็นภูเขาอิงถนนอยู่ จะมีรถจอดอยู่เยอะมาก และจะมีคนลงไปจุดประทัดแก้บน

เพื่อนเขาบนเจ้าพ่อตาหินช้างว่า ถ้าเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง เข้าป่าแล้วขอให้เขาได้เจอกระทิงและได้ยิง ปรากฏว่าพอบนเสร็จยังไม่ทันจะขยับรถเลย ตรงพุ่มไม้เล็ก ๆ กระทิงตัวเกือบเท่าช้างโผล่มา แกก็ตกใจ ตาลีตาเหลือกยิง กระทิงก็เผ่นพรวดเข้าป่าไป เขาก็วิ่งตามไปดูว่ามีรอยเลือดอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าแม้แต่รอยตีนก็ยังไม่มี

คราวนี้เขาบนว่าขอให้ได้เจอกระทิงและได้ยิง ก็ได้ยิงจริง ๆ และถ้าหากเป็นไปตามที่บน เขาจะแก้บนด้วยไข่ต้มร้อยใบ พอไปถึงที่ตั้งแคมป์เขาก็ต้มไข่ ๑ ใบ แล้วก็เอาใบไม้เสียบไว้ บอกว่าไข่ต้มร้อยใบ !

มันโกงกระทั่งผี เพื่อนก็เตือน บอกว่าเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์มากนะ บนอย่างไรต้องทำตามอย่างนั้น เขาก็บอกว่าเขาบนอย่างนี้

ปรากฏว่างวดนั้น รถไปแหกโค้งตกเขา ซี่โครงหักไป ๓ ซี่ พอกลับไปถึงบ้าน บ้านก็โดนไฟไหม้หมด เล่นกับใครไม่เล่น ในเรื่องของการบนต้องตรงไปตรงมา

มีอยู่รายหนึ่งที่ตลกที่สุดก็คือว่า บนให้คนอื่นบวช แทนที่มันจะบนให้ตัวเองบวช แต่ดันไปให้คนอื่นบวชให้ ปรากฏว่าเรื่องที่ตัวเองบนไว้สำเร็จจริง ทีนี้สุดท้ายต้องไปบีบคอให้คนอื่นบวชตามที่บนไว้ "

เถรี
12-09-2009, 12:54
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ก่อนฉันเพล คุยกันเรื่องหวัด ๒๐๐๙ ในขณะที่ฉันเพลไป มีเสียง (กระซิบ) บอกมาว่า กะเพรามันแก้หวัดนี้ได้ แก้หวัด ๒๐๐๙ ได้ ฉะนั้น..ให้กินผัดสิ้นคิดเยอะ ๆ "


หมายเหตุ : ผัดสิ้นคิด = ผัดกะเพรา

เถรี
12-09-2009, 13:05
ถาม : หลวงพี่ครับ ผมมีคำถาม
ตอบ : ว่ามา

ถาม : คือ ผมไปทำแท้ง
ตอบ : ตกลงคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

ถาม : ทำไมหรือครับ
ตอบ : คุณบอกคุณไปทำแท้งมา ไปท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ของพระนี่ตรงไปตรงมา

ถาม : ............. (คนถามอึ้ง)..........
ตอบ : เข้าใจ ว่าต่อ (หัวเราะ)

ถาม : อ่อ....ต่อครับ คือ ที่ผมทำอย่างนี้ มาทำสังฆทาน พร้อมทั้งพาแม่เด็กมาถวายสังฆทานด้วย
ตอบ : ทำได้ เพียงแต่ว่าในส่วนที่ทำ....ความดีส่วนความดี ส่วนที่ไม่ดีก็ต่างคนต่างอยู่ ถึงวาระส่วนที่ไม่ดีมันสนองเราก็พบส่วนไม่ดี วาระดีสนองเราก็พบส่วนที่ดี แต่มันมีอยู่ว่าถ้าเราทำความดีสม่ำเสมอ สิ่งที่ไม่ดีมันจะตามไม่ทัน

ความดีที่เป็นความดีใหญ่เลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ถ้าสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ ทำสมาธิทุกวัน ปัญญามันเกิด เห็นช่องทางรักษาใจให้ผ่องใสได้ กรรมอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ มันตามไม่ทันทั้งนั้น จะเหลืออยู่อย่างเดียวคือพวกบรรดากรรมหนัก ๆ แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอพวกนั้นก็ได้แต่จ่อไล่ไปเรื่อย ถ้าเราขาดช่วงเมื่อไหร่มันจึงจะตามได้ทัน

วิธีหนีที่ดีที่สุดคือ ตั้งใจเจริญรักษาศีลและทำสมาธิ ถ้าสามารถทำได้กรรมอื่นตามยาก

ถาม : แล้วอย่างของที่ถวายไปจะไปถึงน้องเขาไหมครับ
ตอบ : ของอย่างนี้มันถวายได้ ตั้งใจอุทิศได้ แต่มันมีอยู่สองอย่างคือ ถ้าเขาอยู่ในที่ที่โมทนาได้..เขาก็จะได้รับ ถ้าอยู่ในเขตที่โมทนาไม่ได้..ก็ไม่ได้รับ

เถรี
12-09-2009, 13:13
ถาม : สมมติมีทหารไปรบ โดนยิง กำลังใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย แล้วเขาบอกเพื่อนว่า ให้เพื่อนช่วยฆ่าเขาเถอะ แล้วถ้าเกิดเพื่อนเขาฆ่า เพื่อนเขาจะบาปไหม
ตอบ : บาป แต่ว่ามันไม่เต็มร้อย เพราะอันดับแรกเจตนาไม่มี ที่บาปจริง ๆ คือ เจตนาตั้งใจฆ่า
เขาบอกประกอบด้วย ๕ ส่วน คือ ๑) สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๒) รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๓)ตั้งใจฆ่า ๔) ลงมือฆ่า ๕)ฆ่าสำเร็จ
ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็ลดไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์ การทำชีวิตให้ตกล่วงไป ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม กรรมมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันจะมากหรือน้อยเท่านั้น

ถาม : เวลาสวดมนต์เสร็จแล้ว สำคัญไหมครับว่า ต้องกรวดน้ำหรือกรวดแห้ง
ตอบ : ถ้าหากอยู่ในที่ที่นิยมกรวดน้ำเราก็กรวดไปกับเขา แต่จริง ๆ เราแค่นึกให้ใครเขาก็ได้แล้ว และการกรวดแห้งก็สะดวกด้วย แต่ถ้าที่อื่นเขานิยมแบบไหนเราก็ทำตามเขา ไม่ต้องเสียเวลาไปทะเลาะ ไปอธิบายกับเขา

เถรี
12-09-2009, 13:16
ถาม : หลวงพี่คะ ที่บ้านตะขาบเยอะมาก เอายาไปโรย
ตอบ : เอาทรายเสกวัดท่าซุง อธิษฐานแล้วโรยเป็นเขตไว้ ถ้าหากว่าเข้ามาแล้วมีอันตรายจะเข้าไม่ได้ แต่ว่าจริง ๆ หาคางคกมาสักสามสี่ตัว ทิ้งไว้ในบ้าน มันแพ้กัน ตะขาบมันจะหนีคางคกตลอด

เถรี
12-09-2009, 13:17
ถาม : แล้วเวลาที่ตัวปฏิฆะหรือโทสะเกิด เวลาแมงป่องหรือตะขาบมากัด มันเป็นอกุศลกรรมหรือเปล่าครับ
ตอบ : มันจะเรียกว่าเป็นอกุศลกรรมก็ใช่ แต่ว่าจริง ๆ ก็คือ เราขาดสติ รั้งมันไม่ทัน
ขาดสติ สมาธิไม่เพียงพอที่จะต่อต้าน ปัญญารู้ไม่เท่าทัน เจ๊งแน่นอน

เถรี
12-09-2009, 13:20
ถาม : ประมาณ ๒ เดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปบ้านสายลม ไปฝึกกรรมฐานมโนมยิทธิมา ๒ ครั้ง ส่วนตัวของผมคิดว่า ผมยังไม่ได้สาระอะไร สิ่งที่เขาถาม ผมจะเดาเป็นส่วนใหญ่ ทีนี้ผมก็เลยหาว่าสมถะกองไหนที่เหมาะกับผมมากที่สุด อาจจะเป็น...
ตอบ : อานาปานสติ รักษาลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวเลย ป้องกันการฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด สร้างสมาธิให้เกิด ช่วยในการตัดกิเลสได้ ทำให้ศีลมั่นคง เอาลมหายใจเป็นหลัก

ถาม : หมายความว่าตอนนี้ไม่ต้องฝึกมโนมยิทธิ
ตอบ : ฝึกได้ ซ้อมไปเรื่อย ๆ แต่มันต้องมีเวลาที่เรามาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราเอง

ถาม : ครับผม
ตอบ : ซ้อมวันละชั่วโมง สองชั่วโมง

เถรี
12-09-2009, 13:39
ในขณะที่ผู้จัดการใหญ่ของซีพีกำลังคุยกับหลวงพ่อ เรื่องการโคจรของดวงดาว มีอยู่คำถามหนึ่งที่เขาถามว่า "ถ้าดาวมันย้าย แล้วทุกคนจะเดือดร้อนไหมคะ"

หลวงพ่อตอบว่า "ไม่เดือดร้อน มันอยู่ที่เรา ถ้ามั่นคงในศีล สมาธิ และปัญญา ผลกระทบก็มีน้อย คนไหนที่ไม่มีหลักยึด ผลกระทบก็มีมาก

เหมือนกับน้ำมาแรงหรือคลื่นใหญ่มา คนที่ไม่มีหลักยึดก็โดนซัดลอยไป อาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่ถ้าคนที่มีหลักยึดอยู่ก็ไม่มีอันตราย สำคัญอยู่ที่การปฏิบัติธรรมของเราหรือความดีที่เราปฏิบัติ ตอนนั้นจะได้รู้ว่าความดีรักษาตัวเราได้"

เถรี
12-09-2009, 14:43
ถาม : งวดนี้กว่าจะได้มากราบท่าน ต้องใช้ความพยายามมากเลย เมื่อวานมาตอนค่ำ ๆ แล้ว รถเลี้ยวไม่ได้ก็กลับไป แล้วจะมาอีก ฝนก็ตั้งเค้า แล้ววันนี้จะมา จะจอดรถแถว ๆ สีลมคอมเพล็กซ์ กำลังจะเลี้ยวรถเข้า ไฟก็ไหม้ตึกข้าง ๆ ก็เลยรู้สึกว่างวดนี้
ตอบ : งวดนี้ทำไมเขาทดสอบกำลังใจเราขนาดนี้

ถาม : มันเป็นการทดสอบหรือคะ
ตอบ : จ้ะ เป็นการทดสอบ อยากจะดูว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วเรามีกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่าไหม ถ้ามีกำลังใจอยู่ก็แสดงว่าในเรื่องของบารมีที่เราสร้างสมมาอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าถอดใจไปเสียก่อน ก็แปลว่า ยังใช้ไม่ได้อยู่

เถรี
12-09-2009, 19:08
ถาม : เรื่องการบน
ตอบ : เรื่องของการบนเขาตรงไปตรงมาจ้ะ ถ้าขอไว้สองอย่างแล้วไม่สำเร็จทั้งสองอย่างไม่ต้องแก้ก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าอุตส่าห์มีน้ำใจให้ตั้งครึ่งหนึ่ง จะแก้บนสักนิดก็ดี

เคยเปรียบเอาไว้ว่าเหมือนกับการที่เราจะทำความดีอะไรสักอย่าง เปรียบกับน้ำกระบอกนี้ (ชี้ไปที่กระบอกน้ำ) ถ้าเราขาดแค่นี้ (ขาดน้ำอีกไม่มาก) เติมนิดเดียวก็เต็ม เราบนอะไรก็จะสำเร็จ อย่างเช่น บนว่าเราจะนั่งสมาธิสัก ๗ วัน บนว่าเราจะถวายสังฆทาน บนว่าเราจะปล่อยนกปล่อยปลา ความดีส่วนนี้มันมาเติมเต็มพอดี งานก็จะเสร็จ

แต่ถ้ามันมีน้ำอยู่แค่นี้ (มีน้ำอยู่ในกระบอกเล็กน้อย) บนที่ไหนก็สำเร็จไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะว่าความดีที่เราจะทำยังไม่เพียงพอ ยังอีกมากเลย จะเห็นว่าบางที่จะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็ตาม แต่บางคนบนแล้วไม่สำเร็จ เพราะว่าความดีมันพร่องเยอะ การบนมันดีตรงที่ว่า ถ้าเราความดีพร่องก็รีบเติมความดีไปเยอะ ๆ ต่อไปจะได้สำเร็จทุกเรื่อง"

เถรี
12-09-2009, 19:12
ถาม : เพื่อนหนูเขาไม่รู้ตัวว่าท้อง และเขาก็ไม่รู้ว่าแท้ง แล้วอย่างนี้เขาจะมีกรรมอะไรไหม
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เพราะตัวเองไม่รู้ และก็ไม่ได้ทำอะไร มันท้องก็ปล่อยมันท้องเอง มันแท้งก็ปล่อยมันแท้งเอง อันนั้นแสดงว่าเด็กที่จะมาเกิดสร้างกรรมหนักเอาไว้ โอกาสที่จะมาดูโลกยังไม่มีเลย แท้งเสียก่อนแล้ว แต่ถ้าเราไปให้หมอทำแท้งเองอย่างนั้นจะเป็นบาป เพราะเท่ากับว่าเราฆ่า

เถรี
12-09-2009, 23:50
ถาม : พี่ชายผมครับ พอดีเป็นคนขาดความมั่นใจและต้องทานยากับหมอ
ตอบ : ไปฝึกนั่งสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวความมั่นใจตัวเองจะเกิด มีแค่นั้นแหละ วิธีอื่นยาก

ถาม : พอดีตอนนี้เขากินยา
ตอบ : จะกินมันก็ได้ แต่ว่ามันจะคิดอะไรช้าหน่อย ซึ่งถ้าเราทำอะไรช้า คนที่เขารับเราเข้าทำงานจะรับเราได้หรือเปล่า

ถาม : แสดงว่าให้เขานั่งสมาธิเยอะ ๆ
ตอบ : พัฒนาด้วยการนั่งสมาธิแล้วก็ค่อย ๆ ลดเรื่องยาลง ตอนนี้เขากินวันละกี่เวลา

ถาม : กินเฉพาะตอนนอนครับ เขานอนไม่ค่อยหลับ พอตื่นตอนเช้าลุกขึ้นมาจะงง ๆ
ตอบ : เลิกกินยาพวกนั้นเลย ไปหาเถาไมยราบ ไมยราบที่เราเขี่ยแล้วใบมันหุบ ไปถอนมาทั้งรากทั้งโคน ล้างสะอาดสัก ๗-๘ ต้น ขดใส่หม้อ แล้วก็ต้มน้ำสักหม้อหนึ่ง กินแทนน้ำ รับรองได้ว่าหลับระเบิดเถิดเทิง ยิ่งกว่ายาฝรั่ง แล้วไม่มีสารตกค้าง ตื่นขึ้นมาปกติทุกอย่าง จะได้เลิกกินยาฝรั่ง จะได้ล้างที่มันตกค้างในตัวเราให้ออก

ถาม : ผมไปส่งเขาอบรมที่หลวงพ่อวิริยังค์ เขาบอกว่าหลวงพ่อมีวิธีรักษาด้วยพลังจิต
ตอบ : นั่นมันส่วนรักษา แต่นี่ช่วยตัวเองได้เลย แล้วมันไม่อันตรายเหมือนยาฝรั่ง

เถรี
12-09-2009, 23:54
ถาม : การนั่งสมาธิ
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก การนั่งสมาธิสำคัญที่สุดก็คือ ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าก็รู้ตามไปจนสุด ลมหายใจออกก็รู้ตามออกมาจนสุด ให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่แค่นี้ ไปคิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงกลับมาตรงนั้น จนกระทั่งสามารถรักษาอารมณ์ได้ระยะเวลายาวสั้นตามที่เราต้องการ

ใช้ระยะเวลาระยะหนึ่งทีเดียวกว่าจะทำได้อย่างที่ใจต้องการ ไม่อย่างนั้นใหม่ ๆ มันจะฟุ้งซ่านตลอด มันจะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางทีนั่งธรรมดาไม่คิดหรอก พอเริ่มนั่งสมาธิมันเริ่มฟุ้ง ดังนั้นสำคัญที่สุดก็ขึ้นอยู่กับลมหายใจเข้าออก

ไม่ต้องไปใส่ใจ มันต้องการหนักเบาอะไร เรามีหน้าที่ตามดูมันอย่างเดียว ทำไปทุกวันมันจะใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก พอถึงเวลาแล้วมันจะเป็นคนตายด้าน อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ตื่นเต้นกับใคร
รถชนกันตูม คนอื่นเขาวี้ดว้ายกัน ส่วนเราก็ช่วยดูว่าจะช่วยอะไรเขาได้ไหม

เถรี
12-09-2009, 23:57
พอเขาถามคำถามเสร็จ หลวงพ่อก็กล่าวว่า "ได้ยินคำถามพื้น ๆ แล้วบางทีก็ดีใจ ดีใจว่าคนเริ่มต้นใหม่ยังมีอยู่ ถ้าหากมันมีคำถามแต่ระดับสูงขึ้นมาแล้ว ก็อาจจะมานั่งคิดว่าคนใหม่ไม่มีเลยหรือ

ฉะนั้นมองกันคนละมุม ไม่ใช่จะมาดีใจว่าพวกคำถามระดับนี้เป็นที่ต้องการของเรา ไม่อย่างนั้นถ้ามันขาดช่วงลงไปมันจะต่อไม่ติด พวกนี้ก็ประเภทวิ่งได้ไปแล้ว พวกนั้นยังไม่หัดเดินเลย"

เถรี
13-09-2009, 01:56
มีคนมาถามหลวงพ่อว่า "ถ้าหากว่าภายในหนึ่งเดือน ผมมาทำบุญสังฆทานครั้งเดียวด้วยปัจจัยเยอะ ๆ กับการที่มาทำสังฆทานด้วยปัจจัยน้อย แต่ว่าทำสิบครั้ง อย่างไหนจะดีกว่ากัน"

หลวงพ่อตอบว่า " มันอยู่ที่ตัวเรา การสละออกแต่น้อย แต่ถ้าสละได้ง่ายกว่า มีโอกาสทำบ่อย ๆ จิตจะยึดในจาคานุสติได้มากกว่า เพราะฉะนั้นประเภททำสิบครั้ง ถ้าว่าในแง่ของคนที่กำลังใจยังไม่ทรงตัว จะมีความดีสูงกว่า

แต่ถ้าคนที่กำลังใจทรงตัวแล้ว จะทำครั้งเดียวหรือทำสิบครั้งมันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่หวั่นไหวด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม จะครั้งเดียวหรือสิบครั้งก็เหมือนกัน

แต่ว่าการทำบุญต้องดูตรงจุดที่ว่าตัวเราเดือดร้อนหรือเปล่า ถ้าหากตัวเราจะเดือดร้อนก็แบ่งทำ แต่ถ้าไม่เดือดร้อนก็ทำทีเดียว

อาจจะถูกรางวัลที่ ๑ ไปทีเดียว หรืออาจจะถูกรางวัลที่ ๕ ไปเรื่อย ๆ "

เถรี
13-09-2009, 02:05
ถาม : หลวงพี่ครับ เขาบอกคนเราจะดีจะชั่วก็เป็นไปตามกรรมหรือครับ ถ้าตอนนี้เราทรงกำลังใจได้ดี เป็นเพราะกรรมดีที่เราเคยทำไว้ในอดีตหรือเปล่าครับ เพราะปัจจุบันด้วย
ตอบ : เพราะปัจจุบันด้วย และเราสามารถรักษาปัจจุบันให้ดีต่อเนื่องไปในอนาคต

ถาม : ถ้ามันขาดช่วงไป
ตอบ : ถ้าขาดช่วงไปปล่อยให้สิ่งที่ไม่ดีแทรกได้ ก็เอาคืนยากสิ

ถาม : แต่ถ้าเราต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ
ตอบ : ก็จะรักษาการปฏิบัติของเราได้

ถาม : แล้ว..(ได้ยินไม่ชัด)...
ตอบ : มันต้องมีความรู้สึกเท่ากัน

ถาม : ก็คือ ทำอะไรแล้วเราไม่ไปซ้าย ไปขวาใช่หรือเปล่า
ตอบ : ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เราต้องให้น้ำหนักความสำคัญเท่ากัน ไม่ใช่เรื่องนี้ให้น้อย เรื่องนั้นให้มาก กลายเป็นว่าบารมียังพร่องอยู่ พระพุทธเจ้าท่านอุปมาเหมือนสิงโตจับเหยื่อ ท่านบอกว่าราชสีห์จับเหยื่อจะตัวเล็กตัวใหญ่แค่ไหนก็ตาม ใช้กำลังเท่ากัน จึงได้จับเหยื่อแล้วไม่พลาด แล้วถ้าเราไปคิดว่าเรื่องสำคัญกว่าทุ่มเทให้มากกว่า เรื่องนี้สำคัญน้อย ทุ่มเทให้น้อย มันจะพลาดอะไรไป

ถาม : ทำต่อเนื่องแล้วทรงกำลังใจดี ๆ นี่
ตอบ : ทำดีมันย่อมได้ดีแน่นอน

เถรี
13-09-2009, 09:40
ถาม : กรรมที่ทำให้คนมีลักษณะวิตกจริต
ตอบ : อ๋อ ไม่มีอะไรจ้ะ ขาดการภาวนา ถ้าหากการภาวนามีสติมั่นคง มันจะไม่เป็นวิตกจริต แสดงว่าบำเพ็ญบารมีในด้านของการภาวนาน้อยไป

ถาม : แล้วถ้าอยากรู้ว่าในอดีตเคยทำกรรมอะไรมา ใช้มโนฯ ขึ้นไปถามท่านโดยตรง กลัวว่าคนที่เราถามจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ตอบ : ถ้าหากว่ากลัวก็ไม่ต้องทำอะไร ทำให้มันได้ก่อน ไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปแยกแยะว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไปลังเลตั้งแต่ก่อนทำนี่ไปไหนไม่รอดหรอก เขาเรียกว่าตีตนไปก่อนไข้ เคยได้ยินไหม

เถรี
13-09-2009, 09:52
ในขณะที่พี่ซันและพี่ตู่กำลังคุยเรื่องการรวบรวมวัตถุมงคล เพื่อนำไปเปิดให้คนในเว็บบูชา ช่วยงานกฐินตุ๊ป้อ
หลวงพ่อเล็กก็กล่าวว่า "คราวนี้เราจะได้เห็นว่าความสามัคคีสำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความสามัคคีในหมู่คณะย่อมก่อให้เกิดความสุข คนเดียวมันไม่ไหวหรอก ให้มันแน่ขนาดไหนก็แบกไม่ไหวหรอก ต่อให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเถอะ ถ้าไม่มีสัตตรัตนะก็ไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด"

เถรี
13-09-2009, 09:56
มีท่านหนึ่งที่ตาบอด ได้มาทำสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์เป็นประจำ ต้นเดือนที่ผ่านมาในขณะที่เขากำลังหยิบสิ่งของ หลวงพ่อได้กล่าวว่า

"สังเกตไหมว่าเวลาที่เขาจะทำอะไร เขาต้องตั้งสมาธิก่อน การตั้งสมาธิอย่างนี้มันเป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง เพราะมันจะเพ่งความรู้สึกลงไปในสิ่งที่ตัวเองกระทำ จริง ๆ ถ้าหากเปลี่ยนวิธีฝึกนิดเดียวได้มโนมยิทธิเลย"

เถรี
13-09-2009, 10:01
หลังจากที่พี่สาวท่านหนึ่งถวายสังฆทานเสร็จ ก็ได้กล่าวกับหลวงพ่อว่า "ขอบคุณมากนะคะหลวงพี่ ตอนนี้เป็นอภิชาตเมียแล้วค่ะ"

หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ พร้อมกับพูดว่า "สุดยอดต้องทำให้ได้อย่างนี้"

แล้วหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า "เขาโมโหแฟน โดนยื่นคำขาด ถามเราว่าจะทำอย่างไร ก็บอกว่าทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยเวลาเลยไปอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยมาเจรจากัน เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นการใช้อารมณ์ พอผ่านไปแล้วมันจะรู้ตัว มันเริ่มจะตรองแล้วว่าฝ่ายนั้นขาดเราจะเป็นอย่างไร ฝ่ายนี้ก็เออไม่มีเขาเราจะเป็นอย่างไร บางทีพระก็ไม่ได้แนะนำอะไรมากหรอก แต่มันได้ผล เหมือนนักมวยกับเทรนเนอร์ นักมวยอยู่บนเวทีไม่เห็นช่องทางอะไรเลย เทรนเนอร์อยู่ข้างล่างก็บอกให้ต่อยซ้าย เตะขวา"

เถรี
13-09-2009, 10:58
ถาม : หลวงพ่อเคยเทศน์มหาชาติหรือเปล่าคะ
ตอบ : จำเขามา มันเหนื่อย เทศน์มหาชาติตั้งนะโม ๓ นาที นะกว่าจะลงโมได้ เอื้อนจนลิ้นห้อย

ถาม : เดี๋ยวนี้แถวบ้านหนูเขาอ่านเฉย ๆ ไม่ได้เป็นเทศน์ทำนอง
ตอบ : จริง ๆ ต้องเป็นทำนองแหล่ คนที่เก่ง ๆ เขาใช้ปากทำเสียงกลอง ฆ้อง ปี่ได้ทุกอย่าง ต้องมีใจรัก แต่ที่หลวงพ่อไม่เอาเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านห้ามขับลำด้วยเสียงอันยาว บุคคลผู้ขับลำด้วยเสียงอันยาวเกิดโทษหลายประการ ประการที่หนึ่ง ผู้อื่นย่อมหลงในเสียงนั้น ประการที่สอง แม้แต่ตัวเองนานไปก็หลงในเสียงของตน


ถาม : แสดงว่าหลวงพ่อฟังบ่อย
ตอบ : จำได้ ยังสงสัยอยู่ว่าหัวตัวเองเป็นอะไร ฟังเขาแล้วมันขโมยได้เลย ตอนแรกฟังหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ตอนนั้นท่านเล่นดนตรีปี่พาทย์ วงดนตรีไทย ทีนี้มีอยู่เพลงหนึ่งที่อาจารย์ไม่ต่อให้ เพราะเขาถือว่าคนละสาย คนละทางกัน แล้วเขาก็หวงมากด้วย ปรากฏว่าวันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ท่านบอกว่าเขาไปเล่นในงานศพ ตอนพระฉันเช้าเขาตีรอบหนึ่ง พอพระฉันเพลเขาตีอีกรอบหนึ่ง ตอนเย็นประโคมศพตีอีกรอบหนึ่ง หลวงพ่อก็บอกว่าเสร็จท่าน ครั้งแรกจับจังหวะ ครั้งที่สองทวน ครั้งที่สามมั่นใจ ได้ขนาดนั้นเลย

"สมาธิมันทรงตัว มันจะจำแม่น ต้องบอกว่าของเก่า ของเก่าเคยทำไว้ มาชาติใหม่กินทุนเดิม สมาธิเดิมมันดี ความจำก็เลยดีด้วย"

เถรี
13-09-2009, 11:02
ในขณะที่หลวงพ่อกำลังสนทนากับหลวงพี่เอในเรื่องความจำ ท่านบอกว่า "แถวบ้านผมนิยมสวดเจ็ดตำนาน บทแรกเขาจะขึ้นโยจักขุมา โยจักขุมาเป็นบทแรกที่ผมจำได้ บทต่อไปคือ อเสวนา กว่าจะบวชนี่จำได้เยอะแล้ว"

เถรี
13-09-2009, 11:27
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "สุขภาพมันแย่ ต้องรีบสมมติสถานการณ์ไว้ด้วย ถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้วจะอยู่อย่างไร"

ถาม : ตอนสมัยหลวงพ่อ หลวงพ่อก็คิดว่า เออ หลวงพ่อฤๅษีจะไปทุกวัน
ตอบ : คนอื่นประมาท ส่วนใหญ่คิดว่าท่านจะอยู่ถึง ๑๒๐

ถาม : ขนาดตัวหนูเองยังคิดเลยว่าจะไปทุกวัน
ตอบ : แต่ละวันกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุด ช่วงนี้มันจะบู๊หน่อยช่างหัวมัน วันที่นั่งทำงานแล้วความดันขึ้นจนแทบจะระเบิด มันปวดหัวจนนอนไม่ได้ ในสมองมันรู้สึกเลยว่ามีก้อนอะไรมาเบียดประสาทจนหัวหมุน มันจะอาเจียน แสดงว่าเส้นเลือดมันโป่ง พักไม่พอ ไม่มีเวลาเหมือนชาวบ้านเขา เราก็คิดว่าในเมื่ออะไรก็ช่วยไม่ได้ ทำงานให้มันตายคางานไปเลย กะว่าก่อนตายจะเกลางานให้ดีที่สุด อย่างน้อยคนมาเห็นเข้า มันส่งงานแทนเราได้

เถรี
13-09-2009, 14:36
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ ที่คนโมทนาบุญจะได้อานิสงส์ก่อน
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ โมทนาได้เท่าเขายังไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ได้ลงทุนด้วยกายวาจาใจของตัวเอง ใช้แต่ใจอย่างเดียว แต่ว่าในส่วนที่จะพึงได้นั้น ถามว่าได้เหมือนเจ้าของไหม....เหมือน แต่ว่าได้ทีหลัง ผลต้องเกิดจากเจ้าของบุญก่อน

เถรี
13-09-2009, 14:57
ถาม : คนที่ไม่ได้มโนฯ หรือจับภาพพระได้ไม่ชัดเจน จะสามารถทำให้จิตจับพระนิพพานได้หรือไม่คะ
ตอบ : ได้ ขอให้เรามั่นใจว่านั่นคือพระนิพพาน

ถาม : แล้วอารมณ์จะเป็นอย่างไรหรือคะ
ตอบ : เป็นอย่างไร พยายามพิจารณาว่าการไม่มีสิ่งร้อยรัดใด ๆ เลย มีความสุขเบาสบาย จิตใจที่ปราศจากการรัก โลภ โกรธ หลง มีความเบาสบายอย่างไร เสร็จแล้วก็รักษาอารมณ์นั้นไว้

ถาม : เคยตั้งอารมณ์อาราธนาพระพุทธเจ้ามาเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติและก็กำหนดว่าพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องหน้า ปรากฏว่าเกิดความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ แล้วดีใจจนน้ำตาไหล อันนี้เป็นจิตจับพระนิพพานหรือจิตปรุงแต่งขึ้นมา
ตอบ : จัดเป็นพุทธานุสติ เป็นทิพจักขุญาณด้วย เพียงแต่ว่าถ้าไม่มั่นใจก็จะไม่รู้ว่านั่นคือทิพจักขุญาณจริง ๆ
นั่นแหละคือลักษณะการเห็นพระ เขาเห็นแบบนั้น

เถรี
13-09-2009, 18:16
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะขายของดี
ตอบ : ท่องคาถาเงินล้าน แล้วขายของถูก ๆ

เถรี
13-09-2009, 18:21
ถ้าใครเคยเห็นสมุดเล็คเชอร์ของหลวงพ่อ จะคิดว่าท่านคัดลายมือ เพราะลายมือท่านเรียบร้อยเป็นระเบียบ
หลวงพ่อบอกว่า "ที่เล็คเชอร์มันออกมาดี ก็เพราะเราจำแม่น พอเราจำแม่นก็ไม่ต้องรีบ เวลาเขียนก็เขียนไปเรื่อย ๆ คนเห็นเขาก็บอกว่าเราคัดลายมือ"

มีคุณป้าท่านหนึ่งสังเกตเห็นลายมือของหลวงพ่อ จึงบอกว่า "สระโอของท่านนี่ไม่มีใครเหมือน"

หลวงพ่อก็บอกว่า "หมอดูบอกว่า ลายมือลักษณะนี้มีแต่ขึ้น ไม่มีลง"

เถรี
13-09-2009, 18:55
ถาม : แล้วเวลาที่เขาเจิม (เจิมหน้าผากบ่าวสาว) เขาเจิมอะไร หลวงพี่พอจะรู้ไหมครับ
ตอบ : ในการเจิม โบราณเขาจะยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางคนถ้าถือธรรมเป็นใหญ่ ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อย่าไปบอกเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวล่ะ เดี๋ยวมันช็อกตาย
ถ้าคิดว่าดีเราก็เจิม

เถรี
13-09-2009, 20:21
หลวงพ่อบอกว่า "พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ (วัดสระพัง) ท่านยังจะไปเกิดอีกเยอะ ท่านสร้างบารมี หล่อพระประธานทุกปี ช่วงปลายสิงหาคม คือวันเกิดท่าน ท่านก็หล่อพระประธานแล้วก็เลี้ยงพระ ๑,๐๐๐ รูป ทำอย่างนี้มาหลายต่อหลายปี เฉพาะที่นิมนต์มานั้นแค่ปัจจัยก็มหาศาลแล้ว

ใครต้องการพระประธาน โดยเฉพาะพระประธานโลหะหล่อ ให้ไปลงชื่อจองได้ ท่านจะหล่อไล่ให้เรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ "

เถรี
14-09-2009, 06:54
หลวงพ่อบอกว่า "พระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ อย่าคิดว่ามีเยอะ เพราะว่าสร้างมาหนึ่งแสนองค์ บรรจุกรุไปเก้าหมื่นกว่าองค์ ที่เอามาแจกก็ดี เอามาจำหน่ายก็ดี เท่ากับว่าเหลืออยู่หน่อยเดียว เป็นของที่ตั้งใจทำเพื่อกันภัยพิบัติโดยตรงด้วย"

เถรี
14-09-2009, 07:04
ถาม : ถามเรื่องจิตค่ะ คือ วันก่อนตอนนั่งสมาธิ เห็นจิตตัวเอง พอได้ยินเสียงดังขึ้นมา ก็เห็นขึ้นว่ามันเกิดเสียง แล้วมันก็ดับไปแล้ว หลังจากนั้นก็เห็นตัวเองอยู่ในบ้านแคบ เหมือนไปมอง แล้วก็...
ตอบ : จริง ๆ คือมันเป็นสภาพปกติของมัน มันคอยจะรับรู้ทุกอย่างที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ

ถาม : ก็เห็นว่ามันไปรับรู้ตัวอายตนะทั้ง ๕ ก็เห็นว่ามันบังคับไม่ได้ เพราะมันยิ่งไปฟัง
ตอบ : มันบังคับได้ แต่ว่าสติ สมาธิ ปัญญาจะต้องเข้มแข็ง แหลมคม และรวดเร็วพอที่จะทันมัน ถ้ายังไม่พอเมื่อไหร่บังคับมันไม่ได้ ก็แปลว่าเราต้องเพิ่มการปฏิบัติสมาธิอะไรให้มากขึ้น

ถาม : ตอนนี้ยังน้อยไป
ตอบ : มันไม่พอที่จะใช้งาน ถ้าพอที่จะใช้งาน มันจะต้องป้องกันตัวเองได้จากรัก โลภ โกรธ หลงที่เกิดขึ้นทางอายตนะทั้งหมด แต่ทีนี้มันยังไม่เพียงพอ กว่าจะรู้มันพาเราไปไกลแล้ว ต้องเพิ่มขึ้นอีดนิด ให้เวลาปฏิบัติกับมันมากหน่อย คำว่ามากหน่อยในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรานั่งกรรมฐานให้มากขึ้น แต่ว่าเรานั่งปฏิบัติแล้ว พอเลิกจากการปฏิบัติตรงนั้นให้เรารักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานขึ้น

เถรี
14-09-2009, 11:29
ถาม : กิเลสที่ตัวละเอียดขึ้นไปละอย่างไรคะ
ตอบ : มันไม่ได้ละอย่างไรหรอก มันก็พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เพียงแต่ว่านานไป ๆ มันก็จะค่อย ๆ คลายออกได้ ซ้ำอยู่อย่างนั้น

ถาม : ตอนแรกก็กะฟันแค่สังโยชน์ ๕ ไป ๆ มา ๆ ตัวอื่นโผล่มาอีกอย่างแรง แค่นี้จึงไม่พอ
ตอบ : อย่าคิดว่ามันหมด มันมีเยอะกว่าที่คิด เคยบอกว่ามันเหมือนกับเราโค่นต้นไม้ มันล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือน เราทำอะไรได้เยอะเหลือเกิน ที่ไหนได้พ่อคุณ ตอกับรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก

ถาม : ตอนแรกก็นึกว่าจะสบาย
ตอบ : อาตมาเป็นมาหลายยกแล้วไอ้จะสบายนี่ แรก ๆ พอผ่านไปจุดหนึ่ง โอ๊ย สบายแล้วเรา ที่ไหนได้ เดี๋ยวมีที่แย่กว่านั้นอีก ไปค่อย ๆ ทำ

ถาม : แล้วแบบเวลาที่ไล่กรรมฐาน ๔๐ ตอนแรกที่หนูไล่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปทีละกอง ๆ ตอนหลังเลยมารู้ว่ามันสามารถทำในระดับเดียวได้
ตอบ : มันทรงอารมณ์เต็มที่แล้วเราค่อยเปลี่ยนอารมณ์นิดเดียว ไม่ต้องไปขึ้น ๆ ลง ๆ

ถาม : หนูขอถามความแน่ใจหน่อยค่ะว่า อารมณ์ที่เป็นสีลานุสติมันคล้ายกับพรหมวิหารใช่หรือเปล่าคะ
ตอบ : คล้ายกัน

เถรี
14-09-2009, 11:35
ถาม : หลวงพ่อคะ หลวงพ่อฝึกกสิณกองแรกนานไหมคะ
ตอบ : อันแรกนาน แต่ว่าอันอื่นง่ายแล้ว ก็บอกแล้วว่ามันไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่นเลย มันต้องคอยประคองตลอด ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวหาย

ถาม : เวลาจับภาพ เมื่อภาพกสิณเปลี่ยนเป็นนิมิตสีขาวแล้ว แต่ทีนี้มันหายไป แต่เราก็จำภาพที่เป็นสีขาวได้ ทีนี้เราต้องกลับไปย้อนใหม่ไหมคะ
ตอบ : แค่นึกใหม่ ไม่ต้องเริ่ม

ถาม : แล้วสังโยชน์ ๑๐ อย่างคนที่ต้องละตัวอรูปราคะ พวกสายอื่นที่เขาไม่ได้ฝึกอรูปฌานอย่างนี้แล้วเขาจะละอย่างไรคะ
ตอบ : ละในส่วนที่ไม่ใช่รูป อย่างเช่นพวกกลิ่น เสียง รส

ถาม : บางครั้งหนูมาไล่ดูว่า เป็นไปได้ไหมว่าฟุ้งซ่านแล้วไม่เป็นไปในทางกิเลส สรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : มันก็คิดอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากดีอย่างนั้น อยากดีอย่างนี้

ถาม : ถึงแม้มันจะเป็นไปในด้านกุศล
ตอบ : กุศลมันก็ฟุ้ง เพราะใจมันไม่รวม เมื่อใจมันไม่รวม พอกำลังมันหมด ทีนี้กิเลสมันตีตายเลย

ถาม : แต่ว่าห้ามไม่ให้ฟุ้งซ่านนี่มันยากนะคะหลวงพ่อ หนูเคยลองนั่งรถเมล์มาถึงอนุสาวรีย์ อยากจะดูว่ามันจะคุมได้นานสักเท่าไหร่ ปรากฏว่าได้ไม่นานค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : แค่ ๒ นาทีก็ถือว่าเก่ง อะไรที่แว่บเข้ามาทางตาก็มองส่องไป (หัวเราะ ) ไม่ยาก ขอยืนยัน

ถาม : อย่างบางครั้งเราพิจารณาในร่างกาย แค่เราพิจารณานิดเดียว มันก็ได้กรรมฐานหลายกองไปในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นตัวอสุภะ มันได้ทั้งธาตุ ๔ และตัวกายคตา
ตอบ : มันทำได้ ของมันเนื่องกันอยู่แล้ว ถ้าเคยคลำ ๆ มาบ้าง ถึงเวลามันก็ไปลงที่เดียวกัน

เถรี
14-09-2009, 11:38
ถาม : ปฏิฆะกับโทสะต่างกันอย่างไรคะ
ตอบ : ปฏิฆะมันเป็นตัวกระทบ โทสะนั่นอารมณ์มันเกิดแล้ว ปฏิฆะพอกระทบแล้วความรู้สึกมันเกิด แต่ว่ามันเกิดในลักษณะเหมือนกับว่าสะเก็ดไฟมันกระทบเชื้อ แต่โทสะนี่มันไหม้เป็นเปลวแล้ว

ถาม : แล้วอย่างเวลาอารมณ์ที่มันกระทบ มันยังไม่ได้ไปลงที่ตัวโทสะ
ตอบ : มันจะดีหรือไม่ดีมันเป็นปฏิฆะแล้ว ถ้าปรุงเมื่อไหร่ไปทันที เพราะฉะนั้นอย่าเป็นแม่ครัว

ถาม : อย่างสังเกตถ้าเป็นอารมณ์กระทบที่ไปในทางไม่พอใจ มันก็ไปลงที่ถือตัวถือตนอยู่ดี
ตอบ : มันบวกกัน มันจะต้องมีมานะ เมื่อมีมานะมันก็ก่อให้เกิดโทสะ

ถาม : แล้วอย่างเวลาที่เราเกิดอารมณ์ปั่นป่วน เรารู้ คือ เราเห็นพายุ เรากำลังมองดูพายุที่อยู่ข้างใน ตรงอารมณ์ที่มันเกิดปั่นป่วนตรงนั้น มันเป็นในลักษณะที่ว่าเราปรุงไปแล้วหรือเปล่า หรือว่ามันเกิดขึ้นตามสภาวะปกติธรรมชาติของมัน
ตอบ : มันปรุงไปแล้ว ถ้าไม่ปรุงมันไม่เกิด เพียงแต่ว่ามันปรุงยังไม่พอ รสยังไม่ได้ที่ ถ้ารสได้ที่เมื่อไหร่จะมันส์กว่านี้เยอะ

จึงได้บอกว่าการปฏิบัติของเราคือการฝึกสติ เมื่อสติมันทรงตัว มันรู้เท่าทัน เห็นต้นเหตุของมัน มันก็จะไม่ปรุงอีก เรียกง่าย ๆ ว่ามันรู้จักเข็ด ถ้าไม่รู้จักเข็ดก็ยังปรุงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็อร่อยไปเรื่อย ๆ

เถรี
14-09-2009, 12:05
มีคนนำพระธาตุมาให้หลวงพ่อท่านดู ท่านบอกว่า "บอกแล้วเรื่องพระธาตุไม่ต้องดูว่าจริงหรือปลอม ดูว่าใจยึดหรือเปล่า"

เถรี
14-09-2009, 12:59
ถาม : หนูพยายามจับภาพพระแล้วก็ภาวนาไปด้วยระหว่างวัน เสร็จแล้วมันก็มีอารมณ์แนบแน่น สบายดี แต่มันยังแน่น หนัก ๆ หน่อย อย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์พระนิพพานหรือเปล่าคะ
ตอบ : จะว่าเป็นก็ได้ แต่มันเป็นจากการที่เราใช้สมาธิมาก พอใช้สมาธิมากมันกดกิเลสได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าเป็น วิขัมภนวิมุตติ ข่มกิเลสเอาไว้ ถ้าข่มนานก็หลุดได้เหมือนกัน

ถาม : แล้วมีความรู้สึกว่าพระอยู่ตรงหน้าจริง ๆ พอพระอยู่ตรงหน้าจริง ๆ เกิดขึ้นเยอะ ๆ นี่ เหมือนตัวเองจะหลุดไปในอีกมิติหนึ่ง มันจะโล่ง ๆ เบา ๆ อันนี้ดีใช่ไหมคะ
ตอบ : ดีจ้ะ

ถาม : หนูจะภาวนาตอนนอนด้วย แล้วตัวมันหลุดออกไปค่ะ แต่ก่อนระหว่างจะหลุดรู้ตัวดีว่าตอนนี้มันนิ่งแล้วนะ มันวืดไปแล้ว แล้วมันก็หลุดออกมาแบบนี้แหละค่ะ การที่เรารู้สึกตัวตลอดเวลาแบบนี้แสดงว่าเราหลุดไปจริง ๆ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ
ตอบ : แล้วมันฝันไหมล่ะ ถ้ามันรู้ทุกขั้นตอน ควบคุมได้ทุกขั้นตอน มันผ่านหมดได้ มันก็ไปจริง ๆ

ถาม : แต่ทีนี้ตอนแรกที่หนูออกไป มืดตื๋อ มองไม่เห็นอะไรเลย
ตอบ : มันขาดการพิจารณา

ถาม : เกี่ยวไหมว่าตอนนั้นยังไม่สว่าง
ตอบ : ไม่เกี่ยว ถ้าพิจารณาตัดร่างกาย มันก็จะสว่าง

ถาม : พอออกไปมันก็เหาะไปเที่ยวไปเล่น แล้วรู้สึกว่าตัวเองฝ่าลมฝ่าแดด เหมือนตัวไปจริง ๆ แสดงว่าไปแบบเต็มกำลังใช่ไหมคะ
ตอบ : ไปแบบเต็มกำลัง

ถาม : เต็มกำลังแสดงว่าหนูคงจะเคยถึงฌาน ๔ บ้างใช่ไหมคะ
ตอบ : น่าจะได้นิด ๆ

เถรี
14-09-2009, 13:03
ถาม : พอถึงจุดนี้ ที่หนูบอกว่าหลุดทุกครั้ง ทีนี้ถ้าออกไปพิจารณาข้างนอก เปรียบกับคนอื่นที่เขาไม่ได้หลุดไปแต่พิจารณา อย่างนี้มีผลเหมือนกันหรือเปล่าคะ
ตอบ : พิจารณาก่อนไป ถือว่าปลอดภัยกว่า เพราะว่ากำลังใจที่ไม่ยึดเกาะร่างกายจริง ๆ การรู้เห็นทุกอย่างจะชัดเจน ส่วนการออกไปพิจารณาข้างนอกง่ายกว่า ง่ายกว่าเพราะกายกับใจมันแยกออกเป็นคนละส่วนจริง ๆ มันไม่ได้ยึดไม่เกาะกันอยู่แล้ว ถือเสียว่าถนัดแบบไหนทำแบบนั้นแล้วกัน

ถาม : เมื่อหลุดไปแล้ว หนูก็คิดว่าถือโอกาสก่อประโยชน์ให้เกิดสูงสุด ก็อยากจะไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจว่าไปก็พุ่งไปอย่างเร็วเลยค่ะ เสร็จแล้วมันก็ค่อยช้าลง ๆ ร่วงลงไปยังที่เดิม ๕-๖ ครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย
ตอบ : สมาธิก็ไม่พอ ปัญญาก็ไม่พอ วิปัสสนาญาณยิ่งแย่ใหญ่ เร่งสามอย่างนี้ใหม่

ถาม : แล้วหนูขอพระ อย่างหลวงพ่อฤๅษีช่วยอย่างนี้ไม่ได้หรือคะ
ตอบ : แล้วตอนนั้นขอหรือเปล่า

ถาม : ขอค่ะ ปรากฏว่าพอขอแล้วก็มีแรงดึงขาหนูไป แต่ไม่ได้ขึ้นข้างบน ไปทางราบค่ะ แล้วก็ไปโผล่กำแพงเมืองจีนค่ะ
ตอบ : ดีที่ไม่หลุดไปข้างล่าง

ถาม : การที่ในชีวิตประจำวัน หนูพิจารณาทุกข์โดยที่ไม่รู้ว่าได้ฌานหรือเปล่า ตรงนี้จะมีผลอะไรหรือเปล่าคะ
ตอบ : มี อย่างน้อยความดีที่เราทำได้ จะได้ทรงตัว มันจะได้ฌานหรือไม่ได้ฌานช่างมัน ขอให้ได้ทำก็พอ

เถรี
14-09-2009, 13:07
ถาม : ลูกสาวหนูคนโต เป็นเด็กที่ขาดความอดทนมาก อันเนื่องมาจากการเลี้ยงดูของหนูเอง ทีนี้หนูจะแก้ไขอะไรได้บ้าง
ตอบ : สอนให้ทำสมาธิ ถ้ากำลังใจเข้มแข็ง มันก็จะมีความอดทนมากขึ้น

ถาม : แล้วหลัง ๆ นี่หนูจะมีความรู้สึกว่าเบื่อกิเลสมาก ๆ เลยค่ะ พอกิเลสมันเข้ามาแรง ๆ ตัวเบื่อมันก็จะถีบกิเลสกระเด็นออกไปได้ ทีนี้พอมันออกไปแล้ว ตัวเบื่อมันก็ยังอยู่ หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแจ่มใส ทำอย่างไรดีคะ
ตอบ : ดี และจำเป็นต้องรักษาไว้ด้วย เพราะว่าอันนั้นเป็นเบื้องต้นเลยที่จะนำพาเราให้หลุดพ้น ตัวเบื่อเป็นนิพพิทาญาณ ถ้าไม่มีนิพพิทาญาณมันจะไม่เบื่อ ในเมื่อมันไม่เบื่อเราก็จะหลุดพ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นพยายามรักษาไว้ ทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้ากำลังมันพอมันจะก้าวล่วงลงไปกลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ คราวนี้มันจะปล่อยวาง ก็สบาย

ถาม : แล้วอย่างหนูนี่ไม่ได้อะไร จะกระโดดไปถือศีล ๘ จะมีข้อดีช่วยในการปฏิบัติได้ไหมคะ
ตอบ : ปรึกษาผัวก่อน เดี๋ยวมันไม่ยอม

ถาม : คุยกันแล้วค่ะ จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนชวนหนูเองค่ะ
แล้วเรื่องศีลแปด หนูอ่านเจอว่าในสมัยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านไม่ให้เด็กกินนมแม่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างสมัยนี้กินนมได้หรือคะ
ตอบ : กินไปสิ

ถาม : ก็สมัยก่อนไม่ได้ค่ะ
ตอบ : นั่นของเขาตั้งใจจริง ๆ ทีนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขากินพวกน้ำผึ้งอะไรแทน เราก็คิดเสียว่ามันมื้อเดียวก็อิ่ม ที่เขาห้ามก็คือเขาห้ามอาหารแบบปกติ เด็กมันกินนมเป็นปรกติก็เปลี่ยนซะ

อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากค่ะ จบแล้วค่ะ

เถรี
20-09-2009, 20:17
ในขณะที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่อง msn กันอยู่ หลวงพ่อได้กล่าวว่า "เครื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ถ้าขาดการชั่งใจ ขาดสติ วันเวลาต่าง ๆ จะหมดไปเร็ว ไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก เหมือนกับตอนมีมือถือใหม่ ๆ เด็กไปเรียนหนังสือก็คุยโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ คุยกันทั้งวันยังไม่พอ การกระทำลักษณะนี้เขาจะรู้สึกว่าได้รับความสนใจจากคนอื่น

คราวนี้พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกสมัยใหม่ มักจะไม่มีเวลาให้ลูก พอไม่มีเวลาให้ลูกก็เท่ากับว่าเขาขาด ขาดในส่วนที่ต้องการในใจ เมื่อเพื่อนฝูงสามารถให้ตรงนั้นเขาได้ก็ไปติดเพื่อน โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ต้องระมัดระวังให้ดี เทคโนโลยีมีคุณอนันต์และก็มีโทษมหันต์ในเวลาเดียวกัน"

เถรี
20-09-2009, 20:30
ถาม : หลวงพี่คะ หนูต้องพิจารณาอะไรต่อไปคะ
ตอบ : อะไรก็ได้ที่มันไม่อยากได้ในร่างกายนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เบื่อ (ทำ) ไม่ได้ เลิกไม่ได้ เบื่อ (ทำ) เมื่อไหร่กิเลสมันตีกลับ

ถาม : ทุกครั้งที่ออกจากการปฏิบัติ ตาหูมันก็เห็นค่ะ บังคับทุกตัว....
ตอบ : กำลังใจนึกถึงตลอดเวลา แบ่งความรู้สึกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งประมาณ ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ให้ภาพพระอยู่กับเราตลอด อีกส่วนหนึ่ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ก็ทำงานของเราไป

เขาต้องการให้เห็นอย่างนั้นจ้ะ ไม่ใช่ไปกลัว แสดงว่ากลัวจะดี พอกำหนดรู้ไปเรื่อย ๆ ภาพพระจะเปลี่ยน สีก็จะจางลง จางลง จนกระทั่งค่อย ๆ ใสขึ้น สว่างขึ้น

ถาม : ใช่เลยค่ะ
ตอบ : ไปทำต่อ คนอื่นเขาทำแทบล้มประดาตายกว่าจะได้ แต่นี่ได้แล้วดันกลัว

เถรี
20-09-2009, 21:04
หลวงพ่อบอกว่า "งานอะไรที่ไม่มีอุปสรรค...มันไม่มีหรอก เพียงแต่ว่าอุปสรรคหรือปัญหาเขามีไว้ให้แก้

มีคนเขาถาม คุณเทียม โชควัฒนา ว่าแล้วถ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ล่ะ เขาก็บอกว่าปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ไม่ใช่ปัญหาสิ ถ้าแก้ไม่ได้มันจะเป็นปัญหาได้อย่างไร ซึ่งก็จริงของเขา"

เถรี
20-09-2009, 21:49
หลวงพ่อบอกว่า "การตักบาตรเทโว เกิดขึ้นจากวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกว่า วันเทโวโรหณะ เขาจึงมาเรียกสั้น ๆ ว่า ตักบาตรเทโว

พระพุทธเจ้าเสด็จลงที่เมืองสังกัสสนคร ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็นำข้าวปลาอาหารไปถวาย คราวนี้ว่าคนมากเป็นแสน ๆ โอกาสจะเข้าใกล้ก็น้อย เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยมีการพัฒนาในระยะหลังเป็นข้าวต้มลูกโยน เป็นข้าวเหนียวห่อใบตอง แล้วก็มีหางยาว ๆ ที่ทำด้วยใบมะพร้าว ถึงเวลาก็โยนไป

ถามว่าใช้วิธีอย่างนั้นถวายของพระพุทธเจ้าได้ไหม....ได้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้ ท่านบอกว่าถ้าเจ้าของให้ด้วยใจเคารพ...รับได้ ระยะหลังบ้านเราก็พัฒนาไปอีกกลายเป็นประเพณีโยนบัว รับบัวกัน ที่พระประแดง"