View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๗
พิชวัฒน์
21-06-2024, 16:36
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๗
pmdlxwrdAZA
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่  ๒๑  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๖๗  เป็นวันพระขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๗  ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของกระผม/อาตมภาพ  ก็แปลว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กระผม/อาตมภาพก็จะอายุ  ๖๖  ปีแล้ว  ซึ่งเรื่องของอายุก็เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ว่า  จากการที่ดูย้อนหลังไปหลายชาติที่ผ่านมา  ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพก็จะตายตั้งแต่อายุอย่างมากก็  ๔๐ กว่าปีเท่านั้น  
แต่มาในชาตินี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงลากยาวมาได้จนบัดนี้ ? ถ้าพูดกันตามสายลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือโดน "ต่อวีซ่ามา"  ก็ได้แต่หวังว่าวีซ่าหมดอายุเมื่อไร จะได้จบภารกิจกันเสียที..!
ต้องเจริญพรขอบพระคุณทางคณะสงฆ์วัดท่าขนุนและแม่ชีชื่น  ศรีสองแคว  ที่ร่วมกันจัดงานทำบุญวันเกิดให้  แต่ว่าตัวเจ้าของวันเกิดอย่างกระผม/อาตมภาพนั้น  ต้องวิ่งออกจากวัดแต่เช้ามืด  เนื่องเพราะว่ามีภารกิจรออยู่ข้างหน้า  ซึ่งมีหมอดูบางท่านบอกว่า  "กิจการงานต่าง ๆ ที่เราทำในวันเกิดนั้น  เท่ากับเป็นแผนชีวิตคร่าว ๆ ภายในปีนั้น"  ก็แปลว่ากระผม/อาตมภาพก็คงจะต้องเดินทางทั้งปี..!  
ขณะเดียวกันวันนี้ตรงกับวันศุกร์  ซึ่งมีโครงการ Upskills การสอนวิชาปรัชญาเบื้องต้น และวิชาศาสนาเปรียบเทียบซึ่งเป็นโครงการอบรมของคณาจารย์ในสังกัดมหาวิทยาลับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  
โดยที่ช่วงเช้าตั้งแต่แปดโมงครึ่งเป็นการบรรยายวิชาศาสนาเปรียบเทียบ  โดยท่านเจ้าคุณอาจารย์พระมหาสมบูรณ์  วุฒิกโร, รศ.ดร.  รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ซึ่งตอนนี้ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระปัญญาวชิรบัณฑิต   ต่อไปก็คงต้องเรียกขานท่านว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์" เหมือนกับรูปอื่น ๆ  ที่ผ่านมา
ส่วนในช่วงบ่ายนั้นเป็นการบรรยายวิชาปรัชญาเบื้องต้น  โดยพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรบัณฑิต, ศ.ดร.  ซึ่งได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่พระพรหมวชิรธีราจารย์  ต้องนับว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์อธิการบดีนั้น มีความเจริญก้าวหน้าทางสมณศักดิ์รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง  
เนื่องเพราะว่าจากชั้นราช  มาชั้นเทพ  มาชั้นธรรม  จนถึงชั้นพรหม  หรือว่ารองสมเด็จพระราชาคณะนั้น  ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น   เพราะว่างานที่ท่านทำก็คือ มอบความรู้ให้กับพระภิกษุสามเณรทั่วสังฆมณฑล  ก็คือเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   และจะเรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตในสังกัดมากที่สุดในประเทศไทยก็ได้  เพราะว่ามีทั้งวิทยาลัยเขต  มีทั้งวิทยาลัยสงฆ์  มีทั้งหน่วยวิทยบริการ  และมีทั้งห้องเรียนในสังกัดคณะวิชาต่าง ๆ ในประเทศไทยถึง ๔๐  กว่าจังหวัดด้วยกัน
ในวันนี้มีการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์  กระผม/อาตมภาพจึงต้องมอบฉันทะให้กับพระภิกษุวัดท่าขนุน ลงทบทวนพระปาฏิโมกข์แทน  เพราะว่าตนเองติดภารกิจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  ขณะเดียวกันก็ยังติดนัดหมออีกต่างหาก
คราวนี้ถ้าหากเป็นไปอย่างที่หมอดูท่านกล่าว  ก็คือวันเกิดของเราจะเป็นแผนชีวิตคร่าว ๆ ของทั้งปี  ก็แปลว่าปีที่อายุ ๖๖  ของกระผม/อาตมภาพนั้นคงจะต้องหาหมอกันทั้งปี   แต่ถ้าไปนับดูตามโหราศาสตร์ของจีน  ปีที่ลงท้ายด้วยเลข  ๖  ก็จะเป็นปีของการเจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ เสียด้วย..!  
แต่เรื่องพวกนี้ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพ  ก็ต้องบอกว่า "ทำใจได้มานานมากแล้ว"  เพราะว่ากรรมเก่าที่เกิดเป็นทหารมาทุกชาติ เข่นฆ่าเขาเอาไว้มาก  แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของตนก็ตาม  แต่ว่าสิ่งที่เราทำลงไปก็คือการล้างผลาญชีวิตของผู้อื่น  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  เศษกรรมปาณาติบาตที่ตามมาสนอง  จึงทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ
ไม่ว่าเลขอายุจะลง พ.ศ.ไหน   ลงอายุเท่าไร ก็ยังคงเจ็บไข้ได้ป่วยจนเป็นธรรมดา  จึงเป็นเรื่องที่แม้ว่าเขาบอกว่าดีก็เฉย ๆ  เขาจะบอกว่าร้ายก็เฉย ๆ  เพราะว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขกรรมเก่าได้  แต่ก็พยายามที่จะสร้างกรรมดีในชาตินี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
 
ต้องเจริญพรขอบพระคุณคณะศิษย์ทุกท่านที่ร่วมกันสร้างบุญสร้างกุศลอุทิศให้  ไม่ว่าจะเป็นการถวายสังฆทาน  การปล่อยชีวิตสัตว์ต่าง ๆ  ก็ตาม  ขอให้ทุกท่านได้รับปฏิพรย้อนสนองกลับไป  สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านทั้งหลายได้หวังไว้ ก็ขอให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผล ด้วยพุทธานุภาพ  ธัมมานุภาพ  และสังฆานุภาพ  
ขอให้มีความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม  แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ  ประกอบด้วยธรรม   ก็ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล  สมดังมโนรถปรารถนาทุกประการด้วยเถิด
ระยะนี้ก็มีเรื่องราววุ่น ๆ อยู่ในคณะสงฆ์ของเรา  โดยเฉพาะในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง  มีทั้งพระภิกษุที่ทำการค้ายาเสพติด  โดนค้นแล้วพบทั้งยาเค  ยาไอซ์  แล้วก็ยังมีพระภิกษุซึ่งขับเรือรับจ้างเพื่อเอาเงินไปให้ภรรยาทางบ้าน..!
กระผม/อาตมภาพก็สงสัยอยู่ว่า  ถ้ารักและห่วงภรรยาขนาดนั้น  ท่านจะมาบวชทำไม ?  เพราะว่าเป็นฆราวาสนั้นทำงานได้ดีกว่าตั้งเยอะ..!
อีกประการหนึ่งก็มีพระภิกษุที่ต้องใช้กันว่า "ไฮโซ"  เพราะว่าแสดงชีวิตของตนออกสื่อโซเชียลในลักษณะ "กินหรูอยู่แพง"  แถมยังซื้อกำไลเพชรคาร์เทียร์ ราคา  ๑๘๕,๐๐๐ บาทอีกต่างหาก..! กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบว่าท่านทำกิจการงานอะไร  ถึงได้มีเงินมีทองมากมายอะไรขนาดนั้น ?  
แล้วท่านซื้อกำไลฝังเพชรไปทำอะไรก็มิทราบ ?   เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพแล้วก็คงจะเอาเงินไปช่วยเหลือการศึกษาของพระภิกษุสามเณรและเด็ก ๆ จนกระทั่งแทบจะเหลือแต่ตัวไปแล้ว..!  
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  ก็ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ขาดการขัดเกลาฝึกฝนจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์  ไม่มีการปลูกฝังว่าสิ่งใดควร  สิ่งใดไม่ควร  ขณะเดียวกันท่านก็ปราศจากจิตสำนึก   ไม่ได้คำนึงถึงสมณสารูป  ก็คือความเป็นพระภิกษุสามเณรของตน  ไม่ได้คำนึงถึงศีล คือเรื่องที่ตนต้องรักษา  เพื่อให้ความเป็นพระภิกษุสามเณรของเราสมบูรณ์  แล้วก็ปราศจากสมาธิและปัญญา ที่จะต่อสู้กับกิเลส รัก โลภ  โกรธ  หลง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  กระผม/อาตมภาพจึงรู้สึกสงสารท่านทั้งหลายเหล่านี้มาก  เหตุเพราะว่าสิ่งที่ท่านทำนั้น ในทางโลกอาจจะเสียหายแค่ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง  แต่ในทางธรรมนั้นจะไปเห็นตอนที่ท่านมรณภาพหรือตายไปแล้ว  ซึ่งตอนนั้นก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยประการทั้งปวง..!
เมื่อเห็นในลักษณะนี้แล้ว  กระผม/อาตมภาพจึงได้แต่เวทนาว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นไม่ว่าจะ "หงายการ์ด" ว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี  ขาดสติทำไปโดยปราศจากความยั้งคิดก็ตาม  สิ่งที่ท่านทำนั้น ภาษากฎหมายเขาใช้คำว่า "กรรมนั้นได้สำเร็จลงแล้ว" ก็แปลว่าโทษนั้นเกิดขึ้นแล้ว  และโทษที่ทำในระหว่างเป็นพระภิกษุสามเณรนั้นก็หนักเป็นอย่างยิ่ง  จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายได้ยินแล้วควรที่จะสังวรระวังเอาไว้  
โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่ทราบข่าวแล้วไปใส่อารมณ์ด่าว่า ท่านต้องไม่ลืมว่าถ้าอ่านในพระไตรปิฎก  จะพบว่ามีบุคคลซึ่งไปด่าว่าพระภิกษุ  ซึ่งต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปแล้ว  แต่เปลือกนอกของท่านยังห่มเหลืองอยู่  เมื่อไปด่าในลักษณะนั้นแล้ว กำลังใจของตนเองเศร้าหมองเพราะว่าประกอบไปด้วยโทสะ  ตายไปจึงตกนรกเสียเอง..!  
กระผม/อาตมภาพเคยใช้คำพูดประมาณว่า "เห็นคนอื่นลงนรก  เราก็อย่าได้กระโดดตามลงไปด้วย"    พยายามที่จะวางใจให้เป็นอุเบกขา  เสพรับสื่อต่าง ๆ อย่างมีสติ  พยายามมองให้เห็นว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังเป็นปุถุชนอยู่  ย่อมเป็นผู้ที่หนาด้วยกิเลส  ทำสิ่งหนึ่งประการใดในลักษณะของบุคคลที่มืดบอด  เนื่องเพราะว่าโดนกิเลสชักจูง  ก็ย่อมเป็นไปในทาง รัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา  
ถ้าเรามองในลักษณะนี้  แทนที่เราจะไปโกรธไปเกลียด  ก็อาจจะรู้สึกเวทนาสงสารเสียด้วยซ้ำไป  เนื่องเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นช่างกระไรเลย  อันดับแรกเลย ครูบาอาจารย์ทอดทิ้ง ไม่มีการจ้ำจี้จ้ำไช  พร่ำบ่นสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีลของธรรมที่ดีงาม  
อันดับที่สอง  ท่านไม่ได้ศึกษาเรียนรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเป็นนักบวชที่ดี  ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงกลายเป็น "คนตาบอดจูงม้าตาบอด"  มีแต่จะตกเหวตกห้วยตายไปด้วยกัน  กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสารมากกว่าที่น่าจะโกรธ  หรือว่าเกลียดชัง 
จึงได้แต่แผ่เมตตาให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาแล้วจงมีกรรมดีส่วนใดส่วนหนึ่ง มาบรรเทาทุกข์บรรเทาโทษ  ไม่ให้ท่านโดนลงโทษจนเต็มความผิดของท่าน  หรือว่ากรรมดีนั้นมาเป็นอุปฆาตกรรม  คือตัดรอนในส่วนเสียกลับกลายเป็นส่วนดี   เหมือนกับพระองคุลิมาลเถระ  จนมีโอกาสพลิกฟื้นในช่วงสุดท้าย  
ถ้าไปสุคติแล้วก็ขอให้มีปัญญา  สามารถมองเห็นทางที่จะหลีกหนีโทษเก่าของตน  ประพฤติปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา  ส่งตนให้ขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป  จะได้หลีกพ้นจากโทษเก่าของตนไปได้  
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.