กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 29-07-2013, 10:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่า สัพพะกายะปะฏิสังเวที คืออะไร ?
ตอบ : บอกถึงความสงบระงับของสังขารทั้งปวง โดยเน้นเอากายสังขารเป็นใหญ่ ก็คือถ้าระงับกาย ระงับใจได้ แม้กระทั่งตัวสังขารคือการปรุงแต่งก็จะระงับไปได้ด้วย จะเข้าถึงความสงบที่เขาเรียกว่าสันติในระดับแรกเริ่ม

ถาม : ดูกองลมเข้าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาใช้คำว่า ระงับกายสังขารดูกองลมเข้า ระงับกายสังขารดูกองลมออก จริง ๆ แล้วก็คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่ง เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว

ถาม : คำว่าสัพพะกายะ หมายถึงกองลมกายในอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : กองลมเป็นกายใน ตัวเราเป็นกายนอก สภาพร่างกายที่เป็นกายนอก กับกองลมที่เขานับเป็นกายใน ต้องสงบระงับด้วยกันทั้งคู่ คราวนี้การที่เราจะสงบระงับกายสังขารข้างใน แปลว่าสมาธิต้องทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว

ถาม : เวลาเรากำหนดกองลม เหมือนกับว่าเรารู้การเคลื่อนไหวของกายภายใน ก็แสดงว่าไม่ได้รู้แต่ลมอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ จะรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคำภาวนาเป็นอย่างไร ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้นอย่างไร จะกำหนดรู้พร้อมมูลไปหมด อธิบายแล้วเป็นคำพูดที่ยาวมาก แต่ว่าตอนช่วงนั้นเกิดขึ้นแวบเดียวเท่านั้นเอง

ถาม : แสดงว่ารวมทั้งกายในกายนอก ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าต้องรวมทั้งกายในกายนอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 29-07-2013, 14:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในระดับพระนางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบัน ตัดสักกายทิฐิได้แล้ว แต่ทำไมนางยังมีความอาลัยอยู่ ?
ตอบ : มีคำหนึ่งที่บาลีใช้คำว่า อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่าถอนเสียซึ่งความอาลัยได้ ต้องเป็นระดับพระอนาคามีขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นก็ยังเหมือนนางวิสาขา แล้วเราอย่าลืมว่าพระโสดาบันมีตั้ง ๓ ระดับ ถ้าเป็นระดับต้นอย่างสตฺตกฺขตฺตุปรมะอย่างไรก็ยังมีกิเลสเต็ม ๆ เหมือนฆราวาส เพียงแต่ว่าท่านอยู่ในกรอบของศีลเท่านั้น

ถาม : พระโสดาบันยังลุ่มหลงกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ยังมีความผูกพันต่าง ๆ ทั้งปวงเหมือนปกติ เพียงแต่เป็นไปในกรอบของศีล เพราะฉะนั้น..จะหัวเราะจะร้องไห้ก็ยังเหมือนกับคนปกติ แต่ที่มีมากกว่าคนปกติคือความเคารพในพระรัตนตรัย ความสมบูรณ์ของศีล และมีปัญญาที่มองเห็นสภาพความเป็นจริงว่า อย่างน้อยเราก็ต้องตาย มีต่างกับคนธรรมดาอยู่ตรงนี้เอง

ถาม : พระโสดาบันยังมีความกลัว ?
ตอบ : ก็มีเป็นปกติ ต้องบอกว่าท่านกลัวแบบมีสติ รู้ว่ามรณภัยมาถึงก็มีความกลัวเหมือนกัน แต่มีความมั่นใจว่าคติคือที่ไปของตนนั้นดีแน่ แล้วก็มีที่ยึดเกาะของตนก็คือพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น ฉะนั้น..ความกลัวของท่านเป็นความกลัวลึก ๆ เพียงแต่ว่าสภาพจิตของท่านมุ่งตรงและมีที่ยึดเกาะคือพระรัตนตรัย ก็เลยทำให้ไม่ได้กลัวจนขาดสติเหมือนกับพวกเรา

เรื่องกลัวจนขาดสตินี่ต้องคุณย่าของอาตมาเอง ก่อนท่านตาย ๗ วัน ท่านเห็นคนจะมาเอาชีวิต พวกเราที่เป็นลูกเป็นหลานเข้าไปเรียกให้กินข้าวท่านไม่ฟังเสียง ไม้เท้าในมือจะหวดไม่เลือกหน้า เข้าไปแต่ละทีนี่แทบจะเสี่ยงชีวิต ย่าคิดว่าเขาจะมาเอาชีวิตอย่างเดียว ไม่ได้สนใจว่าเป็นลูกเป็นหลานหรือเปล่า พอเข้าใกล้ก็ตีไว้ก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 29-07-2013, 14:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อุทธัจจะจริง ๆ เป็นตัวท้าย ๆ แล้ว คือความฟุ้งซ่านอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล อย่างเช่นเห็นบุญยังดีก็ทำ เลยกลายเป็นติดดีไป เราต้องไม่ลืมว่าอุทธัจจะสังโยชน์นั้นเลยสังโยชน์ ๕ ไปแล้ว บุคคลที่ล่วงพ้นสังโยชน์ ๕ คือพระอนาคามี

ในเมื่อเป็นพระอนาคามี เราก็มาดูว่าความฟุ้งของท่านยังมีอย่างไรอยู่ ก็เหลือแค่ว่าจิตที่มีสภาพเป็นกุศล อย่างเช่นว่ายังเห็นว่าผลบุญนั้นดี ผลบุญนี้ดีก็ยังทำอยู่ ขณะเดียวกันก็เห็นว่าตนเองยังเข้าไม่ถึงความเป็นอรหัตผล ก็ยังมีจิตฟุ้งต้องการอรหัตผลอยู่ ต้องเรียกว่าเป็นการฟุ้ง ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็คือคิดดี แต่ของท่านก็คือความฟุ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 29-07-2013, 14:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องบันทึกการเดินทางไปยุโรปเดี๋ยวไว้มีโอกาสจะเขียนให้ ตอนนี้เรื่องไปอินโดฯ ยังไม่จบ ไปเขมรกับไปจีนยังไม่ได้เริ่ม แต่ไปยุโรปอีกแล้ว มีคนเขาถามว่าจำอะไรได้หนักหนาขนาดนั้น อาตมาบอกไปว่า “ถึงเวลาก็เปิดเทปดูย้อนหลังสิวะ” ง่ายจะตายไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การบันทึกประจำวันเท่ากับเป็นอตีตังสญาณอย่างหนึ่ง เพราะเราต้องนึกว่าเราทำอะไรไปบ้าง ฉะนั้น..ตอนที่ท่านสอนให้ฝึกอตีตังสญาณ ท่านให้ย้อนจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นครึ่งวัน จากหนึ่งวันเป็นวันที่แล้ว ๒ วัน วันที่แล้ว ๓ วัน ท่านให้ซ้อมไปเรื่อย สามารถย้อนไปได้จนกระทั่งอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ก่อนที่จะเข้าท้องแม่ ย้อนหลังไปได้เรื่อย ๆ

ถ้าสมาธิไม่มั่นคง ถึงเวลาเริ่มเลือนก็ถอยออกมาเข้าสมาธิใหม่ ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ แล้วค่อยย้อนใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ชัด ระยะหลัง ๆ จะไม่รู้เรื่องก็เริ่มต้นใหม่ เข้าสมาธิแล้วก็ไปใหม่

แต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน บุคคลที่ระลึกได้ไม่จำกัดชาตินี่ในระดับของพระสาวกมีแค่ ๓ - ๔ ท่านเท่านั้น อย่างเช่นพระมหากัสสปะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระนางพิมพาเถรี นอกนั้นก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เหลือนี่จำกัด คำว่า "ไม่จำกัด" ก็คือรู้ได้ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดชาติแรกมาถึงปัจจุบัน ส่วนที่เหลือ ๆ ก็อาจจะได้สักแสนชาติบ้าง กัปหนึ่งบ้าง ๓ กัปบ้าง ๕ กัป ๑๐ กัปบ้าง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 29-07-2013, 14:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของทานบารมี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือพระพุทธกัสสปะกับพระพุทธทีปังกร ทั้งสองพระองค์มาด้วยทานบารมี ซึ่งปกติเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกพระองค์ก็จะมีลาภมากเป็นพิเศษ แต่ทั้ง ๒ พระองค์นี้เนื่องจากเริ่มต้นด้วยทานบารมี ฉะนั้น..ลาภของพระองค์ท่านจะมีหนักกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าบูชาทั้ง ๒ พระองค์นี้ รำลึกถึงเป็นปกติ หลวงพ่อท่านบอกว่าช่วยในเรื่องของลาภผลได้ดี

แต่ว่าทั้ง ๒ พระองค์ก็อยู่ในลักษณะว่าการสร้างทานบารมีไม่เหมือนกัน พระองค์หนึ่งก็นิยมประเภททุ่มทีเดียว อีกพระองค์หนึ่งนิยมทำเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..พระองค์หนึ่งก็ลาภมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสายเหมือนกับน้ำไหล อีกพระองค์หนึ่งมาตูมตามเป็นคลื่นทะเลเลย อาจจะถึงระดับสึนามิก็ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 29-07-2013, 14:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สภาพจิตที่เราสามารถเห็นได้เป็นรูปธรรมเลยเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สภาพจิตของเราจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ต้องมีทิพจักขุญาณด้วย คราวนี้รูปธรรมที่เราเห็นมี ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นลักษณะของดวง จะเป็นดวงกลมใสสว่างตามกำลังบุญของเรา อีกลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นกายเลย ลักษณะร่างกายก็เป็นไปตามกำลังบุญในตอนนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 29-07-2013, 15:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่วัดต่าง ๆ นำเอากระเบื้องโบสถ์เก่า ๆ มาให้เช่าบูชา เมื่อเราเอามาเช่าบูชาที่บ้าน ถือว่าเป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ เพราะค่าเช่าบูชาเท่ากับชำระหนี้สงฆ์ไปแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นพระกรุละครับ ในกรุแตกแล้วเขาเอามาให้บูชา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องมีคณะกรรมการที่เป็นสงฆ์ มีความเห็นร่วมกันกำหนดราคาขึ้นมา ถ้าทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่าราคาเท่านี้ เราไปบูชามาก็ไม่ถือว่าติดหนี้สงฆ์ แต่ถ้างุบงิบทำกันเองแค่ไม่กี่คนก็โดนแน่ ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 29-07-2013, 15:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระสงฆ์ออกรับบิณฑบาตแล้วพบกับคนชราหรือขอทานที่อดอยาก สามารถให้ทานโดยแบ่งอาหารให้กับผู้นั้นได้เลยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่งลงปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการแล้วที่เหลือค่อยให้เขา

ถาม : ถ้าเกิดบิณฑบาตอยู่ข้างทางละครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เฉพาะพ่อกับแม่เท่านั้น มีอย่างเดียวคือต้องให้เหลือจากการฉันก่อน แล้วคราวนี้พระเราส่วนใหญ่จะให้เหลือคือต้องฉันแล้ว ถ้าท่านที่เคร่งครัดหน่อย ถึงฉันไปแค่คำเดียวก็คือฉันแล้ว ต้องอดไปเลย ที่เหลือก็เอาให้โยมไป

มีทางเดียวคือปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการ เหลือแล้วก็ยกให้โยมไป


ถาม : ถ้าได้รับการจัดแบ่งจากคณะสงฆ์เรียบร้อยแล้ว ออกมาแจกจ่ายได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสังฆทาน ได้รับการอปโลกน์แล้ว ก็กินได้แค่ในวัดเท่านั้น เอาออกจากวัดไปก็ยังมีโทษอยู่ดี

ถาม : ถ้าพระมีปัจจัยแล้วให้โยมไปซื้อข้าวกิน ?
ตอบ : สะดวกกว่าเยอะเลย แต่ต้องเป็นเงินส่วนตัวนะ มีผู้หญิงอุ้มลูกมาหาอาตมา "หลวงพ่อ..ขอเงินกินข้าวยี่สิบ" อาตมาล้วงทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่หกสิบบาท บอกว่า "เอาไปสี่สิบแล้วกัน ยี่สิบจะไปพอกินอะไร" อย่าไปถามและอย่าไปคิดว่าเขาหลอกเราหรือไม่หลอก เป็นบุญลาภอันใหญ่แล้วที่เขามาขอเรา รีบให้ไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-07-2013 เมื่อ 01:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 31-07-2013, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ซองปัจจัยที่โยมถวายมา ถือว่าเป็นของส่วนองค์ของพระถูกหรือไม่ครับ ? เมื่อลาสิกขาแล้ว นำกลับไปใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ ? หรือควรนำไปทำบุญให้หมดครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าหาเรื่องลงอเวจีแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ต่อให้เขาระบุว่าเป็นเงินส่วนตัวก็ต้องใช้ในสิ่งที่สมควรเท่านั้น เช่น เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ส่วนที่เหลือก็ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลอันใดอันหนึ่ง เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย แต่นี่เขาถวายมาไม่ได้บอกว่าส่วนตัวหรือไม่ ก็ไปยึดเป็นส่วนตัว แปลว่ากำลังหาเรื่องไปที่ดี ๆ แล้ว..!

ถาม : แล้วถ้าเขาบอกว่าอันนี้ถวายส่วนองค์ พอลาสิกขาแล้วเอามาใช้ได้ ?
ตอบ : เงินส่วนตัวตอนเป็นพระ ไม่ใช่เงินส่วนตัวตอนเป็นฆราวาส ถ้าเอาไปใช้ก็สวัสดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 31-07-2013, 09:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ผมอายุ ๒๕ ปี ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เหงื่อแตกเยอะมาก หนาวสั่นไปทั้งตัว ก็เลยคิดว่าเรากำลังจะตายแล้ว ผมเริ่มคิดมาก ฟุ้งซ่าน เคยได้ยินคนแก่บอกว่าถ้าตายตอนเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ยังไม่ได้กินอะไร คนข้างหลังจะสบายเพราะยังไม่ได้กินอะไรไปเลย ผมดูนาฬิกาเป็นตอนตีสอง เห็นว่าตายตอนนี้ได้ไม่เป็นไร นอน ๆ ไป อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งว่า "สุปฏิปันโน พระสงฆ์รักษาโรค" เลยนอนนึกถึงประโยคนี้ไปเรื่อย ทีนี้ได้ยินเสียงมาพูดข้างหูว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อปานไม่ต้องกลัว" ก็เลยลืมตาขึ้นมาดูว่าใคร แล้วอาการที่เป็นอยู่ทั้งหมดก็หายไป ตัวก็อุ่นขึ้นและหลับไปจนถึงเช้า กราบเรียนถามว่า คนที่ใกล้จะตาย ๆ จริง ๆ อยู่คนเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีใครหรือท่านใดมาบอกข้าง ๆ ตัว ?
ตอบ : เป็นไปได้ทุกคน เพียงแต่อย่าตกใจก็แล้วกัน ส่วนใหญ่ใกล้ตายจะมีนิมิตบอกเหตุ หรือไม่ก็สารพัดท่านที่มาหา แต่ไม่รู้ว่าจะดึงลงหรือดึงขึ้น..!

ถาม : คนที่มาพูดข้างหูผมเป็นใครครับ ?
ตอบ : ถามท่านสิ..ท่านไม่ได้พูดกับอาตมานี่หว่า

ถาม : ถ้าโอกาสหน้ามีอาการอย่างนี้อีก ผมจะภาวนาว่านิพพานัง กับนึกถึงพระองค์ที่ ๑๑ ที่ผมฝันถึง
ตอบ : จงนึกถึงตั้งแต่บัดนี้ ถ้ารอโอกาสหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้นึกทัน

ถาม : ถ้าเกิดทุกขเวทนามาก ๆ แล้วนึกอะไรไม่ออก จะมีวิธีภาวนาอย่างอื่นไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ไปรอตอนใกล้ตาย ครั้งที่แล้วถือว่าโชคดีที่สุดแล้วที่รอดมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 31-07-2013, 11:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตามที่มีกระแสเรื่องการล้างพิษตับด้วยการกินน้ำมันมะกอก เพื่อเอานิ่วหรือตะกอนพิษที่สะสมในตับและถุงน้ำดีออกมานั้น จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยทำ ก็เลยยังไม่สามารถบอกได้ ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 31-07-2013, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การแผ่เมตตาไปแล้ว มีการดึงกลับได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่อาตมาสอนอยู่นี่ มีการดึงกลับเป็นปกติเลย

ถาม : ถ้าดึงกระแสที่แผ่เมตตาออกไปนั้นกลับมา จะไม่เรียกว่าเราขาดเมตตาในตอนที่เราจะให้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของคุณปราศจากเมตตาจะเรียกว่าขาดก็ได้ ก็เขากำลังซักซ้อมความคล่องตัวอยู่ จะไปขาดได้อย่างไรเล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 31-07-2013, 12:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หากจะเอาโสดาปัตติผลให้ได้ โดยใช้พรหมวิหารสี่เป็นหลัก จะต้องมีวิธีการปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรือนอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่อให้ใครเขามาฆ่าเรา ก็นอนยิ้มให้เขาฆ่าแต่โดยดี รำลึกถึงความตายว่ามีอยู่เป็นปกติ ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง วินาทีนี้เรามีศีลบริสุทธิ์ ตายแล้วไปพระนิพพาน แค่นั้นแหละ ถ้าไม่เอาพรหมวิหารยังวิ่งหนีได้ แต่นี่เอาพรหมวิหารก็นอนให้เขาเชือดเสียแต่โดยดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 01-08-2013, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การพึ่งบารมีหลวงพ่อให้คลายทุกข์หนัก ให้คลายสงสัย พอสบายตัวแล้วละเลยหลงลืมการปฏิบัติ อย่างนี้จะมีโทษในเรื่องการอกตัญญูไม่รู้คุณท่านหรือไม่ครับ ? และจะมีโทษหรือมีภัยติดตามมาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาจะปรับเรื่องปรามาสพระรัตนตรัยมากกว่า ต้องบอกว่าใช้พระ พอสบายแล้วก็ลืม ขอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป พอเวลาทุกข์ก็นึกถึงพระ ตั้งใจเกาะท่านเป็นที่พึ่งสุดชีวิต แต่พอสบายขึ้นมาก็ลืมท่าน หลงลืมการปฏิบัติ เป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้น

จริง ๆ แล้วควรยึดท่านเป็นที่พึ่งและยึดจริง ๆ ไม่ใช่ยึด ๆ ปล่อย ๆ ถ้ายึด ๆ ปล่อย ๆ ก็คือลักษณะของการปรามาสพระรัตนตรัย ลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่เอาจริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 01-08-2013, 15:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เนื่องจากเคยอ่านพบว่า องค์พระจุฬามณีสร้างด้วยแก้วอินทนิลเป็นหลัก ประดับตั้งแต่กลางองค์ถึงยอดด้วยทองคำ ประดับด้วยสัตตพิธรัตนะเจ็ดประการ ภายในประดิษฐานพระเกศโมลี เข้าใจว่าผอบแก้วที่รองรับก็เป็นแก้วอินทนิลด้วย คิดว่าแก้วอินทนิลเป็นแก้วที่คู่ควรกับพระเขี้ยวแก้วเช่นนี้ ใช่หรือไม่ที่ทำให้พระอาจารย์ได้รับแก้วอินทนิลมา ในฐานะผู้รักษาพระเขี้ยวแก้ว ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตอบไม่ได้จ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 01-08-2013, 15:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้ามีคนปฏิบัติธรรมได้คุณธรรมระดับพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ อยากทราบว่าบิดามารดาภรรยาและบุตร จะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกับการบวชพระหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บิดามารดาได้ สามีภรรยาบุตรถ้าไม่ยินดีด้วยจะไม่ได้ ถ้าเป็นอาตมาก็เป็นเจ้าภาพบวชพระไปเรื่อย เก็บอานิสงส์การบวชคนอื่นไปก่อน แต่ถ้าบวชใจด้วยการทำตนเป็นพระอริยเจ้าเองได้จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง ทั้งแก่ตนเองและบิดามารดา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 01-08-2013, 15:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าบิดามารดาเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เห็นด้วยกับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนา แต่บุตรซึ่งมีสัมมาทิฐิ ขอเงินจากบิดามารดาโดยกล่าวว่าตนต้องการนำไปใช้ ขอเงินโดยไม่ได้บอกว่าจะนำไปทำอะไร แต่สุดท้ายก็นำไปทำสังฆทานบ้าง วิหารทานบ้าง ธรรมทานบ้าง ตามจำนวนที่ได้รับมา โดยไม่ได้บอกล่าวบิดามารดาให้อนุโมทนา เนื่องจากเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ ไม่ทราบว่าบิดามารดาจะได้อานิสงส์จากการทำบุญของบุตรหรือไม่ และจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับบุตรหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ได้ไม่เท่า..เพราะเจตนาในการทำบุญไม่มี แต่อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็มีอยู่ แต่จะอยู่ในลักษณะของกตัตตากรรม คือ การกระทำโดยไม่เจตนา ซึ่งจะเป็นแรงกรรมตัวที่เบาที่สุด ถ้าไม่มีอะไรส่งผลกรรมตัวนี้จึงจะโผล่มา ถ้ายังมีอย่างอื่นส่งผลก็จะโดนกรรมอื่นแซงไปก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 01-08-2013, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราทำบุญในนามคนอื่น หรือเพิ่มชื่อคนในครอบครัวโดยที่เขาไม่ได้ออกเงินร่วมทำบุญไปด้วย ถือว่าเป็นการมุสาหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นการมุสา อย่างน้อยก็ถือว่าช่วยให้เขามีชื่อฝากไว้ในพระพุทธศาสนาบ้าง ก็ชื่อติดอยู่หน้าซองทำบุญนี่นา

ถาม : แล้วได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่โมทนาก็ไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 01-08-2013, 17:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การขออโหสิกรรม ถ้าไม่ได้ขออโหสิต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ขอผ่านโทรศัพท์ ผ่าน sms ผ่าน e-mail ผ่าน facebook หรืออื่น ๆ ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าอโหสิกรรม ถือว่ากรรมขาดจากกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาด...ขอให้ยอมรับเท่านั้น ถือว่าโจทก์หรือจำเลยรับรู้ทั้งคู่ แล้วยินดีให้อภัยอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 01-08-2013, 17:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,016 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราเขียนพินัยกรรมให้ทายาทนำทรัพย์สินส่วนหนึ่งของเรา ไปทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์และปิดทองคำแท้หลังเราตายไปแล้ว จะถือว่าเราได้ชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัยก็ทำเสียก่อนตาย แล้วค่อยเผื่อไว้ว่าอาจจะไปติดหนี้รอบใหม่ ด้วยการทำในพินัยกรรมอีกรอบหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว