กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 13-09-2013, 17:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอ่านผลงานวิจัยของฝรั่ง เขาบอกว่าถ้าคนเราโกรธน้อย ร่างกายจะทรุดโทรมช้า มานึกถึงภาษาบาลีที่ใช้คำว่า ไฟโทสะจะเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมเร็ว เออ..ตรงกัน งานวิจัยของฝรั่งในที่สุดก็มาลงในพระไตรปิฎก คนที่สามารถรักษากำลังใจของตัวเองได้ ร่างกายจะโทรมช้า แต่ว่าแก่เหมือนคนอื่นนั่นแหละ เปลือกนอกหลอกหน่อยเดียวเอง

พยายามรักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไรเรารู้หมด แต่ว่าเราคุมมันได้ไหม ? ส่วนใหญ่ที่เราคุมไม่ได้เพราะ ๑. สติ ไม่พอที่จะยับยั้ง ๒. สมาธิ กำลังไม่พอที่จะหยุด ๓. ปัญญา หาวิธีการไม่เจอว่าจะจัดการอย่างไร ?

เรื่องพวกนี้ต้องพยายามเน้น ระดับของเราต้องเน้นที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติจะมี แล้วปัญญาจะเกิด สมาธิเหมือนกับแกนกลาง สติกับปัญญาเหมือนลูกตุ้มตาชั่ง ถึงเวลาก็ชั่งน้ำหนักว่าสถานการณ์อย่างนี้จะจัดการอย่างไร ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2013 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 13-09-2013, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมาธิแก่กล้า จำเป็นไหมว่าสติต้องแก่กล้าด้วย ?
ตอบ : ต้องไปด้วยกัน ปัจจุบันอาตมายืนยันเลยว่าบางสายปฏิบัติผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาบอกให้ใช้เฉพาะอุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิเท่านั้น ท่านใช้คำว่า เมื่อเรากำหนดจดจ่อต่อเนื่องนานไป ๆ เหมือนเราสะสมงาทีละเมล็ด นานไปก็มีเมล็ดงามากพอ ที่จะคั้นเอาน้ำมันไปใช้งานได้

อาตมาเองฟังแล้วมานั่งเซ็ง ก็ตูมีงาทั้งเกวียนแล้วทำไมต้องมาเก็บทีละเมล็ด ? เขาบอกว่าไม่ได้ อินทรีย์ ๕ ต้องเสมอกัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันไม่สามารถจะใช้งานได้ อ๋อ..นี่ลอกพระไตรปิฎกมาเป๊ะ ๆ เลย

ในเมื่อผมมีสมาธิอยู่แค่นี้ ทำไมไม่ปรับศรัทธา สติ วิริยะ ปัญญา ให้ขึ้นมาเท่ากัน ทำไมทะลึ่งให้ลดสมาธิลงไป ? คนเราใส่เกราะอยู่ดี ๆ จะให้ถอดเกราะ ทิ้งอาวุธขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน มือเปล่า ก็มีหวังตายฟรี ฉะนั้น..อาตมายืนยันว่า ถ้าปฏิบัติแบบนี้ ชาตินี้ไม่ต้องหาคนได้มรรคผลหรอก ถ้าเป็นพื้นฐานขั้นแรกจะได้ เพราะคนกำหนดสติจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า สติที่ดำเนินไปเฉพาะหน้าจะไม่ไปวุ่นวายกับกิเลส แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไร เป็นโดนกิเลสตีหงายท้องทุกราย

ก็เลยกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้ เขาทำได้หน่อยหนึ่ง แล้วไปแนะนำอย่างนั้น พอสมาธิเริ่มสูงเขาให้กำหนดตัวรู้ กำหนดรูปนั่ง กำหนดรูปยืน กลายเป็นดึงสมาธิย้อนกลับมา คนขึ้นบันไดแล้วก็โดนลากกลับมาอยู่ขั้นแรกทุกทีเลย แล้วเมื่อไรจะถึงจุดหมายเสียที


ถาม : ผู้ได้สมาธิแก่กล้าแล้วต้องมาเจริญสติให้มากขึ้น ?
ตอบ : ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้วสมาธิขนาดนั้น สติต้องมีเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่ปฏิบัติ วิริยะมีไหม ? ถ้าไม่มีก็ไปไม่ถึงขั้นนั้น เหลืออย่างเดียวคือปัญญา ว่าจะจัดการอย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2013 เมื่อ 19:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 13-09-2013, 19:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาบอกว่า "วิริยะต้องสมดุลกับสมาธิ ถ้าสมาธิมีมากจะเกียจคร้าน" ผมไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : การที่เรานั่งเฉย ๆ เขาเห็นว่าเกียจคร้าน แต่จริง ๆ แล้ว เขาทำไม่ได้เองก็เลยอธิบายมาแบบนั้น ถ้าทำเองจะเห็นว่าในระยะที่สมาธิดำเนินไป ข้างในจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง ไปโดยอัตโนมัติ แต่เขาเห็นว่าเรานั่งเฉย ๆ เขาเลยบอกว่าต้องไปนับ ๑ ใหม่ ต้องอย่างนั้นถึงจะขยัน

ถาม : ผมก็งง เพราะว่าพอเข้าสมาธิแล้วก็มีความขยัน ไม่เห็นจะลดละเลย ?
ตอบ : ถ้าไม่ขยันใครจะไปนั่ง ? แต่คราวนี้เขายืนยันว่าทำให้เกียจคร้าน ทำให้เซื่องซึม อาตมาก็ว่าเข้าสมาธิแล้วสภาพจิตสดชื่น แหลมคม ว่องไวกว่าปกติ อะไรที่เข้ามารู้ทันหมด จะว่าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ

ถ้าเราไปว่าเขา ก็เท่ากับเราไปโจมตีสายการปฏิบัติของเขา อาตมาเลยมีความเห็นว่า สายการปฏิบัติทุกสาย ถ้าเอาคนเข้าวัดได้ก็ใช้ได้ คนเข้าวัดก็คือคนที่ขาดที่พึ่งทางใจ เหมือนกับคนหิว ถึงเวลาต้องการอาหาร อาหารจะรสชาติเฮงซวยอย่างไรก็ขอให้ได้กินเถอะ พออิ่มขึ้นมา ต่อไปเขารู้ว่าอาหารรสไม่ถูกปาก เดี๋ยวเขาก็ไปหาร้านที่ถูกใจเขาเอง ฉะนั้น..อันดับแรกให้เอาคนเข้าวัดได้ก่อน เพียงแต่ว่าใครไปสายโน้นก็เดินไกลหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2013 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 13-09-2013, 20:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในการเจริญเมตตา มีการบริกรรมแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีหญิง มีชาย มีพระอริยเจ้า มีมนุษย์ เทวดา พรหม มีโอปาติกกะ ทำอย่างนั้นได้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ควรจะเป็นทั้งหมดพร้อมกัน แต่ว่าบางอาจารย์ท่านแนะนำให้แผ่ไปทีละอย่าง ก็ดีเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ให้ผู้หญิง ให้ผู้ชาย ให้พรหม ให้เทวดา แต่อาตมาถนัดให้ทีเดียวหมด เวลาเรากำหนดใจแผ่เมตตาไปถึงระดับหนึ่ง จะเหมือนกับตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า กระแสเมตตาที่แผ่ออกไป ถึงทุกภพทุกภูมิได้ง่ายมาก ขนาดโลกเราเหมือนลูกอะไรเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่ใต้ตัวเรา กำหนดจิตคลุมได้ทั้งโลกเลย ต้องทำลักษณะอย่างนั้น

สภาพจิตของเรามีอยู่ส่วนหนึ่ง คือ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ตั้งใจอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ความคล่องตัวต่างกันเท่านั้นเอง การแผ่เมตตาเบื้องบนถึงพรหมชั้น ๑๖ เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก เบื้องขวางเป็นโลกธาตุที่ประมาณไม่ได้ ฉะนั้น..จะว่าไปแล้วไม่มีข้อจำกัด


ถาม : ในขณะแผ่เมตตาต้องเป็นฌานไหนครับ ?
ตอบ : จะเป็นฌานไหนก็ได้ ขอให้ได้สักฌานกำลังก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่ถึงฌาน เป็นแค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ ยังทำไม่ได้แบบนั้น

ถาม : ผมเข้าใจว่าต้องบริกรรมไปเรื่อย ๆ พอแนบแน่นแล้วค่อยแผ่ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน คือกำหนดแผ่ไปเรื่อย ๆ แล้วสมาธิจะทรงตัวมากขึ้น ๆ กับอีกอย่างหนึ่งคือเข้าสมาธิให้ทรงตัวไปเลย แล้วค่อยแผ่ออกไป ท่านที่คล่องตัวแค่คิดก็เป็นแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 13-09-2013, 20:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีปัจจัยอะไรที่เกื้อหนุนให้เราเข้าถึงสภาพจิตคนหนึ่ง เช่น เขาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ใจอยู่ในระดับรู้ได้ดี แต่ว่าจะมีตอนหนึ่งก่อนที่จะนำอธิษฐาน ...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : เกิดจากคำอธิษฐานที่ว่า "เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ารู้เหตุนั้นได้โดยไม่ต้องกำหนดจิต" พอเราไปเปิดเครื่องรับแล้วสัญญาณเข้ามา เราก็รับได้

ถาม : ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าหนูจะเปิดบ้าง ว่างวดหน้าหวยออกอะไร ?
ตอบ : สบาย...ลองดูได้เลย ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยรองรับ ไม่มีไม่ได้ การปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจะมีคำอธิษฐานอยู่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้ารู้ได้โดยชัดเจนแจ่มใส โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" คราวนี้รู้หรือยังว่าเพราะอะไร ? บางอย่างเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร แต่ความจริงเราตั้งใจจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราลืมความตั้งใจนั้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 13-09-2013, 20:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จิตที่เป็นอสังขตธาตุ คืออะไร ?
ตอบ : คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่งอีกแล้ว เรียกว่าอสังขตธาตุ ต้องบอกว่าเป็นธาตุที่อยู่ตัวแล้ว

ตามที่เขาว่ามาก็คือว่ากำลังใจของพระในระดับนั้น การปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีแล้ว การยินดียินร้ายไม่มีแล้ว กลายเป็นสภาพจิตที่ปราศจากการปรุงแต่ง เรียกว่าอสังขตธาตุก็ชัดเลย


ถาม : มีเครื่องหมายอันใดที่บรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ถ้าบรรลุจริง ๆ จะมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ญาณ เครื่องรู้จะบังเกิดขึ้นกับตนเอง รู้ว่าชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ของเราจบแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือพระท่านจะเสด็จมาให้คำพยากรณ์เอง ส่วนใหญ่ประเภทหลังนี้มาในสายของอภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ พระจะเสด็จมาบอกเอง เพราะท่านรับได้ชัดเจน ส่วนสุกขวิปัสสโกหรือเตวิชโช จะเกิดญาณคือเครื่องรู้ว่าเราไปถึงระดับไหนแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 14-09-2013, 18:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอคำแนะนำในการปฎิบัติ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ทำให้จริงก็แล้วกัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเรารู้กันทุกคน แต่ทำยังไม่จริง ทุ่มเทไปเลย ประเภทถ้าไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย แล้วจะสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่พวกเรายังทำไม่จริง ยังประเภทชักเข้าชักออก ต้องถามว่า ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนากี่ชั่วโมง ? เอาแค่นี้ก็รู้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 14-09-2013, 18:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีพระมากราบขอขมาหลวงพ่อช่วงเข้าพรรษา "ภาษาพระเขาเรียกว่าทำวัตร จริง ๆ ก็คือสมัยก่อนนั้นช่วงเข้าพรรษาประมาณครึ่งเดือนแรก พระที่ท่านจำพรรษาอยู่ในที่ต่าง ๆ จะไปกราบรายงานตัวต่อครูบาอาจารย์ ว่าตอนนี้ตนเองไปอยู่ที่ไหน มีความสุขความทุกข์อย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านจะได้รับรู้เอาไว้ ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือ จะได้รู้ว่าท่านไปอยู่ที่ใด

ส่วนลักษณะของการยืน สมัยก่อนเขาถือว่าการเคารพมากคือการยืนแสดงความเคารพ ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า พรหมหรือเทวดามาถวายความเคารพพระพุทธเจ้า "ยืนอยู่ในส่วนที่ควรข้างหนึ่ง" สมัยก่อนแสดงความเคารพด้วยการยืนไหว้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 14-09-2013, 18:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแต่เขาไม่รับ เขาจะขอจองเวรผมต่อไป จะให้ผมทุกข์ทรมานอยู่จนสิ้นอายุขัย ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะทำอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : กิน นอน ภาวนา ไม่ต้องไปสนใจ เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา คุณจะไปเดือดร้อนอะไร ถ้าเขาจะทำเราได้แปลว่าช่วงนั้นกุศลของเราขาดช่วงลง ทำให้อกุศลแทรกได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างกุศลใหญ่ โดยเฉพาะการภาวนาให้ต่อเนื่องไว้ ดูว่าชาตินี้เขาจะมีปัญญามาไหม ? ถ้ามาได้ก็ภาวนาต่อ รอชาติถัด ๆ ไป แน่จริงเอ็งไปทวงให้ได้ก็แล้วกัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 14-09-2013, 18:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทุกครั้งที่ผมประพฤติสุภาพเรียบร้อยอ่อนน้อม ผมจะโดนรังแกกลั่นแกล้ง ?
ตอบ : จงสุภาพอ่อนน้อมต่อไป ถ้าเขาตบหน้าข้างซ้าย ก็ยื่นหน้าข้างขวาให้ตบ ถ้าไม่พอก็นอนลง..เชิญเลยพี่..กระทืบซ้ำได้เลย เป็นการฝึกเมตตาบารมีและขันติบารมีของเราด้วย ดูว่าเราอดทนอดกลั้นได้แค่ไหน คุณลองไปอ่านขันติวาทีดาบสในพระไตรปิฎกดู แล้วจะรู้ว่าท่านอดทนแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 14-09-2013, 18:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีวิธีลดอายุขัยไหมครับ ?
ตอบ : มี..กินเยอะ ๆ เขาว่ากินมากจะตายเร็ว ฝรั่งบอกว่า You are what you eat. ภาษิตจีนบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก แต่เภทภัยออกจากปาก จงระวังปากให้ดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 14-09-2013, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมี แปลว่าอะไร ?
ตอบ : สมี แปลว่า พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง

ถาม : สมีคำ แปลว่าอะไร ?
ตอบ : ก็แปลว่า นายคำผู้ต้องอาบัติ ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 14-09-2013, 18:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสืออดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๒ มี ๒๐ เรื่อง ตอนที่ ๑ เอาไปให้ท่านอาจารย์ ดร. มนตรา ท่านก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ เขียนชมลูกศิษย์ของท่านไว้ในบล็อกส่วนตัวจนเลิศลอย เวลาคนอื่นเขียนถึงเรา อาตมาชอบอ่าน ไม่ได้ชอบอ่านที่เขายอเรา แต่อยากรู้ว่าคนอื่นมองอาตมาในแง่มุมแบบไหน

โบราณเขาบอกว่าคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ลองนึกดูว่าหนังที่ห่อหุ้มตัวเรา ย่อมไม่มีทางใหญ่กว่าเสื่อได้..ใช่ไหม ? เพราะตัวเรานอนอยู่บนเสื่อยังเหลือตั้งเยอะแยะ หนังเราต่อให้คลี่ออกมาทั้งตัวก็ไม่มีทางใหญ่กว่าผื่นเสื่อ ท่านจึงเตือนให้รู้ว่า ถึงมีคนรัก ก็มีคนเกลียด แล้วคนที่เกลียดก็มักจะมากกว่าด้วย คือเป็นการเตือนใจให้เราทำความดีอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคนเกลียดมากขึ้นแล้วจะอยู่ลำบาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 14-09-2013, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่วัดท่าซุงมีหมาทรงฌานได้ ไม่ทราบว่าที่วัดท่าขนุนมีหมาทรงฌานได้แบบเจ้าทหารหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยได้อยู่เลยไม่ได้สังเกต สุนัขที่ท่าขนุนทรงฌานได้อย่างหนึ่ง คือถ้าได้ยินเสียงเจ้าอาวาสจะหนีสุดชีวิต..! จำขึ้นใจเลย โดยเฉพาะหมานี่แปลก ตรงไหนที่ห้ามมักจะไป คนอื่นเขาก็ไม่ตีจริง ๆ จัง ๆ แต่อาตมาตีจริง ๆ เพราะถือว่าถ้าเราเมตตาเขา เราต้องสอนให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไอ้ดอกรัก โดดขึ้นสำรับพระแล้วฉี่รด ทำเครื่องหมายไว้เลย แบบนั้นโทษหมาไม่ได้..ต้องโทษคน โอ๋จนเสียหมา ทำขนาดนั้นยังไม่ตีให้รู้จักจำ อาตมาตีกระจายเลย มุดหนีเข้าใต้เตียง อาตมาก็มุดเข้าตามไปตี คนอื่นกลัวไอ้ดอกรักเพราะดุมาก อาตมาไม่กลัวก็ตีไปเรื่อย ทดสอบว่าตัวเองเหนียวจริงหรือเปล่า ท้ายสุดไอ้ดอกรักทนเจ็บไม่ได้ก็ต้องหนี หลังจากนั้นมาพอได้ยินเสียงอาตมา จะเผ่นแนบเลย..!

ตอนอาจารย์สมพงษ์ยังอยู่ ไปเตะไอ้ดอกรักแล้วโดนกัดเหวอะเลย แม่ชีวราภรณ์บอกว่า " โอ๊ย..อาจารย์โดนกัดเข้าอย่างนี้ ยังออกเหรียญรุ่น ๑ ไม่ได้หรอก อาจารย์เล็กโดนกัดอยู่ทั้งวันยังไม่เห็นจะเข้าเลย" ปากอย่างนี้จะไม่ได้อยู่วัด เจ้าอาวาสโดนกัดยังไปซ้ำเติมอีก..!

ปีนี้เฉพาะตึกประจวบดีตึกเดียวมีลูกหมา ๔๐ กว่าตัว พวกสัตว์จะมีลูกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอาหาร อาหารมากจะมีลูกมาก หมาครอกหนึ่งมี ๖ ตัว ๘ ตัว ไม่มีน้อย ๆ เลย ทำให้พระต้องลำบาก อดตาหลับขับตานอนไปกับลูกหมา เพราะว่าร้องทั้งคืน นมแม่มีไม่พอกิน พระต้องเดือดร้อนมาชงนมให้ลูกหมากิน

ไปนึกถึงที่วัดไร่ขิง เจ้าคุณรวมท่านใช้ให้พระใหม่ไปติดป้ายว่า ห้ามเอาหมาแมวมาปล่อยวัด พระใหม่ไปถึงก็ติดป้ายว่า "ผู้ใดเอาหมาแมวมาปล่อยวัด ตกนรก ๕๐๐ ชาติ" ท่านเจ้าคุณบอก "มึงรีบเอาลงเลย" ถามว่าใครจะช่วยจัดการได้บ้าง พระใหม่อีกรูปหนึ่งยกมือ แต่งเป็นกลอนด้วยนะ “ที่นี่มีมากแล้วทั้งแมวหมา โยมไม่ต้องจัดหามาถวาย ที่ต้องการคืออิฐหินดินและทราย ปูนก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา” สรุปแล้วได้วัสดุก่อสร้างมาเยอะเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 14-09-2013, 19:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของครู โบราณถือว่าเป็นหลักชัยหลักหนึ่งของชีวิต พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา สั่งสอนเราให้เอาตัวรอดในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ที่จะคุ้มครองตัวเรา คุ้มครองครอบครัว ช่วยในการทำมาหากินและช่วยป้องกันประเทศชาติ

ดังนั้นสมัยก่อนครูนี้สำคัญที่สุด เขาถึงได้มีการไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ ถ้าพวกเราเคยศึกษาคาถา จะมีพระคาถาอยู่บทหนึ่งเรียกว่าโองการมหาทมื่น โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา..ฯลฯ ชัดไหม ? ความมั่นใจในคุณครูบาอาจารย์ที่ปกเกศปกเกล้า ที่อบรมสั่งสอนตัวเองมา ทำให้เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นถึงขนาดนั้น ว่าถ้าเอ่ยถึงครูเมื่อไรก็ไม่มีใครสู้ได้

ถ้าเราไปดูในวรรณคดีไทยเรื่องต่าง ๆ จะเห็นว่าเขาเอ่ยถึงครูด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความเคารพจริง ๆ อย่างแสนตรีเพชรกล้า ถือว่าเป็นยอดทหารเอกของล้านนา บอกกับพลายงามว่า พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง เอ่ยถึงครูด้วยความเคารพศรัทธาและภาคภูมิใจสุด ๆ ว่าที่ตัวเองเก่งกาจมาได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยฝีมือของครูที่ได้อบรมมา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 14-09-2013, 20:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าไปดูเรื่องของไกรทอง ไกรทองอย่างเก่งก็สูงไม่เกิน ๔ ศอก ก็วาหนึ่งใช่ไหม ? ชาละวันเป็นไอ้เข้ยักษ์ยาวตั้ง ๙ วา ๑๘ เมตรนะจ๊ะ เรือหางยาวยังสั้นกว่าเลย ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาใครจะไปกล้า แต่ไกรทองไปลอยแพ เสกคาถาเรียกชาละวันขึ้นมา เป็นเรากล้าไหม ? อยู่ห่างฝั่งสัก ๑๐๐ เมตรดีกว่า เรื่องอะไรจะลงไปอยู่กลางน้ำ ไกรทองมองเห็นตะเข้ใหญ่ รุกไล่โบกหางวางร่า บนฝั่งทะลึ่งทะลั่งเป็นโกลา ก็รู้ว่ากุมภาชะลาวัน รู้ว่าตัวแสบมาแล้ว กินหมอตะเข้ไปเป็นสิบแล้ว

ไกรทองแทนที่จะกลัว ไม่ได้กลัวเลย จ้องชะงักยักคอหัวร่อคิก ถกผ้าขยิกขยิกไม่มีพรั่น โอมอ่านโองการอาจารย์พลัน เป่ากระฉอกระลอกลั่นประจักษ์ตา ความมั่นใจทำให้จิตเกิดสมาธิเกิดพลัง เสกคาถาก็เห็นผลทันตาเลย คราวนี้โดนชาละวันเกยแพล่ม ตัวเองจมน้ำ..เสร็จเขาแน่ ๆ ปรากฏว่าไกรทองไม่หนี ถ้าหนีก็ตาย..ลักษณะเดียวกับคนถือดาบถืออาวุธ ถ้าหันหน้าสู้โอกาสรอดยังมี แต่ถ้าวิ่งหนีโอกาสตายเกินร้อย..!

เขาบอกว่า ไกรทองเข้าชิดติดชนัก อยู่ห่างไม่ได้ อยู่ห่างจระเข้ได้เปรียบ แต่พอเข้าใกล้ตัวเองถือหอกยาวกลับเสียเปรียบ ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้ร

เชื่อดี คือเชื่อในความรู้ที่ครูบาอาจารย์สอนมา เชื่อในความสามารถที่ตนเองฝึกฝนมา เชื่อในคุณความดีของครูบาอาจารย์ว่าปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ ตรงนี้ไปตรงกับเวสารัชชกรณธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ธรรมที่ทำให้คนกล้า มีศรัทธา ศีล วิริยะรัมภะ พาหุสัจจะ สติ ปัญญา

แต่ว่าตัวศรัทธา คือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าความเชื่อมั่นประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ว่าพระรัตนตรัยดีจริง เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์กำจัดภัยได้จริง ๆ เชื่อมั่นในคุณครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อมั่นในตัวเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 14-09-2013, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สรุปว่าเรื่องของครูบาอาจารย์ ในสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึก) ในชีวิต ถึงเวลาจะใช้วัตถุมงคลก็นึกถึงครูบาอาจารย์ก่อน อย่างพวกเรา ถึงเวลาก็นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก่อน คราวนี้คนสมัยโบราณ เวลาเขาเชื่อเขาเชื่อแบบเต็มร้อย ที่เชื่อแบบเต็มร้อยเพราะว่า สมัยก่อนสภาพจิตของเขากิเลสไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนความต้องการพื้นฐานก็คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เท่านั้นเอง ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต มือถือ รถยนต์

สมัยนี้กิเลสท่วมทับมากขึ้น ความเชื่อถือที่กำลังใจยึดจึงน้อยลง เหมือนน้ำประปา โดนต่อแยกไปหลาย ๆ ท่อ ก็ไหลเบาลง แต่สมัยก่อนท่อต่อท่อแยกไม่ค่อยมีก็ไหลแรง แบบเดียวกับขุนแผนสมัยเด็ก ยังเป็นพลายแก้วอยู่ อยากจะเรียนวิชา ในเมื่ออยากจะเรียนวิชาก็ไปหาแม่คือนางทองประศรี พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ นางทองประศรีก็ดีใจ อยู่ ๆ ลูกจะบวช

ครานั้นนางทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน วัดส้มใหญ่ปัจจุบันอยู่ตรงบ้านหนองขาว เขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ชัดไหม ? เรียนต้องได้ เรียนต้องสำเร็จ เหมือนสมัยนี้เรียนต้องจบ ส่งลูกไปเรียนต้องได้แน่นอน มั่นใจขนาดนั้นเลย

แสดงว่าสมัยก่อนใครไปเรียนต้องสำเร็จ สมัยนี้เราเคยชินว่าเรียนแล้วต้องจบปริญญา อาจจะมีติดยา รีไทร์ ท้องก่อนแต่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่จบ แต่สมัยโน้นไปเรียนเรื่องของอภิญญาต้องสำเร็จ พ่อแม่มั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นขนาดนั้น ทุกอย่างที่เป็นของยากในสมัยนี้ ก็เป็นของง่ายในสมัยโน้น จึงเลือกครูเลือกอาจารย์ได้เลยว่าท่านไหนเก่งก็ไปเรียน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 15-09-2013, 19:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยอาตมาเด็ก ๆ หลวงปู่หลวงพ่อที่เก่งกล้าสามารถมีอยู่รอบบ้านเลย บ้านอยู่แถวกำแพงแสน ก็ต้องหลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง ขยับมาหน่อยก็หลวงปู่แตง วัดดอนยอ หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ขยับไปอีกนิด หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หมดยุคนี้แล้วก็ต้อง หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หมดรุ่นนี้แล้วก็เป็น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นี่แค่นครปฐมอย่างเดียวนะ ก่อนหน้านี้อีกตั้งเท่าไร

หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว รุ่นอาตมาทันหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ตอนเรียนอยู่ ป.๕ - ป.๖ ยังมีใบโฆษณาพระของท่านส่งไปที่โรงเรียน ให้
ทำบุญบูชาวัตถุมงคล เพื่อที่จะทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่บุญ ตอนนั้นองค์ละ ๑๐ บาท เด็กอย่างอาตมาเห็นว่าแพงเป็นบ้าเลย สมัยนี้ไปดูสิ ไม่มีเป็นหมื่นเป็นแสนจะบูชาได้ไหม ?

ขยับไปสุพรรณบุรีมีใคร หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ดุสุด ๆ ดุชนิดที่ใครตะโกนว่าหลวงพ่อแดงมาแล้วนี่ เด็กแสบเด็กซนแค่ไหนก็วิ่งหนีกระจายเลย หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ รอบบ้านรอบวัดเลยนี่ ๒ จังหวัด ออกมาทางกาญจนบุรี ก็มีหลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ

ถ้ารุ่นเก่าจริงเก่งจริงของกาญจนบุรีก็ต้อง หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ยิ้มนี่นอกจากรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปถึงวัดแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังฝากองค์เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ยิ้มมีลูกศิษย์ลูกหาดังระเบิดอย่าง หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ครูบาอาจารย์แต่ละคน ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ผลิตครูบาอาจารย์จะโด่งดังขนาดไหน ?

สมัยนั้นใครไปเรียนวิชากับหลวงปู่ยิ้ม ท่านทดสอบเลย เอาเทียนไปคนละต้น ไปนั่งภาวนาเพ่งไส้เทียนให้ขาด ถ้าไส้เทียนไม่ขาด ไม่ต้องมาขอเรียน แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานกสิณ ถ้าไม่ใช้พลังจิตก็ต้องประเภทใช้กสิณไฟเผาเลย เพราะถ้าไม่มีพื้นฐาน วิชาที่ท่านถ่ายทอดไปก็ไม่มีผล พระปิดตาหลวงปู่ยิ้มจึงเป็นหนึ่งในเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2013 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 15-09-2013, 19:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถัดจากหลวงปู่ยิ้มมาก็รุ่นหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่ดี หลวงปู่ใจ นี่เป็นรุ่นลูกศิษย์ รุ่นเก่าของทางนครปฐมก็มีหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก ท่านมีลูกศิษย์คือหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง

หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก เขาขอให้หลวงปู่แช่มช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ ท่านรับภาระปกครองสงฆ์ไม่ไหว..แก่แล้ว ไปขอให้หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ที่เป็นลูกศิษย์ ช่วยดูแลแทนที หลวงพ่อแช่มพอได้ข่าวว่าหลวงปู่ทาจะมา ก็เอากาน้ำชามา ขัด ๆ ถู ๆ เสก ๆ เป่า ๆ ต้มน้ำชารอไว้ หลวงปู่ทาเดินจากวัดพะเนียงแตกฝ่าทุ่งไปถึง ก็นิมนต์ขึ้นมานั่งพัก กราบพระอุปัชฌาอาจารย์ ถวายน้ำร้อนน้ำชา

หลวงปู่ทาฉันเสร็จก็เดินกลับ ลืมว่าตัวเองจะมาทำอะไร..ต้องอย่างนั้น เรียนวิชามาต้องเล่นครูได้ ล่อนะจังงังเข้าไป ครูทำอะไรไม่ถูก กลับไปถึงวัดนึกขึ้นมาได้ "ไอ้แช่มเล่นกูเสียแล้ว" สอนวิชาไปแท้ ๆ เอามาสอยครูเสียเอง เราจะเห็นว่าขนาดครูสอนมา เอามาเล่นครูกลับยังไหว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2013 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 15-09-2013, 19:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,514
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เกาะพระฤๅษี ทางเหมืองสองท่อลงทุนปักเสาไฟฟ้าเข้าไปเอง เขาลงทุนปักเสาเดินสายไฟลงหม้อแปลงเอง หมดไปหลายสิบล้านบาท การไฟฟ้ามีหน้าที่ขายไฟให้อย่างเดียว ฉะนั้น..ไฟห้ามดับเด็ดขาด ถ้าไฟที่นั่นดับ การไฟฟ้าจะโดนปรับเป็นนาที เขาทำสัญญากันไว้

สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีสบายใจมาก ขนาดต้นไม้ใหญ่ล้มทับสายไฟขาด ๓ เส้น กระชากเสาหักล้มไป ๕ ต้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวันก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้าเป็นที่อื่นไม่มีทางเสร็จ เป็นวัน ๆ ก็ไม่เสร็จ แต่ที่นั่นต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จโดนปรับเป็นนาที มีสรรพกำลังเท่าไร ต้องระดมกันมาหมดเลย งานที่ยากเย็นแสนเข็ญ ทำที่อื่นอาจใช้เวลา ๓ วันเสร็จ ที่นั่นครึ่งวันก็เสร็จแล้ว

แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือสภาพการรู้ของจิต อาตมานอนหลับอยู่ ไฟฟ้าช็อต..หม้อแปลงระเบิดบึ้ม..! ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ก็รู้ว่าช็อตตรงไหน ใกล้ไกลเท่าไร เดินไปดูได้เลย ตรงตามที่รู้เลย พอหม้อแปลงระเบิด ไฟดับหมดทั้งเกาะ อาตมาก็คว้าไฟฉายไปดูว่าจริงหรือเปล่า อีก ๒๐ กว่านาทีรถวิ่งมาถึงแล้ว แก้ตรงนั้นแหละ หลับอยู่เฉย ๆ ก็เห็นภาพชัด ๆ เลยว่าช็อตตรงไหน อย่างที่โยมเมื่อเช้าถามว่า เอาเหตุปัจจัยอะไรมารู้ เพราะตัวเองไม่ได้ตั้งใจอยากรู้สักหน่อย ?

อาตมาบอกว่าเกิดจากคำอธิษฐานกรรมฐานของพวกเราที่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" ก็ตัวเองไปอธิษฐานเอาไว้ทุกครั้งที่สมาทานพระกรรมฐาน ถึงเวลาสภาพจิตจึงทำงานเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-12-2016 เมื่อ 16:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว