View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗
UBGzdT68HzI
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๖๗  มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์   เป็นการกระทบกระทั่งกันในการทำงาน  แต่ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย  อาจจะกลายเป็นสะเก็ดไฟนิดเดียว  แล้วก็เผาผลาญป่าทั้งป่าได้..!
กระผม/อาตมภาพเองจึงต้องเข้าไประงับเรื่อง  โดยต้องยกตัวอย่างว่า "แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็โดนมาเยอะแล้ว"  ก็คือบุคคลในโลกจะมีอยู่ไม่กี่จำพวก  แต่จำพวกที่น่ารังเกียจก็คือประเภท "ดีแต่พูด  งานไม่ทำ"  แล้วแถมยังอยู่ในประเภท "ลูกอีช่างติ"  กูติคนอื่นได้ทุกเรื่อง  แต่ไม่เคยดูตัวเอง  ลูกตัวเองเป็นอย่างไรไม่ดู   แต่ไปดูว่าทำไมเพื่อนไม่คุยกับลูก  ไม่เล่นกับลูก  เรื่องเดียวกันหรือเปล่า..!?  ไม่น่าจะเกี่ยวกัน..ใช่ไหม ?
ไม่ว่าจะในขณะที่เป็นฆราวาสหรือมาเป็นพระ  ตอนเป็นฆราวาสพวกท่านไม่ได้เห็น  แต่ตอนเป็นพระพวกท่านเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า กระผม/อาตมภาพคนเดียวแบกตำแหน่งไว้  ๓๐  กว่าตำแหน่ง   ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ก็คือผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระก็ตาม  ถ้าเห็นว่าใช้ใครแล้วได้อย่างใจ  ก็อยากจะใช้แต่คนนั้น
ตอนที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง  ๔  พรรษาสุดท้ายก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ จะมรณภาพ   เรื่องภายในวัดท่านแทบจะใช้กระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียว  แล้วก็โดนเหมือนกับอาจารย์ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์โดน  ก็คือ "มันเป็นเด็กเส้น  ทำอะไรก็ไม่ผิด"   ซึ่งความจริงเราต้องดูด้วยว่าสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่เขาทำนั้นต่างกันอย่างไร  ?
พอถึงเวลาเข้าเวรหน้าห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง  กระผม/อาตมภาพก็เปิดหาเพลงฟัง  เปิดหามวยดู  เปิดหาฟุตบอลดู  สนุกสนานจนคนอื่นมาร่วมดูด้วย  แต่ถ้าคนอื่นเปิดเมื่อไรก็หัวแตกเมื่อนั้น..!  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะจริง ๆ แล้วกระผม/อาตมภาพกำลังทดสอบกรรมฐานของตนเอง  
ในเรื่องของเสียงเพลงนั้น  ในชีวิตนี้กระผม/อาตมภาพแพ้เสียงผู้หญิงอยู่  ๓  คน  ก็คือ คุณวงจันทร์  ไพโรจน์   นั่นรุ่นแม่เลย  คุณลัดดาวัลย์  ประวัติวงศ์ ท้ายสุดก็คุณสุนทรี  เวชานนท์ ฟังแล้วเสียงติดหู  สลัดทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ  จึงใช้วิธีเปิดหาเพลงของทั้งสามคนนี้ฟังแล้วภาวนาสู้  โดยที่พยายามดูว่า วันนี้เราสามารถยืนระยะได้มากกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ?  แต่เปลือกนอกสำหรับคนอื่นก็คือ "ไอ้ห่..นี่ดูแต่คาราโอเกะทั้งวัน..!"  
ถึงเวลามีมวยชกกันกระผม/อาตมภาพก็พยายามซ้อมมโนมยิทธิ  ดูว่ามวยคู่นี้ใครแพ้หรือชนะ ?  ชนะน็อคหรือชนะคะแนน ?  ถ้าชนะน็อคเขาชนะกันยกไหน ?   แล้วก็เขียนผลการแพ้ชนะเอาไว้ก่อน  จากนั้นก็เปิดโทรทัศน์ดูเพื่อพิสูจน์
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าโทรทัศน์วัดท่าซุงมีอยู่แค่  ๔  เครื่อง  ก็คืออยู่ที่ห้องกรรมฐาน ตึกธัมมวิโมกข์  ๒  เครื่อง  อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพื่อให้ท่านติดตามข่าวสารบ้านเมือง  ๑ เครื่อง  อีกเครื่องหนึ่งก็อยู่กับกระผม/อาตมภาพที่เข้าเวร ก็ย่อมมีคนมาเปิดดูในสิ่งที่ตัวเองชอบ  แต่ว่าเปิดเมื่อไร  พอลงโบสถ์ทบทวนปาฏิโมกข์ หลวงพ่อท่านก็ด่าจมธรณีไปเลย..!  "แต่ไอ้ท่านเล็กทำอะไรหลวงพ่อไม่เคยด่า..!"  
ถึงเวลามีฟุตบอลก็จะทายผลไว้ก่อนว่าคู่นี้ใครแพ้ใครชนะ ? หรือว่าเสมอ  ถ้าชนะก็ชนะกันกี่ลูก  ? แล้วก็เขียนผลแพ้ชนะเอาไว้  เปิดฟุตบอลดู  ในเมื่อกระผม/อาตมภาพเปิดดูเท่าไรหลวงพ่อไม่เคยว่า  แต่พอคนอื่นเปิดดูแล้วโดนด่า  ดีไม่ดีก็ไม้เท้าลงกบาลไปเลย..!  เขาก็ไปว่ากล่าวกันว่ากระผม/อาตมภาพ "เป็นเด็กเส้น..ทำอะไรไม่เคยผิด..!"  
ขนาดลงไปไล่ตีชาวบ้านที่ลงมาหาปลาหน้าวัดก็ยังไม่ผิด..!  ชาวบ้านยกขบวนมาเรียกร้องกับท่านเจ้าคุณอนันต์ ตอนนั้นก็คือพระอนันต์ พทฺธญาโณ  ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระครูปลัดด้วย  กระผม/อาตมภาพโดนกรรมการสงฆ์สอบสวน แจ้งข้อหาว่าทะเลาะเบาะแว้งกับชาวบ้าน   ทำให้วัดเสียชื่อเสียง  มีมติให้ขับออกจากวัด..!  เมื่อยื่นเรื่องไปเพื่อให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอนุมัติ  หลวงพ่อท่านพูดแค่ว่า "มันน่าจะมีคนทำอย่างนี้มานานแล้ว..!"    
กรรมการสงฆ์ทั้ง ๑๒  รูปแตกกระจายหายวับไปคนละทิศคนละทาง  บางรูปก็ยังเกรงว่ากระผม/อาตมภาพจะอาฆาตพยาบาทมาเอาคืนหรือเปล่า ?   อุตส่าห์ "ทำใจดีสู้เสือ" มาพูดมาคุยด้วย  ประมาณว่า "ถ้าผมไม่แก่เกินไป ก็จะลงไปพายเรือกับคุณด้วย..!" 
ความจริงการจะไล่กระผม/อาตมภาพออกจากวัดง่ายจะตายชัก  เพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้อำนาจไว้เต็มที่สำหรับคณะกรรมการสงฆ์  ท่านบอกว่าถ้า ๒  ใน ๓  ของคณะกรรมการสงฆ์เห็นว่าท่านต้องออกจากวัด  ท่านก็ยินดีที่จะไป..!  นี่ดันไม่กล้าตัดสินใจ  ไปยื่นเรื่องให้หลวงพ่อท่านตัดสินใจเป็นอันดับสุดท้าย  ก็จะเจออย่างนั้นอยู่บ่อย ๆ..!
ดังนั้น..บางอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกไปในกลุ่มไลน์ที่เขากระทบกระทั่งกันว่า "ผมเองโดนมาเยอะแล้ว"  ไม่ได้หมายความว่าโดนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์อย่างเดียว  แต่ว่าโดนมาทุกทิศทุกทาง  ประสบการณ์ ๑ รุม ๑๐  ก็เจอมาแล้ว..!  เขาพยายามที่จะต้อนให้ตกหลุม  แต่กลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพอาศัยวิชาที่หลวงพ่อท่านสอน  คือมโนมยิทธิ "ในเมื่อรู้ว่ามึงคิดอย่างไร  แล้วยังไปตามมึง กูก็โง่ตายห่..!"
กลายเป็นว่าแทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้อนกระผม/อาตมภาพให้ตกหลุมได้  กลายเป็นโดนปั่นหัวเสียจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง  แต่อย่าลืมว่านั่นคือคณะสงฆ์  เสร็จงานเมื่อไรกระผม/อาตมภาพกราบขอขมาทุกครั้ง  การขอขมาก็คือ "เรื่องนี้กูจบ  ส่วนใครจะแบกก็เรื่องของมึง..!"  ตลอดระยะเวลาที่มีการกระทบกระทั่งกัน จะดูกำลังใจตัวเองเป็นหลักว่า มี รัก โลภ  โกรธ  หลง เกิดขึ้นหรือไม่ ?  
ดังนั้น..เมื่อส่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นมณฑปหลังร้อยวันแล้ว  กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะอยู่วัดต่อได้   ถ้าอยู่ต่อจะมีปัญหา   เพราะว่าเป็นผู้กุมเสียงข้างมากเอาไว้ในมือ เหมือนกับวิปรัฐบาล  คนที่เขาต้องการตำแหน่งเขาก็พยายามที่จะแย่งตัว  เพราะรู้ว่าเข้าข้างใคร  คนนั้นก็ชนะ  จึงได้โทรบอกครูบาอาจารย์ ก็คือท่านเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งตอนนั้นก็คือพระครูปลัดอนันต์แล้วว่า "ผมอยู่ไม่ได้  ให้ตั้งข้อหาอะไรก็ได้ แล้วขับผมออกจากวัด  เพราะว่าพรุ่งนี้ผมจะไปแล้ว"  
ท่านก็ออกปากว่า "ถ้าคุณไปแล้วใครจะช่วยผม"  ก็เรียนท่านไปว่า "ประคับประคองกันมาจนถึงขนาดนี้แล้ว  ถ้าหากยังยืนเองไม่ได้  กระผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรเหมือนกัน ?"  แล้วรุ่งขึ้นก็เก็บของออกจากวัดเลย  ทั้ง ๆ ที่ท่านบอกว่า "ไปสักเดือนสองเดือนแล้วกลับมาก็ได้"  แต่กระผม/อาตมภาพไม่เคยย้อนกลับไปอีกเลย..!  
ถ้าย้อนกลับไปก็จะอยู่ในลักษณะเดิม  เนื่องเพราะว่าพอออกมาแล้ว  หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ต้องหาพระถึง ๕  รูปไปทำงานที่กระผม/อาตมภาพเคยทำอยู่คนเดียว..!  
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้น  กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่าบรรดาน้อง ๆ ที่วิทยาลัยสงฆ์นั้น กำลังใจยังไม่ได้ระดับที่จะวางลงได้  กลายเป็นเก็บกด  เมื่อถึงเวลาเจอ "ฟางเส้นสุดท้าย" เข้าก็ระเบิด จึงต้องยกตัวอย่างตัวเองให้เขารู้ประมาณว่า "แม้แต่อาจารย์เล็กยังโดนมาเยอะ ของเอ็งยังจิ๊บ ๆ..!" แต่ก็พูดมากกว่านั้นไม่ได้  เพราะว่าเราเองลาออกมาแล้ว  เขาไม่ดีดออกจากกลุ่มไลน์  ก็ถือว่าให้ความเกรงใจมากแล้ว..!
ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม  สิ่งแรกที่ต้องดูไว้ก่อนเลยก็คือกำลังใจของเรา  ว่าผ่องใสหรือว่าขุ่นมัว  ถ้าหากว่ายินดี  เป็นการยินดีมากเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าใครที่เคยศึกษาเรื่องสีของจิตก็จะรู้ว่า กำลังใจ รัก โลภ  โกรธ  หลง แต่ละอย่างนั้น  สภาพจิตของเราจะมีสีสันที่ต่างกันไป  
ถ้าหากว่าเป็นเรื่องไม่ดีมากระทบ  เราเก็บความขุ่นมัวไว้ยาวนานเท่าไร  ? สามารถขับไล่ไปในระยะเวลามากน้อยเท่าไร  ? ครั้งต่อไปที่เกิดขึ้นเราใช้ระยะเวลาที่น้อยลงหรือมากขึ้น ?
ตราบใดท่านทั้งหลายที่ว่าตนเองเป็นนักปฏิบัติธรรม  แต่ไม่รู้จักดูที่ตัวเอง  ไม่รู้จักแก้ที่ตัวเอง  โอกาสที่จะก้าวหน้ามีน้อยมาก  กระผม/อาตมภาพบอกพระพี่พระน้องในวัดท่าซุงสมัยนั้นว่า "ใครวางก่อน  สบายก่อน"  ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นฟังเข้าใจหรือไม่ ?  
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.