View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๗
พิชวัฒน์
19-06-2024, 20:03
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๗
M95a2-EyKYc
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๙  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๖๗ พวกเราก็ได้ทำการฉลองพัดเปรียญธรรมและประกาศนียบัตรผู้สอบได้ประโยคบาลีปี ๒๕๖๗  ไปแล้ว
ในส่วนของงานฉลองนั้น ต้องถือว่าเป็นครั้งแรกของวัดท่าขนุนและครั้งแรกของอำเภอทองผาภูมิ  ในเรื่องของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุนนั้น จัดตั้งขึ้นในปี  ๒๕๖๒  ตามโครงการ ๑  ตำบล  ๑ มหาเปรียญ  ซึ่งผู้ดำเนินโครงการคือท่านอาจารย์พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙   รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี  ผู้ดูแลด้านการศึกษาคณะสงฆ์
แต่เท่าที่ดำเนินการผ่านมานั้น  สำนักเรียนบาลีที่ประสบความสำเร็จ  ส่งพระสอบแล้วได้ประโยคบาลีก็มีแค่วัดเหนือ (วัดเทวสังฆาราม)  วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม)  วัดหัวนา  วัดทุ่งมะสัง  และวัดท่าขนุน  ส่วนอีกวัดหนึ่งที่สอบประโยคบาลีได้มาก  คือวัดเขาพุราง  แต่นั่นเป็นของคณะสงฆ์ธรรมยุต
ในเรื่องของการเรียนบาลีนั้น วัตถุประสงค์ของกระผม/อาตมภาพคือ ต้องการให้ทุกท่านมีความสามารถในการแปลพระไตรปิฎก หรือภาษาบาลีได้ถูกต้อง  การที่เราจะแปลภาษาบาลีได้ถูกต้องนั้น  ส่วนหนึ่งต้องมีการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย  เนื่องเพราะว่าศัพท์บาลีหลายอย่างนั้น  ถ้าเราไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม อาจจะแปลแล้วไม่เข้าถึงเนื้อหาหรืออรรถรสอย่างแท้จริง
เอาแค่คำว่า "สุขในฌาน"  เราก็บอกได้ว่าเป็นความสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  แต่มีอาการเป็นอย่างไรเราอธิบายไม่ได้  แต่ถ้าเราเรียนประโยคบาลีด้วย แล้วปฏิบัติธรรมด้วย  เราก็จะเข้าใจว่า บุคคลที่โดนไฟใหญ่  ๔  กอง  คือ  รัก  โลภ  โกรธ  หลง เผาอยู่ตลอดเวลา  เมื่อกำลังใจเข้าถึงฌานได้  กำลังสมาบัติที่เกิดขึ้น สามารถดับไฟใหญ่ทั้งสี่กองลงได้ชั่วคราว  บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา  อยู่ ๆ ไฟดับลงจะมีความสุขสบายอย่างไรอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก 
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  วัตถุประสงค์การเรียนของพวกท่านที่กระผม/อาตมภาพตั้งเอาไว้จึงไม่เหมือนกับที่อื่น   เนื่องเพราะคำว่าบาลี  มาจาก ปาลธาตุ คือ ในความรักษา  เรียนเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก  ถึงเวลาจะได้แปลได้ถูกต้อง  
แต่ว่าในบ้านเมืองเราส่วนใหญ่แล้วพอเรียนไป  ผู้บังคับบัญชาเห็นความพากเพียร  เนื่องเพราะว่าการเรียนบาลีนั้นยากมาก  เมื่อสำเร็จการศึกษามีประโยคเปรียญธรรมติดตัว  ท่านก็มักจะมอบหมายภาระหน้าที่ทางคณะสงฆ์ให้ จึงมีความเจริญก้าวหน้าในการปกครองคณะสงฆ์ มากกว่าบุคคลที่ไม่มีประโยคบาลีสนับสนุน  ทำให้การเรียนบาลีของพวกเรานั้น  ระยะหลัง ๆ มีวัตถุประสงค์ที่ผิดเพี้ยนไปมาก
โดยเฉพาะหลายสำนักมีการแย่งตัวผู้เป็นนักศึกษาบาลีกัน  อยู่ในระดับจ้างให้เรียนในนามสำนักของตัวเอง  เนื่องเพราะว่าเจ้าสำนักสามารถเอาผลงานตรงนี้ไปใช้ในด้านการศึกษา   เวลาที่ขอยศขอตำแหน่งก็มักจะได้ง่าย  เพราะว่ามีผลงานที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
เมื่อได้ประโยคบาลีมาก็มีการให้รางวัลกันหนัก ๆ  บางวัดผู้ที่จบประโยค ๙  มา ได้รับถวายปัจจัยให้เป็นล้านเลยก็มี..!  ซึ่งวัดเราถ้าได้ระดับร้อยบาทก็ดีใจตายชักแล้ว  และที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่มีการฉลองประโยคบาลีกันมาก่อนเลย  
รุ่นเก่า ๆ อย่างพระครูสุตกาญจนวัฒน์, ดร. อดีตก็คือพระมหาปรีชา  จิรนาโค  พระครูกาญจนปริยัติคุณ  อดีตก็คือพระมหาชุมพร  ปิยธมฺโม   หรือแม้กระทั่งพระมหานันทวัฒน์  เขมธมฺโม ป.ธ.๖  ที่ไปศึกษาอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ จบประโยค  ๖  แล้วเรียนต่อไม่ไหว  เพราะว่าเจ็บไข้ได้ป่วย จนต้องเบนเข็มไปในทางสั่งสอนญาติโยม โดยการเปิดบ้านสุมโนขึ้นมา  นำญาติโยมเจริญพระกรรมฐานแทน 
พอมาถึงรุ่นเราที่มีการฉลองกัน ก็ถือว่าเป็นไปตามทางโลก  แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมว่า  ในการเรียนของเรานั้น  วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร ?  โดยเฉพาะถ้าอยู่นาน ๆ ไป  มีอายุพรรษาได้ระดับ  อาจจะต้องไปรับหน้าที่พระสังฆาธิการระดับใดระดับหนึ่ง  อย่างเช่นเจ้าอาวาส  เป็นต้น  ซึ่งกฎเกณฑ์กติกาเขาก็ตั้งโดยเอาความรู้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ มีแนวโน้มว่าต่อไปเจ้าอาวาสอย่างน้อยจบปริญญาตรี  โดยเฉพาะปริญญาตรีทางด้านพระพุทธศาสนา
จะว่าไปแล้วก็เป็นความปรารถนาดีของผู้บังคับบัญชา ที่ต้องการให้เราท่านทั้งหลายไม่ใช่ว่าบวชมาแล้ว "ฉันเช้าแล้วเอน  ฉันเพลแล้วนอน  ตอนบ่ายพักผ่อน  ตอนค่ำจำวัด"  อย่างน้อย ๆ การศึกษาเล่าเรียนของเรา  ถึงจะไม่ได้ใช้งานจริง ก็ขอให้อยู่ในลักษณะภัณฑาคาริกปริยัติ ก็คือเรียนแบบคลังสะสมความรู้  มีโอกาสก็จะได้ถ่ายทอดต่อให้บุคคลรุ่นหลัง ๆ ต่อไป
โดยเฉพาะบุคคลที่ทำหน้าที่การสอนในพระปริยัติธรรม  ไม่ว่าจะเป็นแผนกธรรม  แผนกบาลี  หรือว่าแผนกสามัญ  จากประสบการณ์ของกระผม/อาตมภาพคือ ยิ่งสอนตัวเองยิ่งเก่ง  เพราะว่าเท่ากับได้ทบทวนความรู้อยู่ตลอดเวลา  อย่างที่หลายท่านจะเห็นว่า ถึงเวลาสอบนักธรรมสนามหลวง  กระผม/อาตมภาพสามารถเฉลยปากเปล่าได้ทุกข้อ  ก็เพราะว่าสอนแล้วสอนอีก  ย้ำแล้วย้ำอีก แต่ว่าผู้เรียนก็มักจะเป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น..การที่จะเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม  บางทีก็เป็นการทวนความรู้เก่าของเราไปในตัว  ขณะเดียวกันก็ได้สร้างธรรมทานไปด้วย  
ในเรื่องของการเรียนนั้น ควรที่จะเรียนให้ต่อเนื่องกันไป ก็คือไปให้สุดแรงสุดกำลังของเราก่อนแล้วค่อยหยุด  ถ้าหากว่าเรียน ๆ หยุด ๆ จะมีประสบการณ์ประเภท "ไฟหมด"  ก็คือไม่มีอารมณ์ที่จะเรียนต่ออีก..!  
ดังนั้น..ท่านใดที่เรียนอยู่  ถ้าเป็นไปได้ต้องตะเกียกตะกายไปให้เต็มที่ของเรา  ถ้าสามารถจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ก็ยิ่งดี  ถ้าต้องการที่จะดูตัวอย่างกาญจนบุรีของเราก็มี  ก่อนหน้านี้ก็มีพระมหาเอกชัย อุตฺตโม  วัดหม่องกระแทะ  ซึ่งท่านจบประโยค  ๙  ตอนอายุ  ๔๐  กว่าปี   หรือกระผม/อาตมภาพก็ไม่แน่ใจว่าจะถึง  ๕๐  ปีหรือเปล่า ?  
หรือแม้กระทั่งเจ้าคณะอำเภอพนมทวน  ก็คือพระมหาธวัชชัย  กลฺยาโณ ป.ธ.๙  นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์  เพราะว่าท่านผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วจึงมาบวช  บวชแล้วเรียนบาลีจบประโยค  ๙  ก็คือเรียนตอนอายุมากแล้ว  แต่สามารถลุยจนจบประโยค  ๙  ได้  
ก็แปลว่าในเรื่องของการศึกษานั้น  ไม่ใช่ว่าอายุมากหรืออายุน้อย  หากแต่อยู่ที่ความพยายามล้วน ๆ  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  สิ่งที่เราทั้งหลายพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน  ก็คือเรามีรุ่นพี่ที่เป็นเปรียญธรรมที่เป็นประโยคสูง  ก็เอาเป็นเป้าหมายไว้ว่าเราจะทำให้ได้ในระดับนั้น  หรือท่านที่ยังไม่มีเปรียญธรรมอยู่ก็เพียรพยายามที่จะสอบให้ได้  
ถ้าดูตัวอย่างพระภิกษุสามเณรที่มาจากภาคอีสาน  เมื่อถึงเวลาสอบได้เปรียญธรรม  ๓  ประโยคขึ้นไป  กลับบ้านไปกลายเป็น "พระมหา"  แทบจะเป็นความหวังของหมู่บ้าน  สมัยนี้เขาใช้คำว่า "ตัวแทนหมู่บ้าน"  ก็คือมีอะไรชาวบ้านแทบจะมอบกายถวายชีวิตให้กับพระมหาที่จบมาจากเมืองกรุง  ยิ่งได้ประโยคสูง ๆ ชาวบ้านก็ยิ่งตั้งความหวังเอาไว้มาก พูดง่าย ๆ ว่ายังไม่ทันจะเรียนจบ  เขาก็แทบจะยกขึ้นเหนือเศียรเหนือเกล้าไปแล้ว..!   
แต่เราต้องไม่ลืมประโยคบาลีที่เราเรียนว่า  ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย  บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา  ก็คือต่อให้เราเป็นเปรียญธรรม  ๙  ประโยค  เราก็ยังคงเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกับผู้อื่น  การศึกษาเป็นเพียงเครื่องช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับเรา  มีหนทางที่จะศึกษาเรียนรู้ได้มากกว่าคนอื่นเท่านั้น  
ถ้าศึกษาไปแล้วใช้งานไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปหลงในเรื่องของยศ  ในเรื่องของตำแหน่ง ก็มีแต่จะพาให้เราห่างไกลจากความดี  แล้วอาจจะหลงทางจนพาเราสู่ทุคติไปเลยก็เป็นได้..!  
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.