View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
พิชวัฒน์
18-03-2024, 20:05
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
T5vfJ0j5G8U
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่  ๑๘  มีนาคม  พุทธศักราช  ๒๕๖๗  ช่วงนี้พวกเราลากันค่อนข้างจะมาก  กระผม/อาตมภาพลองดูรายชื่อคร่าว ๆ ประมาณ  ๒๐  รูป  ถ้าเป็นวัดอื่นลากันขนาดนี้ก็ล่มจมไปแล้ว ยังดีที่พระของวัดท่าขนุนเราค่อนข้างจะมาก  
ว่าแต่จองเหรียญเสริมปัญญากันทันหรือเปล่า ?  ไอ้ตัวเล็กมักจะออกในเวลาที่เราไม่คิดว่าจะออก  เมื่อวานนี้กระผม/อาตมภาพกำลังอยู่ในงานของวัดถ้ำมงกุฎ (เขาทะลุ)  ส่วนวันนี้กำลังอยู่ในงานศพของท่านวินเต ชาคโร  พระลูกวัดหินแหลม  กว่าจะรู้ว่าเปิดจองก็ปาไป  ๒๐ กว่าหน้าแล้ว..!  ก็เป็นเรื่องปกติ  เนื่องเพราะว่าพวกเรายุติธรรมมากจนเกินไป  ก็คือแม้แต่กระผม/อาตมภาพ ถ้าอยากได้ก็ต้องเข้าไปจองเอง  
ในเรื่องของวัตถุมงคลนั้น  กระผม/อาตมภาพไม่ได้หนักใจ  อะไรที่พระท่านสั่ง  อย่างไรก็จำหน่ายได้  แต่ตอนนี้ที่หนักใจก็คือ เกรงว่าไม่ทันจะเสก  สงครามก็จะปะทุรุนแรงเสียก่อน  ท่านอย่าลืมว่าชุดนี้ก็คือเหรียญเสริมปัญญา  ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ ช่วยในเรื่องการเรียนการศึกษานั่นเอง  
แต่เนื่องจากวันเสกคือวันเสาร์ ๕ ตรีวัน  เป็นวันเสาร์ขึ้น  ๕  ค่ำ  เดือน  ๕  ปีที่  ๕  คือปีมะโรง  แล้วพอดีกับสภาวะโลกของเราค่อนข้างจะไม่ปกติ   กระผม/อาตมภาพก็เลยตั้งใจจะกราบขอบารมีพระให้ท่านสงเคราะห์  ช่วยเหลือเรื่องการป้องกันอันตรายจากภาวะสงครามด้วย
แต่รู้สึกโลกเราจะสงบเกินไป  ก็เลยมีผู้นำบางประเทศอยากรบมาก..!    ต้องบอกว่าไอ้พวกไม่เคยลำบาก  ไม่เคยอยู่แนวหน้า  ไม่รู้หรอกว่าในสภาพแบบนั้นชีวิตแทบจะไม่มีราคาอะไรเลย  กระผม/อาตมภาพอยู่แนวหน้าปีกว่า  ทั้ง ๆ ที่โดยภารกิจแล้วคนละ ๑  ปีเท่านั้น
เหตุที่ต้องอยู่ถึงปีกว่า  เพราะว่าตอนช่วงนั้นมีการปะทะต่อเนื่อง ข้างบ้านของเราคือกัมพูชา  หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าเขมร  ได้รับความช่วยเหลือจากเวียดนาม  หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าญวน   ซึ่งตอนนั้นประเทศเวียดนามตั้งใจจะยึดประเทศไทยด้วย  
พวกกระผม/อาตมภาพเองได้รับอบรมในการป้องกันพื้นที่ของเรา  ถ้าทำตามแผน  ต่อให้เวียดนามสามารถยกกองทัพทะลุทะลวงเข้ามาได้  ก็ไม่เกินสระบุรี  เพราะว่าพวกเราทั้งหมดพร้อมที่จะเผยไม้ตายสุดท้ายในช่วงนั้น  แต่ยังดีที่ว่าพื้นที่ชายแดนแถวตาพระยา  อรัญประเทศ  ไล่ไปจนถึงละหานทรายของบุรีรัมย์  เป็นพื้นที่ดินค่อนข้างอ่อนถึงอ่อนมาก  ถามว่าอ่อนขนาดไหน ? ขนาดรถจอดอยู่เฉย ๆ ก็จมถึง "คัสซี" เลย..!
เรื่องนี้ทางหน่วยที่กระผม/อาตมภาพสังกัดอยู่ มีรถจมไป ๒ คัน แล้วก็ขอทางกองร้อยข้างเคียง ส่งรถ "รสพ"  ไม่ใช่รถรับส่งพัสดุภัณฑ์ โปรดอย่าเข้าใจผิด รถสายพานลำเลียงพล ไปช่วยดึงรถบรรทุก  ที่เรียกง่าย ๆ ว่า  GMC  ขึ้นมา ปรากฏว่ารถสายพานทั้ง ๒ คันก็จมไปด้วย สรุปก็คือรถยนต์บรรทุกหรือที่เรียกกันว่า GMC  มีของสิบเอกบุญยูร  ทรัพย์อุปการ คันเดียวที่รอด เพราะว่าจอดอยู่บนถนน
ถามว่าทำไมไม่ไปจอดหลบแบบคนอื่นเขา ? สิบเอกบุญยูรบอกว่า จากประสบการณ์ที่เคยรบแถวเขาค้อ หินร่องกล้ามาแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่สถานที่ซึ่งได้รับการบดอัด จนกระทั่งสามารถรับน้ำหนักรถได้ เราจะไว้ใจไม่ได้สักที่เดียว แกก็เลยยอมเป็นเป้าของอาวุธหนัก ด้วยการจอดรถเด่นหราอยู่บนถนนเลย ใครจะด่าก็ช่างมัน  แล้วท้ายสุดก็รอดอยู่คันเดียว..!
ดังนั้น..ในเรื่องของการรบ ชีวิตของเราจะหมดไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอ ๆ กับการปฏิบัติธรรมเลย  อะธุวะ ชีวิตัง  ธุวะ มะระณัง  ใครที่ปฏิบัติธรรมสาย มจร. หรือบางทีเรียกสายพองยุบ จะต้องท่องกันทุกคน
อะธุวะ ชีวิตัง  ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง  
ธุวะ มะระณัง ความตายเป็นของเที่ยง 
อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง  ตัวเราจักต้องตายเป็นแน่แท้ 
อยู่ชายแดนตายง่าย ๆ จริง ๆ ขนาดหลบอยู่ในหลุมบุคคล โอกาสตายไม่มี  ยิงอย่างไรก็ต้องเลยหัวไป แต่ปรากฏว่าลูก ค. ที่เราเรียกว่าปืนครก ความจริงปืน ค.ย่อมาจากเครื่องยิงลูกระเบิด เราเห็น "ค." ก็เลยเรียกว่าปืนครกก็แล้วกัน 
หย่อนลงกลางหลุมพอดี ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ หาซากไม่เจอหรอก กลายเป็นเนื้อบดเละ ๆ อยู่ในหลุมนั่นแหละ ไม่ต้องเสียเวลาเอาขึ้นมา มีเครื่องหมายอะไรที่พอบ่งบอกได้ว่าเป็นตัวตนของเขา ก็เก็บไว้ให้ญาติสักชิ้นหนึ่ง ไอ้ที่เหลือก็กลบไปเลย..!
ในเมื่อชีวิตหาความเที่ยงไม่ได้ในศึกในสงคราม เมื่อไม่นานมานี้ อ่านคำสรุปหรือคำคมเกี่ยวกับภาวะสงครามว่า "สงครามก็คือการส่งคนหนุ่มที่ไม่รู้จักกันไปฆ่ากันตาย โดยที่คนแก่ ๆ สองสามคนที่รู้จักกันเป็นคนสั่ง..!"
คราวนี้ถ้าภาวะสงครามเกิด ทุกอย่างจะลำบากไปหมด แม้ว่าในยุคนี้สมัยนี้จะไม่ลำบากมากเท่ากับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่  แต่ก็น่าเป็นห่วง  เพราะว่าบ้านเราซึ่งพื้นฐานเป็นประเทศกสิกรรม  ก็คือเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยได้ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตวแบบครอบครัว หากแต่ทำในลักษณะของการรับจ้างจากบริษัทใหญ่ ๆ ให้ทำ ผลผลิตทุกอย่างเป็นของบริษัทใหญ่เกือบทั้งหมด..! 
แม้กระทั่งระยะหลังเรื่องของเมล็ดพันธุ์อะไรต่าง ๆ เขายังมีการจดลิขสิทธิ์ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าในภาวะสงคราม สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
ดังนั้น..เรื่องของอาหาร ใคร ๆ ก็ต้องกิน จะเป็นเวลา "กอบโกย" เนื่องเพราะว่าถ้าเรามีอะไรก็ขายได้ทั้งหมด แต่กลายเป็นว่าระบบการผลิตในเรื่องของการกสิกรรมในปัจจุบันไม่เหมือนก่อนนี้ ก็เลยทำให้ถึงเวลาแล้วผู้ที่จะกอบโกยจริง ๆ กลายเป็นบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งหมด..!   
โดยเฉพาะคนไทยเราในปัจจุบันนี้ขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดได้ คือแม้กระทั่งจะปลูกพริก  ปลูกมะเขือ ปลูกมะนาวเอาไว้สักต้นสองต้นก็ไม่มี  อะไร ๆ ก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ..!  
ปัจจุบันนี้ท่านทั้งหลายก็จะได้ว่ากระทั่งกล้วยหอมก็แบ่งลูกขายกันแล้ว  กระทั่งไข่ที่ซื้อไปต้มที่บ้านเองได้  ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อไข่ต้มจากร้านสะดวกซื้อ  ยอมซื้อของแพงเพื่อความสบายส่วนตัว  กระผม/อาตมภาพเคยถามคนขับแท็กซี่คันที่เรียกไปส่ง  ตอนช่วงนั้นทางรถไฟสายสีม่วงกำลังจะสร้างเสร็จ  ถามว่า "ถ้าทางรถไฟสายนี้เสร็จ พวกโยมได้รับผลกระทบมากไหม ?" 
เขาบอกว่า "ถ้าเป็นแท็กซี่แทบไม่มีผลกระทบเลยครับ ประการแรก ถ้าคุณขึ้นรถไฟฟ้าสัก ๓  คน  ราคาก็เท่ากับแท็กซี่แล้ว  ประการที่สอง รถไฟฟ้าส่งคุณถึงประตูบ้านไม่ได้..!"  แล้วแท็กซี่ก็สรุปว่า "คนไทยขี้เกียจครับ  ถ้ารถอะไรส่งถึงประตูบ้านได้ก็จะใช้รถแบบนั้น  รับประกันว่าพวกผมไม่กระทบหรอก..!"
แล้วก็เป็นเรื่องจริง  แต่คราวนี้ที่กระผม/อาตมภาพพูดมานี้ คือภาวะสงคราม  ซึ่งจะกระทบกับคนทั้งโลก  ต่อให้ขี้เกียจขนาดไหนก็กระทบ  ดังนั้น..ถึงเวลาข้าวของทุกอย่างก็จะแพง  ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าทองคำจะแพงแค่ไหน  ให้สนใจว่าจะหาของกินได้หรือไม่ ?  
ในเมื่อการผลิตของเราไม่ได้อยู่ในมือของตนเอง  เราก็พึ่งพาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้  ยังโชคดีที่คนทองผาภูมิของเรายังอยู่ในลักษณะการพึ่งพาตนเอง  ดูได้จากช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙  ระบาดหนัก ๆ แทบจะไม่มีผลกระทบเลย ต่อให้เป็นผู้ที่เปิดร้านค้าขายอยู่  เขาก็มีไร่มีนาเป็นของตนเอง  
แต่ว่าพี่น้องที่อื่นจะเป็นแบบคนทองผาภูมิหรือไม่  ? ส่วนนี้ก็ปรารภเพื่อฝากเป็นการบ้านเอาไว้  พูดมากไปเดี๋ยวก็จะโดนข้อหาทำให้ชาวบ้านเขาแตกตื่นอีก  ตั้งใจจะพูดในเรื่องวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนเท่านั้นเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา  และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.