กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 15-08-2013, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานที่วัด ถ้านับแล้วก็เหลือศาลาร้อยปีของหลวงปู่สาย ที่ตั้งใจทำเป็นหมู่พิพิธภัณฑ์เรือนไทยด้วย งานหล่อพระทองคำไม่นับ เพราะถือเป็นงานจร ไม่ใช่งานหลัก

ปีหน้าหลวงปู่สายวัดท่าขนุนอายุครบ ๑๐๐ ปี ว่าจะทำบุญใหญ่ถวายท่าน ตัวอาคารเสร็จไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะบวชพระสัก ๑๐๐ รูป เกณฑ์ลูกศิษย์ของหลวงปู่สายด้วย บอกว่าแก่แค่ไหนก็อย่าเพิ่งตาย บวชให้หลวงปู่ก่อน ไม่ต้องมาก เอาแค่ ๓ - ๕ วัน ถ้าบวชมากเท่ากับเอาคนแก่มาทรมาน

มีแต่คนถามว่าไม่มีเหรียญหลวงปู่สายบ้างเลยหรือ ? มี..แต่โยมต้องดูให้เป็น ถ้าเป็นของที่วัด ส่วนใหญ่จะแพง รุ่นใหม่ราคาถูก ส่วนของญาติโยมไม่ต้องห่วงหรอก เขาเลี่ยมทองขึ้นคอกันหมด เวลาตักบาตรเทโวฯ บรรดาญาติโยมเขาแต่งตัวกันมาเต็มที่ ลูกศิษย์อาตมาบางคนก็ไปเดินเล็งทีละคน ดูว่าใครแขวนรุ่นไหนบ้าง ลูกศิษย์หลวงปู่สายจะปลื้มใจมาก ถึงเวลาวันงานก็เอาเหรียญหลวงปู่มาอวดกัน

ปีหน้าจะสร้างเหรียญให้ท่านสักรุ่นหนึ่ง โยมเขาเรียกร้องมานาน ท่านสร้างรุ่นสุดท้ายปี ๓๔ ก็ ๒๐ กว่าปีแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2013 เมื่อ 20:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 15-08-2013, 16:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เหรียญพระเกจิอยุธยามีเหรียญซ้อนมอเตอร์ไซค์ด้วย จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อวัดไหน รู้แต่ว่าพอท่านออกเหรียญมาญาติโยมเฮกันใหญ่

กิจนิมนต์ท่านเยอะ แล้วท่านเองก็ไม่ชอบรถใหญ่ด้วย ท่านบอกว่ามอเตอร์ไซค์ไปไหนคล่องตัวดี ถึงเวลาก็โดดขี่มอเตอร์ไซค์แล้วลูกศิษย์ก็พาไป ไป ๆ มา ๆ คนศรัทธามาก ขอให้ท่านออกเหรียญ เลยเป็นเหรียญซ้อนมอเตอร์ไซค์ ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านต้องการ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2013 เมื่อ 20:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 15-08-2013, 17:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนหนูคาราเมลมาใส่บาตร ความจริงเขาใส่บาตรมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ พอเริ่มยืนได้ก็ใส่บาตรแล้ว ใส่ไปจน ป. ๕ - ๖ คาราเมลหายไป ถามว่าทำไม ปรากฏว่าโดนเพื่อนแซวว่าเป็นยายแก่ เพราะใส่บาตรทุกวัน เลยอายเพื่อน บางทีเพื่อนเขาแค่ล้อเล่นสนุก ๆ ไม่ได้คิดว่าเขาจะคิดมาก พอเขาอายก็เลิกใส่บาตร แต่วันก่อนโผล่มาใส่ โอ้โห...ตัวสูงกว่าหลวงตาอีก ถามว่าทำไมวันนี้ใส่บาตร เขาบอกว่าวันนี้วันเกิด คนเคยทำถึงเวลาก็อดไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2013 เมื่อ 20:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 15-08-2013, 17:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครออกแบบกำไลสวย ๆ ได้ไหม ? ความจริงตามตำราของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ท่านสร้างเป็นแหวนมงคล ๙ แต่คราวนี้อาตมาคิดว่าแหวนวงเล็กไป ไม่สะใจ เอากำไลดีกว่า เพียงแต่ว่าใครจะออกแบบได้สวยถูกใจอาตมาเท่านั้นเอง คนกิเลสเยอะเห็นของสวยแล้วจะชอบ จะมีอักขระ ๙ ตัว อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ทำอย่างไรให้เขาวางอักขระหรือพระพุทธเจ้าก็ได้ อยู่ตรงกลาง ใหญ่แล้วทยอยเล็กเอียงลง ๒ ข้างก็ได้ ไว้แทน นวหรคุณ เป็นบาลีขอม แต่ว่าเราใช้รูปพระแทนก็ได้

แหวนมงคล ๙ ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ นี่เสด็จกลับ อาตมาเองไม่ได้ตั้งใจหรอก อาจเป็นเพราะว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านค่อนข้างเป็นคนโบราณ แหวนจึงวงใหญ่กระทั่งอาตมาใส่นิ้วชี้ยังหลวมเลย แสดงว่าคนรุ่นเก่าตัวใหญ่มาก

วันนั้นไปวัดอนงค์ฯ กราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว (พระเทพวิสุทธิเวที) วัดอนงคาราม ท่านเป็นเพื่อนเรียนบาลีของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอก "เฮ้ย..วันนี้มีพระตาย เขากำลังแบ่งสมบัติกัน ไปดูซิเผื่อเขามีอะไรให้บ้าง"

เวลาพระมรณภาพ คณะสงฆ์จะเข้าไปดูแลจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติทั้งหมด ถ้าไม่ได้ยกให้ญาติโยมไปก่อน ของทุกอย่างจะเป็นของสงฆ์ โยมจะไม่มีสิทธิ์เลย ต่อให้เป็นลูกเป็นหลานก็ไม่มีสิทธิ์ ต้องรอให้สงฆ์เขาแบ่งให้ อาตมาไม่ได้เป็นญาติเป็นโยมอะไรหรอก แต่เป็นลูกศิษย์เจ้าอาวาส พอเข้าไปเขาก็เลยให้แหวนมาหนึ่งวง อาตมาก็ใส่ติดตัวไว้เพราะเลื่อมใสหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมานาน

วันนั้นจะทิ้งขยะ พอโยนลงคลอง ปรากฏว่าแหวนหลุดไปด้วย เพราะหลวม แล้วคลองแถว ๆ พระโขนงไม่ใช่คลองเปล่า ๆ มีสวะไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ประเภทกระโดดลงไปไม่ถึงน้ำหรอก ติดอยู่ในสวะ..! อาตมาก็ได้แต่นั่งเสียดายแหวน ปรากฏว่า ๓ วันต่อมาท่านกลับมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้าที่เป็นโครงหุ้มพลาสติก แล้วก็มีไม้อัดบาง ๆ นี่แสดงว่า เอ็งอย่าทิ้งข้าเสียให้ยากเลย อย่างไรข้าก็จะยังอยู่กับเอ็ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2013 เมื่อ 20:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 241 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 16-08-2013, 20:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงคาราม ท่านสำเร็จวิชากระสุนคด สมัยช่วงสงครามโลกบ้านเรายังมีโรงยาฝิ่นอยู่ พวกที่ติดฝิ่นก็ชอบขโมยกล้วยวัดอนงค์ฯ ไปขาย ท่านก็ห้ามแล้วห้ามอีก บอกว่าเดี๋ยวติดหนี้สงฆ์ พวกนั้นก็ไม่รู้ว่าหนี้สงฆ์เป็นอย่างไร อยากยาฝิ่นเสียมากกว่า หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ก็ต้องใช้คันกระสุน ก็คือธนูนี่แหละ แต่ยิงด้วยลูกดินเหมือนหนังสติ๊ก แรงกว่าหนังสติ๊กสัก ๔-๕ เท่าเห็นจะได้ สามารถยิงกระบอกไม้ไผ่แตกได้เลย..!

ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็บอกเด็กวัด "เฮ้ย..ช่วยดูหน่อย ใครมาขโมยกล้วยให้ตะโกนบอกหลวงตาด้วย" เด็กวัดก็เล่นกันตามลานวัด พอเห็นขี้ยามาตัดกล้วย "หลวงตา..มีคนมาขโมยกล้วย" ท่านก็คว้าคันกระสุนมายิง ไม่ได้เล็งหรอก แต่โดนกลางหลังทุกราย ปรากฏว่าคนทำชั่วก็มีปัญญา สังเกตไป ๓ - ๔ ครั้ง พระยิงทีไรโดนหลังทุกที ก็เลยเอาสังกะสีผูกหลังมา ถึงเวลาเด็กวัดบอก "หลวงตา..คนขโมยกล้วย.." ท่านยิงออกไปโดนสังกะสี เสียงดังผ่าง..! ท่านด่าลั่นเลย "ไอ้ห่_เล่นตาตุ่มแม่_เถอะ" ท่านเหนี่ยวอีกทีโดนตาตุ่ม โป๊ก..! ลงไปกองอยู่ตรงนั้นเอง "หลวงตา..ยอมแล้ว ๆ"

วิชากระสุนคดที่อาตมากับหลวงตาวัชรชัยเรียนมานั้น ๒ สาย ๒ ครู ครูใหญ่ท่านหนึ่งคือ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ครูใหญ่อีกท่านหนึ่งท่านคือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อวัดอนงค์ฯ ถ่ายทอดให้หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าถ่ายทอดให้หลวงพ่อวัดท่าซุง กลายเป็นวิชา ๒ สายมาเจอกัน

ช่วงนั้นซ้อมกันทั้งวันทั้งคืน ตอนแรกหลวงตาวัชรชัย จ้างเด็กปั้นกระสุน เอาถัง ๒๐ ลิตรมา บอกว่า "ถ้ามึงปั้นเต็มถัง เดี๋ยวกูให้ ๑๐๐ บาท" เด็กก็ปั้นกันใหญ่ สมัยนั้นเงิน ๑๐๐ บาทเยอะนะ แต่พอยิงไปกระสุนหมด ร้อยบาทไม่ไหวแล้ว หลวงตาต้องใช้วิธีเอากระสอบมา ๔ ใบ มาสอยตะเข็บติดกันแล้วกางเป็นฉาก พอยิงไปกระสุนก็ติดกระสอบไม่ไปไหน ร่วงอยู่แถวนั้น ประหยัดเงินไปได้เยอะ

ซ้อมยิงกันทั้งวัน ต้องภาวนาคาถาให้กำลังใจมั่นคงแล้วยิง ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมไม่แม่นสักที มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะตั้งใจเกินไป ที่จับเคล็ดได้คือ ไม่ได้เจตนาเลย ยิงส่งเดชแล้วเป๊งทุกที ยิงเอาเสาแป๊บหน้าวัดที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้โยงลวดสลิงป้ายศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 16-08-2013, 20:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทำใจสบาย ๆ ยิงส่งเดชเป๊งพอดี พอตั้งใจยิงจะยิงไม่ถูก เพิ่งจะรู้ว่าเป็นเรื่องของกำลังใจแบบพอดี ๆ ลักษณะเหมือนมโนมยิทธิ มากเกินก็ไม่เห็น น้อยเกินก็ไม่เห็น ลักษณะการใช้คาถาก็ต้องพอดี ๆ เช่นกัน

อาตมาใช้ประโยชน์มากตอนคนมาขโมยมะม่วงในวัดท่าซุงกับขโมยปลาหน้าวัด พวกรุ่นน้องก็ลุ้น เมื่อไรจะยิงสักที พวกที่ขโมยมะม่วงก็ใจดำจริง ๆ เลย ตัวเองโดนแล้วร่วงลงมา ไม่บอกเพื่อนสักคำ วิ่งหนีคนเดียวเลย เพื่อนก็โดนด้วยสิ..!

มาเข้าใจที่โบราณท่านเล่นเรื่องคาถาเลขยันต์ต่าง ๆ ท่านต้องการให้ฝึกสมาธิ จะได้รู้ว่าจังหวะที่พอเหมาะพอดีที่เป็นสมาธิใช้งานจริง ๆ นั้นเป็นจังหวะไหน หลวงตาวัชรชัยบ่นว่า โธ่..กว่าจะสำเร็จแต่ละวิชาหมดเงินไปเยอะ เพราะหลวงตาเล่นจ้างเด็กมาปั้นกระสุน ก็หมดเยอะนะสิ...

ต้องเอาอย่างโบราณ ปั้นไปเสกไปให้แห้งคามือเลย ต้องใช้ความเพียรสูงมากในเรื่องของการปฏิบัติ คือเราจะทำอะไรก็ได้ เล่นอะไรก็ได้ แต่ใจต้องเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น จะเห็นว่าทำไมพระโบราณเคี้ยวหมากแทบทุกรูปเลย คือเคี้ยวหมากเพื่อสร้างสติ ใจต้องจดจ่ออยู่ตรงนั้น คายออกมาควักปืนยิงได้เลย ยิงไม่ออกสักก้อน เช่น ชานหมากหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค เป็นต้น

สมัยอยู่วัดท่าซุง พวกเรือหาปลาห้ามแล้วไม่ฟังกัน อาตมายืมเอ็ม. ๑๖ ของทหารที่เฝ้าวัดนั่นแหละ พวกนั้นบอกว่า "หลวงพี่..ถ้าพลาดนี่ตาย ปาราชิกเลยนะ" หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "อธิษฐานสิ ตั้งใจยิงให้ตรงหน้าผาก ถ้าโดนให้แฉลบออกข้าง" แหม..แนะนำดีมาก ถ้าตั้งใจอย่างนั้นแบบนั้นก็ได้ทุกศพแหละ..!

ความจริงพวกทหารเขาไม่รู้ว่าอาตมายิงแบบสั่งได้ ถึงเวลาก็ล่อแค่เรือพัง หลวงพี่สามารถบอกว่า "ทำไมไม่เล่นอาร์พีจีให้กระจายทั้งลำไปเลย.." ถ้าอย่างนั้นก็เกินไป ทำลายทรัพย์สินชาวบ้านเขา โดนลูกปืนก็พออุดพอยา เอาไปใช้งานต่อได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 17-08-2013, 15:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมซื้อหนังสือธรรมะมาถวายอาตมา บางทีในหนังสือนั้นมีหลักธรรมที่ผิด ๆ พลาด ๆ ถ้าโยมเอาไปอ่าน เอาไปใช้ก็พลาดต่อ ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดสามแยก โยมเอาหนังสือท่านมาถวาย อาตมาเก็บชั่งกิโลขายเกลี้ยง..! เขาก็สงสัยว่าทำไมไม่แจก มาตอนหลังโยมเพิ่งถึงมารู้ว่าท่านสอนไม่ให้เคารพพระ เพราะเห็นพระเป็นแค่ปูนปั้น ทองเหลืองเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 17-08-2013, 15:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ ยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ถ้าเป็นภาษาโบราณ สมัยนี้ได้ยินแล้วสะดุ้ง โบราณบอกว่า "ลูกเธอนี่ทะลึ่งจังเลย" ทะลึ่งสมัยก่อนคือโตไว ทะลึ่งสมัยนี้บวกทะเล้นไปด้วย ความหมายจึงเปลี่ยน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 17-08-2013, 16:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฏิบัติมาจนรู้สึกว่าถึงทางตันแล้ว เราจะมีวิธีปรับปรุงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ตันจ้ะ...ถ้ารู้สึกว่าตันแสดงว่ากำลังไม่พอ ให้ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เบื่อไม่ได้ ต่อให้ ๑ ปีก็ต้องทำ ๒ ปีก็ต้องทำ ๓ ปีก็ต้องทำ ถ้ากำลังพอจะก้าวข้ามไปเอง ที่บอกว่าตันจริง ๆ ไม่ใช่หรอก กำลังยังไม่พอที่จะผ่านตรงจุดนั้น ให้ใช้ภาวนาสลับกับพิจารณา อย่างน้อย ๆ จะได้มีอะไรให้ทำ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวใจเบื่อแล้วบางทีไม่เอาเลย

พอภาวนาจนกระทั่งกำลังใจเต็มที่แล้ว เผลอปล่อยให้ถอยออกมา ถ้าไม่หาวิปัสสนาให้พิจารณา ก็จะเอากำลังไปฟุ้งซ่าน คราวนี้จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการมากเลย เพราะมีกำลังดี ฉะนั้น..ต้องหาวิปัสสนาญาณให้ใจคิด คิด ๆ พิจารณาจนกำลังใจทรงตัว แล้วจะเป็นภาวนาไปโดยอัตโนมัติ แต่ตอนหยุดภาวนาออกมาแล้วต้องบังคับให้คิด ถ้าไม่บังคับให้คิดแล้วจะฟุ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 17-08-2013, 16:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นักปฏิบัติที่อัตตาเยอะ ๆ จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : อัตตาเยอะ ถ้ารู้ตัวก็แก้ไขไม่ยาก พยายามลดลงหน่อย อันดับแรกพิจารณาเยอะ ๆ หน่อย ไม่ว่าตัวเราตัวเขาก็มีความเสมอกัน คือเป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน ท้ายสุดมีความตายเหมือนกัน เราถือตัวถือตนไปก็ตาย ไม่ถือตัวไม่ถือตนก็ตาย แต่คนที่ไม่ถือตัวเขาไปแล้ว เขาไปภพสูงกว่า เพราะเขาไม่ได้แบกอัตตาไว้ ส่วนเราจะถือตัวถือตน ถึงเวลาก็ไปภพต่ำกว่า ถ้าอยากสูงอย่างเขาต้องลดอัตตาให้ได้ พิจารณาให้เห็น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 17-08-2013, 19:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เรื่องของการครองคู่ สมัยก่อนผู้ชายมีหน้าที่ออกล่า หาอาหารมาเลี้ยง ผู้หญิงมีหน้าที่ฟูมฟักรักษาครอบครัว ดูแลลูกดูแลสามี ความรอบคอบและระมัดระวังของผู้หญิงจึงติดมาจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ปัจจุบันไม่รู้จะเอาไปใช้ตรงไหน เลยกลายเป็นเอามาระแวงผู้ชายแทน

เราต้องดูตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หน้าที่เขาต่างกัน ผู้ชายออกล่าสัตว์ เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย และออกรบเพื่อรักษาดินแดนของตัวเองไม่ให้คนอื่นมารุกราน ตัวเองจะได้มีอาหารไว้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลรักษาลูกหลานตัวเอง เพื่อให้รอดไปสืบเผ่าพันธุ์ต่อ ฉะนั้น..การระมัดระวังของผู้หญิงจะสูงกว่าหลายเท่า

พอยุคสมัยเปลี่ยน อย่างในหนังสือเรื่องหนึ่ง "ความลับของเอสกิโม" กระมัง ? เขาเข้ามาในเมืองครั้งแรก เขาก็ไม่รู้ เห็นผู้หญิงในเมืองมีแต่ผอม ๆ พอพาผู้หญิงมาแนะนำตัว เขาก็ตำหนิผู้ชายเลยว่า "เจ้าเป็นพรานที่ใช้การไม่ได้ เลี้ยงเมียอีท่าไหนถึงผอมอย่างนี้.." เอสกิโมที่เป็นพรานเก่ง ๆ ล่าสัตว์ได้เยอะ จะต้องเลี้ยงเมียให้อ้วนได้ เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงในเมืองชอบหุ่นผอม ๆ

ผู้ชายที่โดนตำหนิทำหน้าไม่ถูกเลย พอเอสกิโมเจอของที่ตัวเองไม่เคยเจอ ก็เห็นเป็นเวทมนต์ไปหมด พอพาไปอาบน้ำฝักบัว เขาก็แตกตื่นกันใหญ่ หมอผีเอสกิโมเรียกฝนตกได้เป็นวงกว้าง ๆ แต่หมอผีฝรั่งเก่งจัง เรียกฝนให้ตกได้เฉพาะที่ด้วย ถึงเวลาไปเจอกระจก ส่องเห็นเงาตัวเอง โอ้..หมอผีฝรั่งเก่งจริง ๆ สามารถเอาบึงน้ำมาตั้งให้ดูได้ ปกติเขาดูแต่เงาในน้ำ ฉะนั้น..ถ้าผู้หญิงผอม ๆ อย่าเพิ่งไปเที่ยวเอสกิโม ต้องกินให้อ้วนก่อนนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2013 เมื่อ 19:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 17-08-2013, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้กระทั่งสมเด็จวัดเกศไชโย ที่ความนิยมอยู่ท้าย ๆ ของพระตระกูลสมเด็จ ก็ราคาขึ้นเป็นล้านบาทแล้ว ต้องบอกว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยภาพของหลวงพ่อวัดระฆังท่าน ที่สร้างพระชิ้นฟัก

สมัยก่อนจะแกงก็หั่นฟักเป็นเหลี่ยม ๆ ถ้าสลักบนฟักด้วยก็แบบนางจันทร์เทวี สลักแล้วค่อยแกง "ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง อุ้มลูกไปยังพนาลัย ชิ้นสามเมื่ออยู่กับยายตา ลูกยาออกช่วยขับไก่ ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์ มารับเอาลูกรักไปจากบ้าน ชิ้นหกจองจำทำประจาน จะประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล ทั้งเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรทัย ใครใครไม่ทันจะสงกา ฯลฯ"

ฉะนั้น..พอทำอะไรเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๆ เขาเลยเรียกชิ้นฟักมาตลอด มาระยะหลังนี่เขาเลิกเรียกกันแล้ว เรียกสมเด็จองค์นั้นองค์นี้ มีองค์กวนอู องค์ลุงพุฒ องค์พระธาตุ องค์คุณแจ๋ว เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า เป็นความรู้จริงของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ที่ท่านอัญเชิญบารมีพระได้ วัตถุมงคลจึงกลายเป็นติดลมบน

โดยเฉพาะช่วงที่อหิวาต์ระบาด ปีระกาห่าใหญ่ ท่านไปเข้าฝันคนแถวบางขุนพรหมว่า ให้เอาพระของท่านทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ คราวนี้คนก็แสวงหาพระของท่านกันใหญ่ สมัยนั้นราคาทอง รู้สึกว่าทองบาทหนึ่ง ๔ บาท คนกล้าบูชาพระสมเด็จองค์ละบาท สมัยนั้นขายข้าวได้แค่เกวียนละบาท เขากล้าบูชาพระกันองค์หนึ่ง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2013 เมื่อ 08:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 17-08-2013, 20:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ต้องบอกว่าความกลัวตายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม บาลีบอกว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธมฺเมน วีณา ปสุภีนรานา

อาหาระ การกิน นิททัง การนอน ภยะ การกลัวภัย เมถุนนะ การเสพกาม สามัญญะเปตัปปสุภีนะรานัง เป็นเรื่องธรรมดาที่เสมอกันทั้งคนและสัตว์ทั้งหลาย ธัมโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส พระธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนต่างไปจากสัตว์ ธัมเมนะ วีณา ปสุภีนะรานา ธรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกคนและสัตว์ออกจากกัน ถ้าไม่มีหลักธรรม คนก็เหมือนกับสัตว์ดี ๆ นี่เอง

ในเมื่อยังกลัวตายอยู่ อะไรที่ช่วยให้ไม่ตายได้ก็ต้องแสวงหามา จิ๋นซีฮ่องเต้แสวงหายาอายุวัฒนะ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม จิ๋นซีฮ่องเต้พลัดเข้าไปในเมืองลับแล คนจีนเรียกว่าแดนดอกท้อ เพราะว่าแจวเรือทวนน้ำขึ้นไป เห็นดอกท้อปลิวลงน้ำไหลมาเยอะแยะไปหมด ทวนขึ้นไปดูจนไปเจอเข้า เป็นแดนที่สุขสงบ สวยงามมาก เขาชวนอยู่ก็ไม่อยู่ด้วย กลับออกมา พอตอนเหนื่อยยากกับการทำสงครามปกครองแคว้น อยากจะไปก็หาไม่เจอแล้ว

แบบที่ฝรั่งเขาหลงเข้าไปในแชงกรีลา ไปเจอคนอายุ ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ยังแข็งแรงเป็นหนุ่มอยู่เลย เดินขึ้นเขาลงห้วยสบาย ตัวเองเดินตามแทบตาย ทุกวันนี้จีนหรือปากีสถาน ต่างคนต่างมีแชงกรีลาของตัวเอง จีนบอกว่าเป็นที่จงเตี้ยน เพราะว่าลักษณะภูมิประเทศเหมือนที่เขาอธิบายไว้ในเรื่อง the lost horizon แต่ว่าของปากีสถานบอกว่าเป็นตรง Hunsa ด้านบนของปลายถนนคาราโครัม ต่างคนต่างเอาเป็นจุดขาย นักท่องเที่ยวจึงต้องไปทั้งสองที่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2013 เมื่อ 14:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 17-08-2013, 20:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่ว่ามาก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า เมืองลับแลจริง ๆ แล้วมีอยู่ทุกมุมโลก ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี่แหละ เพียงแต่สร้างความดีไว้มากกว่า ความดีของท่านไม่พอที่จะไปเกิดเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะมาอยู่ปะปนกับพวกเรา เลยต้องแยกเขตออกไป ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือว่าเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาต จะเข้าไปในเขตเขาไม่ได้

อาตมายังติดหนี้พวกลับแลอยู่เลย ถึงขนาดท้า
เขาแข่งกัน คือวันนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจให้เห็นหรอก แต่อาตมาดันทะลึ่งไปอยู่ผิดที่ผิดทาง วันพระใหญ่ พระที่ไหน ๆ ก็ต้องอยู่บนศาลาให้ญาติโยมมาทำบุญ อาตมาดันไปนั่งพิงภูเขาภาวนาอยู่คนเดียว อยู่ ๆ เขาก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า อาตมาก็คิดว่านี่ผิดปกติแล้ว พอเห็นว่าผิดปกติก็ถามเขาว่ามาจากไหน ? เขาสารภาพตรง ๆ ว่ามาจากเขตลับแล

ถามเขาว่า "การที่คุณมา เป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก หรือเป็นฤทธิ์โดยอภิญญา ?" เขาบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก ถ้าใครเกิดเป็นชาวลับแลสามารถไปมาอย่างนี้ได้ทุกคน เป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ เลยบอกว่าลองแข่งกันดูหน่อยไหม ? ...(หัวเราะ)... เขาบอกว่าแข่งกันเฉย ๆ ไม่สนุก ต้องมีเดิมพันหน่อย ถามเขาว่าเดิมพันอย่างไร ?
เขาเอาถุงเงินมาให้ดู เขาบอกว่าถ้าท่านชนะ ผมจะให้หมดเลย ชาวลับแลพม่าใช้เหรียญพระราชินีวิกตอเรียด้วย เป็นเหรียญเงินแท้ของพระราชินีวิกตอเรีย ถุงเบ้อเร่อเลย ถามว่าเอามาจากไหนเยอะแยะอย่างนี้ ? เขาบอกว่าตอนอังกฤษครองเมืองพม่า เขาขนเข้ามากันเยอะแยะ

"ถ้าท่านชนะ ผมให้หมดเลย ถ้าท่านแพ้ ท่านต้องหาเพื่อนพระอีก ๔ รูป รวมท่านด้วยเป็น ๕ รูป เข้าไปให้พวกผมทำบุญวันหนึ่ง" พอได้ยินว่าวันหนึ่ง อาตมาก็บอกว่าไม่แข่งด้วยแล้ว วันหนึ่งของเขาเท่ากับปีหนึ่งข้างนอก ไปปีหนึ่งพวกเราก็ตายกันพอดี เลยยังตกลงกันไม่ได้ เขาบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน จะพาไปดูทางก่อน ถ้าท่านเปลี่ยนใจเมื่อไร มาถึงตรงนี้แล้วเรียก ผมจะมารับ

แล้วเขาทำภาพให้ดู อยู่ด้านหลังภูเขา เดินข้ามลำห้วยสายหนึ่งแล้วลัดเข้าซอกเขาไป ถามว่าอย่างนี้ใคร ๆ ก็ไปได้ใช่ไหม ? เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่คนที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือคนที่ได้รับอนุญาตจริง ๆ เดินมาจะเจอแต่ภูเขาตัน ๆ

ลักษณะอย่างนี้อาตมาเคยเจอที่ด่านช้างมาแล้ว ตอนเดินเข้าไปเป็นถ้ำ แต่พอหันหลังกลับมาเป็นผนังหิน ออกไม่ได้ ต้องตะกายไปออกทางอื่นแทบตาย ตอนที่เขาให้เข้า ก็เดินเข้าไปได้เรื่อยเปื่อย ตอนนั้นมีมหาเค ท่านกอล์ฟอยู่ด้วย อาตมาจึงมีพยาน เดินเข้าไปเป็นถ้ำโล่ง ๆ แต่หันกลับมาเป็นหินตัน ๆ เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2013 เมื่อ 14:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 19-08-2013, 20:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมเคยไปเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ๑ ครั้ง หลัง ๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนโดนของ ?
ตอบ : ถ้ายังรักษายันต์เอาไว้ได้ก็หมั่นภาวนาทุกวัน เรื่องคุณไสย นอนฝันไปเถอะ ไม่โดนหรอก

ถาม : ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่โดนแล้วจะไปเป็นอะไรได้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2013 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 19-08-2013, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าใจเกาะพระสงฆ์ตลอด แต่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างอื่น จะไปพระนิพพานได้ไหมคะ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เกาะอย่างเดียวก็เป็นแค่อนุสติ อย่างดีก็ไปแค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าทรงฌานได้ก็เป็นพรหม เกาะอย่างเดียวแต่กิเลสท่วมหัวจะไปพระนิพพานได้อย่างไร ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บอกแล้วว่าอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่คิดถึง คิดถึงเป็นแค่กำลังใจยึดเกาะ เป็นแค่อนุสติ ไม่เกินกามาวจร ถ้ารักษาจนเป็นฌานได้ก็ไม่เกินพรหม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2013 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 19-08-2013, 20:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูไปบูชาพระของหลวงปู่เณรคำมา จะทำอย่างไรกับพระนั้นดีคะ ?
ตอบ : บูชาไว้สิจ๊ะ พระก็คือพระ..! คำว่าพระแปลว่าดีเลิศประเสริฐศรีอยู่แล้ว เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าไปนึกถึงเณรคำสิ..! แค่นี้ก็กำลังใจตก ถ้าเป็นสมัยโบราณออกศึกก็กลายเป็นศพถมสนามไปนานแล้ว สมัยโบราณเขามีแค่ว่านยา เขายังรอดมาไม่รู้ตั้งกี่สนาม เพราะใจเขายึดมั่น ส่วนเราขนาดเป็นพระแท้ ๆ หมดความนับถือ กำลังใจไม่ยึดมั่น แล้วจะไปปลอดภัยอีท่าไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2013 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 19-08-2013, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของตัวบุคคล เราอาจจะยึดผิด ฉะนั้น..ท่านถึงให้ยึดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นนามธรรม คือคุณความดีของท่าน ไหว้เมื่อไรก็ถึงเมื่อนั้น ไม่ว่าเณรคำหรืออาตมาก็เหมือนกันนั่นแหละ เป็นแค่รูปแค่นามแค่ธาตุ ๔ เหมือนกัน ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังเหมือนกัน

ถ้าเรายึดผิด พูดง่าย ๆ ว่าวางกำลังใจผิดเอง ถ้าจะยึดจริง ๆ ยึดความดี พระสงฆ์ท่านเป็นสุปฏิปันโน...ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน...ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน...ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม สามีจิปฏิปันโน...ปฏิบัติชอบแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ใช่ใครเขาว่าอะไรที่ไหนดี เราก็ตื่นไปโดยที่ไม่ได้พิจารณา ถึงเวลาเราเองพอเห็นว่าไม่ดีจริง ก็เสียกำลังใจอีก ถ้าตอนกำลังใจตก กำลังเศร้าหมองอยู่ เกิดตายตอนนั้นก็ซวยอีก ถ้าเรายึดในคุณพระรัตนตรัยที่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณจริง ๆ อย่างไรก็ไม่พลาดอยู่แล้ว

เมื่อวานนี้มีโยมมาถามว่า ถ้าอยู่ในที่เลือกเนื้อนาบุญไม่ได้ ก็ทำบุญไม่ได้เลยสิ ? อาตมาบอกว่า ถ้าโง่ก็ทำบุญไม่ได้ ถ้าฉลาดก็ถวายเป็นสังฆทาน ต่อให้เป็นอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ ท่านภาวนาพุทโธ หรือเณรคำมานั่งรับสังฆทานพร้อมกันก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราตั้งใจเป็นสังฆทาน คนรับเป็นเพียงตัวแทนสงฆ์ อานิสงส์ของเราได้เต็มร้อยอยู่แล้ว

ในปฐมสมโพธิกถา อันตรธานปริวรรต กล่าวถึงการเสื่อมสูญของพระศาสนา ว่าช่วงท้ายก่อน ๕,๐๐๐ ปีเล็กน้อย เพศพระจะหายไป เหลือเพียงผ้าเหลืองพันข้อมือ หรือผ้าเหลืองคล้องคอไว้นิดหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ไปดูที่ประเทศญี่ปุ่น พระญี่ปุ่นใส่ชุดสากล มีแถบติดคออยู่หน่อยให้รู้ว่าเป็นพระเท่านั้น ท่านบอกว่าต่อให้เพศพระเสื่อมไปถึงขนาดนั้นก็ตาม ถ้าถวายเป็นสังฆทานตั้งใจอุทิศเฉพาะเจาะจงแก่สงฆ์ ก็มีอานิสงส์เท่ากัน เณรคำเขายังห่มจีวรอยู่เต็มผืน ถวายไปเถอะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2013 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 19-08-2013, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงอานิสงส์ของการให้ทาน ขนาดการให้ทานแก่นักบวชนอกพุทธศาสนา ยังบอกว่าอานิสงส์เป็นแสนเท่า เพราะส่วนใหญ่นักบวชนอกพระพุทธศาสนาจะได้ฌาน ได้อภิญญา แม้จะเป็นฌานโลกีย์ อภิญญาโลกีย์ก็ตาม แต่กำลังใจความสะอาดมากกว่าคนปกติมาก ฉะนั้น..เวลาให้ทานจึงมีอานิสงส์เป็นแสนเท่า

ท่านบอกว่าให้ทานพระโสดาบันประมาณอานิสงส์ไม่ได้ แต่ให้ทานพระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับให้ทานพระสกทาคามี ๑ ครั้ง คูณ ๑๐๐ เข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงพระอรหันต์ จนถึงพระพุทธเจ้า จนถึงสังฆทาน บอกว่าให้ทานโดยตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าสังฆทาน ๑ ครั้ง ฉะนั้น..ถ้าทำบุญเป็น ที่ไหนก็ทำได้

ในธรรมบท กล่าวถึงท่านเศรษฐี นิมนต์พระที่วัดใกล้บ้าน สมาทานศีลด้วยความเคารพ น้อมของเข้าไปถวายด้วยความเคารพ ถึงเวลาก็หิ้วของไปส่งที่วัด ปรากฏว่าไปถึงวัด พระท่านจะขึ้นกุฏิ สมัยก่อนพระเขาไม่ใส่รองเท้ากัน พระบอกให้เศรษฐีช่วยหยิบขันน้ำให้หน่อยจะล้างเท้า เศรษฐีเอาเท้าเขี่ยให้ คนเห็นก็สงสัย เมื่อครู่ยังทำทานด้วยความเคารพสุดจิตสุดใจ ทำไมตอนนี้เอาเท้าเขี่ยให้ เศรษฐีบอกว่าตอนทำทานท่านถวายเป็นสังฆทาน พระที่วัดใกล้บ้านเป็นตัวแทนสงฆ์ ในเมื่อเป็นตัวแทนสงฆ์ท่านต้องเคารพ แต่โดยจริยาของพระรูปนั้นแล้วส่วนตัวท่านไม่เคารพ พอใช้ให้หยิบของ เอาเท้าเขี่ยให้ยังเสียดายเท้าเลย..!

ต้องวางกำลังใจให้ได้อย่างนั้น ถึงเวลาส่วนของบุญ ก็ทำดีให้เต็มที่ แต่ส่วนตัวท่านใช้ไม่ได้ เราก็เอาแค่นั้นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2013 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 21-08-2013, 19:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้การแปลความหมายเปลี่ยนไปจนบาลีสับสนไปหมด อย่างวิญญาณของเราแปลว่าผี แต่ความจริงวิญญาณเป็นประสาทความรู้สึก ความหมายผิดไป กลายเป็นเพี้ยนไปเลย ต่อไปจะรักษาหลักธรรมเอาไว้ไม่ได้ ฉะนั้น..บาลีต้องแปลให้ถูก

สมานัตตตา เขามักจะแปลว่าเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลายก็ใช้ได้สิ..? คำนี้มาจาก สมาน + อัตตา = เสมอด้วยตัวเอง คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราคิดอยากได้อะไรเขาก็อยากได้อย่างนั้น เราไม่ชอบอะไรเขาก็ไม่ชอบอย่างนั้น

อาตมาสงสัยว่าชั่วเสมอต้นเสมอปลาย จะไปผูกใจเขาได้อย่างไร ? ถ้าชั่วเสมอต้นเสมอปลาย คนอื่นเขาก็เกลียดขี้หน้าเอา บาลียังเหมือนเดิม แต่คนแปลเข้าใจไม่ลึกพอ จึงแปลออกมาจนเละเทะไปหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2013 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:22



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว