กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 23-01-2012, 16:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะย้อนหลังไปดูว่าคำขวัญวันเด็กปีไหนเข้าท่าที่สุด แล้วก็เลือกอันนั้นแหละเป็นคำขวัญวันเด็กตลอดไป เพราะถ้าเปลี่ยนคำขวัญทุกปี เด็กก็จะจำไม่ได้

อย่างรุ่นของอาตมา คำขวัญวันเด็กคือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ ใช้มาตลอด สมัยนี้เด็กฉลาดชาติล่มจม เพราะส่วนใหญ่ฉลาดในทางโกงกิน งานวิจัยเขาสรุปออกมาว่า คนรุ่นใหม่ยอมรับว่าถ้าจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างก็แล้วกัน

ถ้าเรื่องนี้ต้องดูอย่างคุณบรรหาร ศิลปอาชา ถามว่าคุณบรรหารโกงไหม ? ไม่ได้โกง แต่คุณบรรหารของบประมาณไปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเอาบริษัทตัวเองไปประมูล ในเมื่อรู้ราคากลางก็ประมูลได้ทุกทีแหละ แล้วก็ทำจนสุพรรณบุรีเจริญมากจนจังหวัดอื่น ๆ อิจฉา ในตอนนั้นถนนสายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรีเป็นถนนลาดยาง ๔ เลน อยู่มาไม่กี่ปีก็ขูดทิ้ง ทำถนนคอนกรีตแทน ที่อื่นยังไม่มีถนนดี ๆ อย่างนี้เลยนะ นี่ขูดทิ้งแล้วไปทำเป็นคอนกรีตแทน เพราะได้งบประมาณมาทำถนนคอนกรีต

คุณบรรหารเป็นคนที่ได้งบประมาณบ่อย เคยถามท่านว่าทำอย่างไรถึงได้งบประมาณเยอะขนาดนั้น ท่านบอกว่า..ผมของบประมาณทุกอย่างที่มีสิทธิ์ขอได้ แล้วโทรไปตามจี้ด้วยตัวเอง เราลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ รับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วท่านบอกว่า "ผม..บรรหาร ศิลปะอาชาครับ งบประมาณเรื่องนั้น ๆ ที่ผมขอมาไปถึงไหนแล้ว ?" เป็นเราก็ต้องวิ่งทำให้จนตีนพลิกเหมือนกัน

เพราะท่านกล้าขอและกล้าทวงก็เลยได้เยอะ ในขณะที่คนอื่นขอแล้วเงียบ ไม่ได้ทวงเขาก็โยกไปใช้ทางอื่นหมด บริษัทคุณบรรหารนี่งานอื่นไม่รู้นะ แต่เรื่องทำถนนถือว่าใช้ได้เลย แต่อาตมาชอบถนนลาดยางมากกว่า ถนนคอนกรีตวิ่งแล้วเหมือนกับรถไม่ค่อยจะเกาะถนน ถนนลาดยางวิ่งแล้วมั่นใจกว่า เกาะดีกว่า ถนนคอนกรีตดีกว่าตรงซ่อมง่ายเท่านั้น พอถึงเวลาก็ตัดออกเป็นแผ่น ๆ แล้วเทใหม่เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 23-01-2012, 17:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่พ่อแม่รักลูก จะว่าไปก็คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต เพราะว่าจะได้ดูแลทารกให้เติบใหญ่ขึ้นมา แล้วก็สืบเชื้อสายพืชพันธุ์ต่อไป แต่ว่าในส่วนลึก ๆ อยู่ในใจคือความหลงตัวเอง เพราะว่าลูกหน้าตาเหมือนเรา ในเมื่อลูกหน้าตาเหมือนเรา ในใจลึก ๆ ก็จะรักโดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว "เรารักตัวเราเอง"

โดยเฉพาะบางคนเจอไป ๒ ชั้นเลย คาดหวังจะให้ลูกคอยดูแลตอนแก่ นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นตัวกูของกู ๒ เท่าเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 23-01-2012, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มีโฆษณาของไทยประกันชีวิต ที่ชื่อว่า ความรักแบบไร้เสียง ที่พ่อเป็นใบ้แล้วเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ล้อว่า “ลูกไอ้ใบ้” โฆษณานี้สมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย ไปพลาดอยู่อย่างเดียวตอนลูกฆ่าตัวตาย ลูกเชือดข้อมือตัวเองแล้วล้ม คนเป็นใบ้จะหูหนวกด้วย แล้วจะได้ยินตอนล้มได้อย่างไร ? ถ้าเป็นอาตมาจะทำให้เลือดหยดลงมาแปะบนโต๊ะตรงหน้าพ่อพอดี อย่างนั้นถึงจะสมเหตุสมผล

บางทีคนทำโฆษณาเขาก็ลืม แต่คนแสดง ๆ ได้ดีมากโดยเฉพาะภาษาใบ้ ดูเข้าใจเลยว่าเขาจะสื่ออะไร มาตอนหลังเขาก็สรุปว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่เขาก็เป็นคนที่รักเรามากที่สุด พอลูกเชือดข้อมือตัวเองขึ้นมา พ่อก็รีบพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีเลือด พ่อก็บอกให้หมอเอาเลือดจากพ่อไป ก็เลยต้องถ่ายเลือดข้ามตัวกัน ลูกฟื้นก่อนพ่อ เห็นสายโยงมาจากแขนพ่อมาถึงตัวเอง ก็เลยรู้ว่ารอดมาได้เพราะพ่อสละเลือดให้ ระยะหลังนี้ไทยประกันชีวิตทำโฆษณาดี ๆ น่าจะได้รางวัลประเภทสร้างสรรค์ออกมาเยอะมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 24-01-2012, 09:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทหารไทยกับซามูไรนี่ใครเก่งกว่าครับ?
ตอบ : ซามูไรเก่งกว่า..แต่ซามูไรตายหมด เขาดวลกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ทหารไทยสู้ไม่ได้ เพราะว่าที่มาไม่ใช่ซามูไรทั่ว ๆ ไป แต่เป็นนินจา เป็นหน่วยล่าสังหารไม่ใช่นักรบที่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า แต่คราวนี้พอมาสู้กับทหารไทยแล้ว ส่วนใหญ่ทหารไทยฟันไม่เข้า ก็เลยบอกว่าทหารไทยเก่งสู้ไม่ได้ แต่ซามูไรที่เก่งกว่าตายหมด..!

ถาม : แล้วเขาไม่มีที่ฟันไม่เข้าบ้างหรือครับ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน..แต่ว่าทำได้เป็นบางคน เขาไม่รู้ว่าหลักการอย่างไรที่จะทำให้หนังเหนียวได้ทุกคน ถ้ากำลังใจถึงก็ทำได้เหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 09:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 24-01-2012, 10:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "การรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศของพระครูชั้นสัญญาบัตรในสังกัดคณะสงฆ์หนกลาง ระบุมาในกำหนดการเลยว่า ให้ทุกรูปห่มจีวรสีพระราชนิยม คำว่า จีวรสีพระราชนิยมก็คือจีวรสีที่ในหลวงทรงโปรด




พระองค์ตรัสว่าสีพระป่าก็มืดไป สีเหลืองก็สว่างไป พระองค์ให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ตอนที่ยังเป็นสมเด็จพระญาณสังวรอยู่ ให้ไปค้นคว้าจนกระทั่งได้สีนี้มา แล้วพระองค์ท่านทรงโปรด จึงเรียกว่าสีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง

คราวนี้มีนักเลงดีกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมดห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า “ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรักหรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ..!"

พระผู้ใหญ่ท่านรอบคอบและแม่นต่อกฎหมายและระเบียบวินัยจริง ๆ ถ้าเป็นเราก็คิดว่าน่าจะทำได้ใช่ไหม ? ลองไปทำเข้าดูสิ..!"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg 1320647871.jpg (56.5 KB, 966 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 10:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 24-01-2012, 10:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาบวชพระ ถ้ามีพระที่ต้องอาบัติหนักแล้วไปร่วมสังฆกรรมด้วย ไม่เป็นเณรกันไปทั้งประเทศแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นเชียว..อย่างน้อย ๆ สายพระป่าท่านก็มั่นใจว่าท่านบริสุทธิ์ แต่อาตมาว่าเป็นเณรดีกว่า ศีลไม่มาก รักษาง่ายดี แต่ถ้าไปนั่งร่วมกับพระ กินร่วมกับพระ นอนร่วมกับพระ ก็นรกกินหัวอยู่ทุกวัน..!

ถาม : ถ้าเกิดเป็นเณรกันหมดละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกท่านหนึ่งไม่ใช่พระ ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน )
ตอบ : ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ต่อไปไม่ได้หายแค่ลักษณะที่พระเป็นเณร หรือพระปฏิบัติไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แม้แต่เพศความเป็นพระเป็นเณรก็ค่อย ๆ หายไปด้วย ตอนนี้ลองไปดูพระญี่ปุ่นสิ ถ้าไม่ได้อยู่ในการทำพิธีท่านใส่สูทเท่เลย เขามีแถบเหลือง ๆ ติดที่คอเสื้อ นี่แค่กึ่งกลางศาสนาเท่านั้น ใกล้ ๆ ๒,๖๐๐ ปี เหลืออีกตั้ง ๒,๔๐๐ ปี ยังหายไปซะเยอะเลย

แต่ประเทศญี่ปุ่นมีสารพัดนิกาย ถ้าเป็นพวกชินโตก็สามารถมีครอบครัวได้ ถ้าเป็นเท็นไดก็จะเคร่งครัดหน่อย คุณไม่ต้องไปกังวลแทนเขาหรอก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดประยูรวงศาวาส สถานทูตญี่ปุ่นนิมนต์ท่านไปงานฉลองสถานทูต ระบุเอาไว้ในหนังสือนิมนต์ว่าถ้ามีภรรยาให้พาไปด้วย หลวงพ่อบอกว่า “เสียท่าเขาว่ะ..หาไม่ทัน..ถ้านิมนต์ล่วงหน้าหลายวันหน่อยอาจจะหาได้..!”

ถาม : เขามีเมียกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่สมัยเมจิ ราว ๆ รัชกาลที่ ๓ ของเรา เพราะว่ายุคนั้นพวกบรรดาเจ้าผู้ครองนคร(ไดเมียว)กับโชกุนต่าง ๆ รบราฆ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา พระจะเดินทางเผยแผ่ศาสนาก็มักจะโดนจับฆ่า เพราะคิดว่าเป็นสายลับของอีกฝ่ายหนึ่ง

ท้ายสุดท่านกลัวว่าศาสนาจะสาบสูญไป ก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อไม่สามารถเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้ ก็แต่งงานมีครอบครัวดีกว่า อย่างน้อยก็สอนเมียสอนลูกได้ ก็เลยกลายเป็นลักษณะอย่างนี้มา เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก จะทำตัวแบบพระญี่ปุ่นสอนเมียสอนลูกก็ได้ แต่ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวลูกมาสอนเราก็ยุ่งอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 24-01-2012, 10:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คุณจะไปเอาความถูกต้องกับเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายใหญ่ของเขา คือ รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ โอกาสที่จะเผยแผ่คำสอนออกไปยังมีอยู่ แม้ว่าจะเป็นภายในครอบครัว ถ้าทางด้านครอบครัวภรรยาเห็นด้วยก็จะเพิ่มขึ้นอีก ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่ายเห็นด้วยก็จะได้คนเพิ่มขึ้นอีก ลักษณะนี้เป็นสายพระโพธิสัตว์แน่ คือกูจะลงนรกก็ไม่ว่าหรอก แต่ขอให้รักษาศาสนาไว้

แบบเดียวกับที่คุณถามว่าศาสนาอิสลามให้มีเมีย ๔ คนถูกต้องหรือเปล่า ? คุณต้องไปดูในบริบทช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น เขารบราฆ่าฟันกันจนแทบจะไม่มีผู้ชายเหลือ ถ้าคุณต้องการประชากรเพิ่มขึ้นก็ต้องมีภรรยาหลายคน เพราะว่าผู้ชายเหลือน้อย

พอเขาบัญญัติขึ้นมาแล้วรุ่นหลังไม่เปลี่ยน ก็มีไปเรื่อย ๆ เรื่องบางยุคเป็นเรื่องถูกต้อง แต่พอมาอีกยุคหนึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไปได้ เพราะว่าค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ถ้าคุณไปมองว่าถูกหรือผิด ขาวดำชัดเจนก็เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : อย่างนั้นหลักคำสอนก็ผิดเพี้ยนไปสิครับ ?
ตอบ : เพี้ยน..แต่ดีกว่าไม่มีเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 24-01-2012, 10:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส เขาจะมาขอจากวัดท่าขนุนทุกที อาตมาผลิตให้แทบไม่ทัน

กว่าจะมีคุณสมบัติพอเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้อง ๖ พรรษา เราผลิตมาแทบเป็นแทบตาย เขามาโฉบแวบเดียวไปแล้ว แต่ก็ให้ไป..เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เอาปฏิปทาสายหลวงพ่อวัดท่าซุงไปปฏิบัติให้เขาเห็น เขาจะได้รู้ไว้ว่าพระที่ทำเพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวมจริง ๆ ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตัวเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 24-01-2012, 10:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์บอกว่า "พร้อมเมื่อไรจะบอกบุญในเว็บ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ที่วัดท่าขนุน มีพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการอยู่ ๓๐๐ ชุด คิดชุดละ ๗,๕๐๐ บาท ในแต่ละชุดจะมีพิเศษอยู่องค์หนึ่งคือเนื้อชินตะกั่วซึ่งมีแค่ ๓๐๐ องค์

เดี๋ยวรอคุณโอรส(อุดมศักดิ์ จิรบัณฑิตย์)เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ก่อน แล้วค่อยแบกกลับมา ส่วนพระปิดตาที่ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วยมีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ ๓ เนื้อนี้ ถ้าหากว่าใครคลอดลูกอยู่ก็อย่าเข้าไปใกล้ ตอนนั้นอาตมาลืมไปจริง ๆ คิดอย่างเดียวว่าจะใส่ ลืมนึกถึงอานุภาพ คิดว่ามีอะไรดี ๆ ก็จะใส่ให้หมด

อย่างตะกรุดโสฬสของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านไม่มีข้อห้ามอย่างนี้ ใส่ลงไปก็ไม่มีปัญหา อันนั้นเป็นตะกรุดทองคำพอกครั่ง อาตมาก็ลอกครั่งมาใส่พระปิดตาเนื้อผง ส่วนทองคำก็แบ่งใส่เนื้อนวโลหะกับเนื้อทองคำไป

พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผงจะมีส่วนผสมมากที่สุด ถ้าอยากได้ของแพงหน่อยเนื้อนวโลหะ โดยเฉพาะนวโลหะรุ่นนี้อาตมาบ้าเลือด ใส่ทองคำลงไป ๑๐๐ บาทพอดี..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 24-01-2012, 11:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : รุ่นองค์ใหญ่จะให้บูชาเมื่อไรครับ?
ตอบ : ยังไม่รู้เลย ต้องดูอารมณ์ก่อน กลัวได้เงิน ได้เงินมาแล้วก็เหนื่อย ที่รีบทำไว้ก่อนเพราะรู้ว่าต่อไปของจะขึ้นราคาไปเรื่อย จึงทำเอาไว้ก่อน ของในท้องตลาดจำหน่าย ๑,๐๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๕๐๐ บาท เขาจำหน่าย ๕๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๓๐๐ บาท

อย่างวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อทองคำ มาตรฐานเลยก็คือพอทำสำเร็จแล้วคิดน้ำหนักทองคูณราคา ๓ เท่า ถ้าสมมติว่าน้ำหนักทอง ๑ บาท ก็คิดเท่ากับราคาทอง ๓ บาท เพราะฉะนั้น..ในท้องตลาดราคาจะแพงมาก อาตมาก็ไม่รู้จะเอาเงินมากไปทำไม บางรุ่นแทบจะไม่มีกำไรเลย ปีที่แล้วติดลบไปหกล้านกว่าบาท ติดลบแบบไม่มีหนี้ คือตัวเลขติดลบแต่มีเงินจ่ายให้เขา ก็ไม่แปลกหรอก

อย่างล่าสุดที่สร้างพระนาคปรกทองคำ ให้ทองคำเขาไป ๒๖ บาท พอหล่อพระเสร็จแล้วยังเหลือเศษทองอีก ๙.๘ กรัม แต่พระที่หล่อออกมานั้นน้ำหนัก ๒๗ บาทกว่าแล้ว ก่อนนั้นครั้งหนึ่งโยมเอาทองมาเปลี่ยนเป็นพระไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทองเกินมา ๕ บาท แต่เขาก็ได้พระไปครบถ้วนดี ไม่มีใครเสียหาย แล้วทองคำโผล่มาจากไหน ? ของอย่างนี้เลิกคิดไปนานแล้ว ถ้าท่านจะมาก็นิมนต์เถอะ มีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ

วันก่อนพระปลัดสถิตย์ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิเขามาบอกว่า “อาจารย์มีเศษเงินติดกระเป๋ามาสักสองหมื่นไหม ?” อาตมาก็ “เฮ้ย..สองหมื่นนี่เศษเงินหรือ ?” ท่านว่า “ถ้าของอาจารย์ก็เศษเงิน..!” อาตมาถามว่าจะทำอะไร ? ท่านบอกว่าจะทำฐานพระประธาน มีคนสร้างพระประธานมาให้แต่ไม่มีฐาน อาตมาก็เลยควักเงินให้ นับไปนับมาได้สองหมื่นถ้วน หมดตัวพอดี..!

จึงบอกว่า "นี่ถ้าขอเกินแค่บาทเดียว ผมก็ไม่มีให้" ให้ไปแล้วอาตมาก็กลับวัดตัวเปล่า เพื่อน ๆ พระด้วยกันก็อย่างนี้แหละ คนไหนโชคดีมาตอนมีก็เอาไป ถ้ามาตอนไม่มีก็แล้วไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 24-01-2012, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือปกิณกธรรมที่ใส่รูปเอาไว้เยอะ นอกจากเพื่อพักสายตาแล้วยังเป็นอนุสติด้วย เสียดายรูปสวย ๆ สมัยก่อน ตอนหัดใช้กล้องใหม่ ๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ไล่ถ่ายรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ่ายไปถ่ายมาได้ยินเสียงสวรรค์ลงมาว่า “แกจำไว้นะ..ถ้าใครอยากเจ๊งก็ให้เล่นกล้อง..!”

จริง ๆ ด้วย กว่าจะถ่ายรูปเป็น หมดเงินไปเป็นหมื่นของสมัยนั้น เพราะว่าบางทีถ่ายทั้งม้วนได้มาจริง ๆ แค่ ๒-๓ รูป แต่บังเอิญว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกตและจำแม่นว่า รูปที่ออกมาดีและสวยอยู่ในสภาพอากาศอย่างไร แสงสีเป็นอย่างไร และถ่ายจากมุมไหน หลังจากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อย ๆ จากที่ทั้งม้วนขอแค่รูปสองรูป ก็เริ่มจะได้มากขึ้น

แบบเดียวกับภาพพระธาตุอินทร์แขวน ตอนนั้นอาตมาดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ใกล้จะตะวันตกดินแล้ว ตะวันจะตกมุมนั้น ถ้าถ่ายพระธาตุจากตรงนี้ถึงจะสวย คำนวณทิศทางไว้หมดแล้ว ไปยืนรอถ่ายอย่างเดียว พวกฝรั่งก็สงสัยว่าพระรูปนี้ปีนขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ? พอเขาเห็นว่าถ่ายรูป คราวนี้กรูกันมาหมดเลย เพราะเขาเพิ่งเห็นว่ามุมนี้สวย

แต่ว่ารูปที่ถ่ายยากที่สุดก็คือรูปที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระอาทิตย์ที่นั่นตกไวมาก ถ่ายรูปแรกเสร็จจะถ่ายรูปที่ ๒ ตกลับไปครึ่งทางแล้ว ทำไมเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 12:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 24-01-2012, 12:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยก่อนถ่ายรูปได้ ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงดูไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที บางทีท่านถามอาตมาก็ถวายให้ท่านดู แต่ว่ามีบางรูปที่พรรคพวกขออัดกัน อย่างรูปที่หลวงพ่อท่านพรมน้ำมนต์ ท่านสะบัดมือพอดี อาตมาถ่ายไปมีน้ำมนต์เป็นรูปครึ่งวงกลมสีขาวอยู่ตรงอกท่าน แย่งกันยืมอัด ไป ๆ มา ๆ ฟิล์มม้วนนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีหลายชุดที่ถ่ายดีแล้วเขาขอฟิล์มไปอัดแล้วก็ไม่ได้คืน

มีภาพที่ถ่ายในงาน ๑๐๐ วันหลวงพ่อ อาตมาจะถ่ายไว้ทุกวัน เช้ากับเย็นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่ากรรมการสงฆ์เขากลัวว่า อาตมาจะเอาไปหากินหรืออย่างไรไม่รู้ ? เขาให้หลวงพี่วิรัชมาขอฟิล์มไป ตอนหลังอาตมาไปหาหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปท่านหาคืนมาได้แค่ ๓ ม้วน ท่านบอกว่า “กูหาเจอแค่นี้แหละ ไม่รู้เขาเอาไปซุกไว้ที่ไหนกันหมด”

หลวงพี่ประทีปท่านเป็นพระที่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าอาตมามีนิสัยอย่างไร ถึงถ่ายไปก็ไม่ได้เอาไปอัดขายเหมือนคนอื่นเขาหรอก พอออกมาได้สัก ๓ ปีก็ย่องกลับไปหาบอกว่า “พี่ทีป..ยังมีรูปป๋าเหลือไหม ?” พี่เขาไปค้นมาให้ได้มาแค่นี้แหละ ท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งไม่ได้เขียนลายมือติดไว้ ข้าก็หาไม่เจอหรอก” อาตมาจะเขียนไว้ว่าถ่ายวันไหนถึงวันไหน คนอื่นเขาไม่ได้คิดกัน โดยเฉพาะทางวัดงบประมาณเหลือเฟืออยู่แล้ว ทั้งภาพนิ่งทั้งวีดีโอควรจะถ่ายไว้ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 14:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 24-01-2012, 12:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงถ่ายรูปไหมครับ ?
ตอบ : อาตมามีภาพที่ท่านกำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าให้ใครดู กลัวโดนเตะ..! เรื่องของครูบาอาจารย์ การแสดงออกให้คนทั่วไปรู้เป็นสาธารณะควรจะเป็นภาพที่น่าเลื่อมใสศรัทธา คราวนี้การที่ท่านถ่ายรูปไม่ผิดหรอก อาตมาเองรู้สึกว่าน่ารักดีด้วย แต่ถ้าออกไปเป็นสาธารณะแล้วจะมีคนเก่งด่าท่าน คนด่าก็หานรกใส่ตัวเอง เพราะฉะนั้น..จึงก็ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่เผยแพร่ไปส่งเดช

อย่างน้องเล็กไปวัดท่าซุงตอนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ไปขอถ่ายรูปท่าน พอกล้องส่องตรงไปที่ท่านก็กดชัตเตอร์ไม่ได้ พอหันไปถ่ายที่อื่นถึงติด หันกลับมาที่รูปท่านก็ถ่ายไม่ติด ๗-๘ รอบจนต้องยอมรับ และกล้องรุ่นหลัง ๆ เป็นดิจิตอลหมดแล้ว ประเภทเห็นชัด ๆ ว่าถ่ายได้หรือไม่ได้ ไม่อย่างนั้นปกติก่อนนี้น้องเล็กไปก็ไม่ได้เลื่อมใสอะไร เพื่อนชวนไปก็ไป ท่านทำให้เห็น ๆ เลยว่า “ถ้าเอ็งไม่เลื่อมใสศรัทธา ก็ไม่ต้องเอารูปข้าไป..!”

อาตมาเจอหนักกว่านั้นอีก ก็คือพระแก้วมรกตของหลวงพ่อดาบส ท่านติดป้ายห้ามถ่ายรูป ซึ่งเป็นป้ายที่อาตมาไม่เคยฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม พอถ่ายรูปเสร็จเอาฟิล์มไปล้างออกมาแล้วเจ็บปวดมาก เครื่องบูชาทุกอย่างถ่ายติดหมด ขาดแต่องค์พระแก้วอย่างเดียว ท่านทำให้ดูว่า “ถ้าเอ็งฝ่าฝืนในสิ่งที่ข้าไม่ชอบ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ..!” ไม่ว่าจะเป็นฉัตร เป็นแจกันดอกไม้ถ่ายติดหมด แต่ตรงองค์พระว่างไปเฉย ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 14:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 24-01-2012, 16:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อดาบสท่านเคยมาวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย

ถาม : แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยพาไปหาท่านไหมครับ ?
ตอบ : ท่านไม่ได้พาไป แต่ไปกันเอง เพราะว่าคนเล่าลือถึงคุณความดีของท่าน หลวงพี่วิรัชกับหลวงตาวัชรชัยก็ไปกราบขอถ่ายรูปท่าน แล้วหลวงพี่วิรัชเอาไปให้หลวงพ่อดู พอหลวงพ่อเห็น ท่านก็บอกว่า องค์นี้ได้มา ๒๐ ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ที่น่าเป็นห่วงก็คือแม่ชีทอน ท่านดูแลทุกอย่างในสำนักแทนหลวงปู่อยู่

ถาม : แม่ชีทอนท่านเสียไปแล้วครับ ?
ตอบ : เสียไปแล้วหรือ ? ถ้าอย่างนั้นยุ่งเลย เพราะว่าตอนช่วงที่ท่านอยู่ อาตมาไปทีไรแม่ชีก็ตื๊อให้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น แนะนำมหาโรจน์ไป มหาโรจน์ก็บอกว่าไกลเกิน

แม่ชีทอนบอกว่า “ถ้าอาจารย์ไม่เป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ลูกศิษย์มาเป็นก็ได้” เขาเชื่อใจพระสายหลวงพ่อมากกว่า เพราะความที่คุ้นเคยกัน ไปกันทีพวกเราก็อยู่สบายกินสบาย แม่ชีทอนตอนนั้นก็เห็นว่าตัวเองอายุมากแล้ว อยากให้คนมาเป็นหลักไว ๆ ถ้าอาตมาไปพวกเขาก็ยอมรับกัน แต่ก็ไปไม่ได้

หลังจากเผาหลวงปู่แล้วรู้สึกว่าไปอีก ๒ ครั้งเท่านั้น นอกนั้นก็วิ่งอยู่สายนอก สมัยหลวงปู่อยู่วิ่งสายในเส้นดงมะดะ ผ่านหน้าวัดเลย แม่ชีที่นั่นต้องห่มผ้าสีม่วง เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เป็นชี พระก็ไม่ยอมให้เป็นพระ

ถาม : แล้วที่นั่นเป็นวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น เพราะว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ คือเขาไม่ยอมให้ขึ้น คนจะรังแกก็รังแกจนถึงที่สุด ขนาดใช้ชื่ออาศรมเวฬุวัน เขายังไม่ยอมให้ใช้ เขาบอกว่าเวฬุวันเป็นวัดในพุทธศาสนา ท่านต้องไปเปลี่ยนเป็นอาศรมไผ่มรกต ไม่ต้องห่วง พวกนี้เจอกันข้างล่าง..!

ก่อนหน้านั้นอาตมาไปปีละ ๒-๓ ครั้ง แต่ว่าช่วงก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ พอขึ้นไปเห็นท่าน อาตมาก็บอกทุกคนให้รีบไปทำบุญกับท่าน เพราะว่าเข้าไปแล้วกุฏิท่านสว่างผิดปกติ สว่างอย่างกับติดไฟไว้เลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเปิดไฟในกุฏิ ลักษณะอย่างนี้จำไว้เลย พระจะสวยที่สุดคือวันที่บรรลุมรรคผลกับวันก่อนตาย

ตอนออกจากวัดท่าซุงก็ขึ้นไปกราบท่าน แล้วก็รายงานว่าไม่ได้อยู่วัดท่าซุงแล้ว ตอนนี้อยู่ทางด้านกาญจนบุรี หลวงปู่ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านว่า “พระมาบอกให้ผมทราบแล้ว” สยองเลย..เรื่องของเด็กกระเปี๊ยกอย่างเรา พระท่านยังอุตส่าห์ไปบอกหลวงปู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 24-01-2012, 16:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การไหว้พระแบบคติพุทธ จำเป็นต้องใช้ดอกไม้ธูปเทียนไหม ?
ตอบ : ถ้าถามว่าจำเป็นไหม ? ไม่จำเป็นก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากเราจะไหว้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องไหว้ในลักษณะนึกถึงเป็นพุทธานุสติ อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชา แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไหว้แล้วน้อมใจนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ ก็ควรที่จะมีดอกไม้ธูปเทียนที่เรียกว่าอามิสบูชา

ถ้าหากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงควรที่จะหาไว้ อะไรที่เขาทำจนเป็นธรรมเนียมประเพณีแล้ว ถ้าเราไปฝืนเขาเดี๋ยวจะมีปัญหากับส่วนรวม เพราะฉะนั้น..เมื่อไม่ได้ผิดอะไรก็ตาม ๆ เขาไปจะดีกว่า


ถาม : การกรวดน้ำจำเป็นต้องใช้น้ำจริง ๆ ไหม ? หรือแค่สวดบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลก็พอ ?
ตอบ : กรวดน้ำในที่นี้หมายถึงการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าครั้งแรกในพุทธศาสนาที่มีเรื่องนี้ คือเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร ญาติท่านมาขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าแนะนำให้ทำบุญแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้

เวลาพราหมณ์จะให้อะไรใคร เขาจะใช้น้ำรดมือคนนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว พระเจ้าพิมพิสารท่านถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะเอาน้ำรดมือ ก็มองไม่เห็นว่ามือผีอยู่ตรงไหน จึงรดมือตัวเอง กลายเป็นรูปแบบของการกรวดน้ำมาตั้งแต่บัดนั้น

จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าถ้าเขานิยมก็ทำตามเขาเถอะ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา เดี๋ยวก็เขามองตาเขียวปั๊ดอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2012 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 24-01-2012, 19:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์อ่านหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงสรีระพระครูอดุลปุญญาภิรม (ครูบาผัด ปุญฺญกาโม)

งัว ควาย จ๊าง ม้า ต๋ายแล้วเหลือหนัง
ดูก ขน เขายังเอาใจ๊ก๋ารได้
จ๋าตี๊สุด ตังปุ๋มและไส้ คนยังกิ๋นลำอิ่มต๊อง

มนุษย์เฮาต๋าย สหายปี้น้อง ไผบ่อ่วงข้องอาลัย
สุดแต่ดูกพัวะ ยังเอาขว้างไกล๋ กลั๋วจักเป็นภัย ผีจักหลอกได้
ความชั่วรีบหนี ความดีรีบใกล้ ต๋ายแล้วจื้อหากตึงยัง


ค่าวของพญาพรหม กวีเอกแห่งล้านนา
อ้างถึงโดย พระครูสุเขตสุทธาลังการ
เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม

"เขาบอกว่าวัวควาย ช้างม้า ตายแล้วเหลือหนัง ขนและกระดูก เขายังเอาไปใช้การได้ หรือว่าที่สุดทั้งพุงและไส้ คนก็ยังกินอร่อยอิ่มท้อง แต่คนเราตายทั้งเพื่อนพี่น้องไม่มีใครห่วงข้องอาลัย แม้แต่กระดูกยังขว้างไปไกล เพราะกลัวจะเป็นภัยให้ผีมาหลอกได้

เป็นคำค่าวของพญาพรหม ซึ่งเป็นกวีเอกของล้านนา แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กระเด็นออกจากราชสำนักเพราะคารมดีเกินไป จีบพวกสาวสรรกำนัลในเยอะไปหน่อย หัวไม่ขาดก็บุญแล้ว เขายังเห็นแก่ฝีมือก็เลยปล่อยเอาไว้ อ่านทีแรกอาตมาก็ว่าทำไมแต่งได้ไพเราะแท้ ที่แท้เป็นของสุดยอดฝีมือล้านนานี่เอง พวกค่าวพวกซอของทางเหนือ สมัยนี้หาคนแต่งฝีมือดี ๆ ยากมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2012 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 25-01-2012, 08:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่าจิตเราบางทีก็บังคับไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ ก็บังคับไม่ได้ อย่าลืมว่าท่านสอนคนหัดใหม่นะ

ถาม : ท่านบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ก็ยังบังคับไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าพระอรหันต์ท่านชำนาญหรือเปล่า ? ถ้าขนาดนั้นแล้วยังไม่ชำนาญอีกจะเป็นไปได้อย่างไรวะ..?!

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่าลืมว่าที่ท่านสอน คือสอนพวกเรา คุณดันตีความไปถึงพระอรหันต์ก็หาเรื่องเดือดร้อนสิ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ยังไม่ได้กินหรอก อาหารอยู่ตรงหน้าแทนที่เราจะกิน ก็มานั่งเขี่ยอยู่ว่ามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเลิกซะ..สันดานสงสัยทุกเรื่อง จะได้มีความเจริญใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่เที่ยวไปถามเอาเท่ว่ากูสามารถตั้งคำถามได้ แต่จริง ๆ ผลที่จะเกิดขึ้นไม่มีสำหรับตัวเองเลย

การถามที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือถามในเรื่องที่ตัวเองติดขัดอยู่ จะได้ไปต่อได้ ไปสงสัยเรื่องรอบ ๆ ตัว สงสัยไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น

ถาม : แล้วจะเลิกนิสัยนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ยาก รู้แล้วก็พยายามละเท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2012 เมื่อ 09:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 25-01-2012, 08:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ค่อย ๆ แยกแยะดูแล้วจะเห็นอย่างชัดเจน ว่าตัวผู้รู้ก็คือตัวผู้รู้ ตัวรับรู้ก็คือตัวรับรู้ บางทีภาษาบาลีเขาจะแยกชัด เป็นจิตกับชวนะ แต่ภาษาไทยบางทีก็สับสนปนเปกัน

สรุปว่าของที่ละเอียดเกินไป อย่าเพิ่งไปใส่ใจ แค่ตัวกูพยายามให้เห็นว่าไม่ใช่กูไว้ก่อน พอตัวกูไม่ใช่กูแล้วคนอื่นย่อมไม่ใช่ของกูเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะเห็นกว้างไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ากำลังพอ จิตก็จะยอมรับตรงนั้นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นจริง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติมีอยู่ระยะหนึ่งที่พึงระวังสุดขีดก็คือ ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น จะเกิดความแตกฉาน ขบคิดอะไรก็เข้าใจไปหมด เห็นความสอดคล้องสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด ไม่ว่าจะหัวข้อธรรมไหนก็เห็นว่าเกี่ยวโยงกันหมด แต่จุดที่สำคัญจริง ๆ ก็คือ สิ่งที่เรารู้มีส่วนในการตัดกิเลสของเราไหม ?

ไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่องแต่เรื่องตัดกิเลสไม่รู้เลย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็มักโดนหลอกให้หลงไปในแนวนั้น แนวที่ว่ารู้ทุกเรื่อง ยิ่งคิดยิ่งสนุก ยิ่งคิดยิ่งแตกฉาน จะสร้างยานอวกาศออกไปต่างดาวยังได้เลย แต่เรื่องตัดกิเลสกลับไม่รู้ เป็นเรื่องที่จะต้องระวังให้จงหนัก ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงระดับนี้ ถึงหลงก็ยังไปไม่ไกล แต่ถ้าโผล่ไปถึงระดับนี้แล้วหลงไกลแน่ เพราะจะถูกพาเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ

คิดเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด เป็นส่วนของจินตามยปัญญาคือขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวางได้


ถาม : อย่างนี้ต้องมีสติมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าไม่มีสติก็ไปไม่รอดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ขาดสติเมื่อไรก็ถูกกิเลสพาไปไกลลิบเลย แล้วหลายคนก็อยู่ในอาการเฟื่องไปเลย ก็คือไปพูดเรื่องที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่รู้ แบบสมัยก่อนคุณกมลที่มาที่นี่ นั่นถึงขนาดจะไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร อาตมาก็เลยช่วยบอกเขาว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่บนดาวอังคารได้จริง ๆ สนุกกันใหญ่ ไหน ๆ เขาจะไปแล้ว ก็ช่วยบอกให้เขาไปถูกทางหน่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2012 เมื่อ 09:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 25-01-2012, 09:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(มีผู้ถามเรื่องการแยกเงินลงบัญชี)

ถาม : ทำอย่างนี้ก็โกงง่ายมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ง่ายมากเลย ถึงต้องซื่อสัตย์อย่างมาก เพราะว่าต่อให้คุณปลอมขนาดไหนก็ตาม นายบัญชีข้างล่างเขาตรวจเจอทุกที ผู้ตรวจบัญชีที่อื่นตรวจไม่รู้เรื่องหรอก แต่นายบัญชีข้างล่าง คือ ท่านสิริคุตมหาอำมาตย์นายบัญชีท่านนี้แม่นจริง ๆ

ตอนช่วงนั้นเกิดอุบัติเหตุคอหัก อาตมาลงไป เห็นบัญชีเล่มหนาปึ้กเลย ท่านเปิดดูบอกว่า “อีก ๖ วันหาย” พอท่านปิดอาตมาก็รีบเผ่นแน่บ ขืนอยู่เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจเอาตัวไว้เลย อะไรจะเก่งปานนั้น แค่เห็นหน้าก็เปิดบัญชีได้ตรง ไม่มีพลาดเลย

ถาม : แล้วท่านที่จะมารับหน้าที่ต่อไปเป็นใครครับ ?
ตอบ : ยังไม่ได้ถามท่านเลย กลัวท่านจะหลอกให้อาตมาทำเสียเอง

ถาม : ท่านเหนื่อยไหมครับ ?
ตอบ : ในสภาพความเป็นทิพย์ไม่เหนื่อย แต่ในขณะที่คนอื่นเขาคว้ามรรคคว้าผลไปหมดแล้ว ตัวเองต้องมารับภาระอยู่ คงเบื่อสุด ๆ เหมือนกัน บุคคลที่มีปัญญาจะเห็นว่าถ้ายังมีภาระอยู่คือยังมีทุกข์อยู่ ฉะนั้น..ต่อให้อยู่ในความเป็นทิพย์ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังเป็นทุกข์อยู่

ถาม : เทวดาที่ประมาท พออยู่ข้างบนแล้วไม่สร้างบุญต่อมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป พวกที่ขึ้นไปใหม่ ๆ ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว เสวยสุขไม่ลืมหูลืมตา พอหมดอายุก็มักจะลงล่าง กว่าจะรู้ก็บางทีแบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร วินาทีสุดท้ายจะจุติไปข้างล่างอยู่แล้ว แต่ท่านทำบุญมาดี ในอดีตท่านเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ ชาตินี้กุศลมาสนอง ถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าเสด็จเทศน์ให้ฟังก็เรียบร้อย กี่ขุมก็ต้องผ่านหมด

ถาม : ความจริงถ้าเราทำบารมีต่อไปมาก ๆ บารมีเราเยอะ ก็ไม่มีโอกาสต้องลงนรกเลยถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก มีโอกาสแน่ เกิดมากบาปก็เยอะด้วย

ถาม : แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำบาปนี่ครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็ไม่ค่อยได้ทำ แต่ที่ป่วยจนงอมพระรามอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ? ปล่อยปลาปล่อยวัวมา ๒๖ ปีก็เพราะอย่างนี้

ถาม : หลายชาติมารวมกันหรือครับ ?
ตอบ : อย่าใช้คำว่าหลายชาติเลย นับชาติไม่ถ้วน หลายวาระที่ดูแล้วตัวเองยังเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่เลย แต่กรรมนั้นเพิ่งจะตามมาทัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2012 เมื่อ 10:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 25-01-2012, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,516 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่อาตมาอยู่ชายแดน มีหมาสงครามอยู่ตัวหนึ่งชื่อเอ็กซ์ แต่พอเขาเรียก "ไอ้เอ็กซ์" ทีไร อาตมาก็ขานตอบ "ครับ" ทุกที เพราะชื่อมีเสียงใกล้เคียงกัน แต่ขอโทษ..หมาตัวนี้ยศพันตรีนะครับ เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพก่อน ทำความเคารพเสร็จแล้วค่อยเตะ..!

สาเหตุที่เอ็กซ์ติดพันตรีเพราะโดนระเบิดตาย เจ้าเอ็กซ์พยายามเห่าและรั้งเจ้านายไม่ให้เดินเข้าไปหาระเบิด แต่เจ้านายก็ยังโง่เดินเข้าไปหาระเบิดอีก เจ้าเอ็กซ์ก็เลยกระโดดเหยียบกับระเบิดเอง"

ถาม : อย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ฉลาดปานนั้นน่าจะไปเกิดแล้ว สัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้คนมักใกล้จะหมดกรรมของการเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ถ้าใจเขาเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย ฉะนั้น..โอกาสที่เขาลงต่ำมีน้อยมาก

สัตว์เดียรัจฉานไม่ใช่ไม่มีโอกาสทำชั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ทำโดยไม่ได้เจตนาหรือทำโดยไม่รู้ อย่างกากะเปรต พอเขาจะเอาอาหารไปถวายพระ นกกาก็ขอกินก่อนคำหนึ่ง จึงกลายไปเป็นเปรต ส่วนท่านที่ทำดีแล้วไปสบายมีเยอะแยะไปหมด เช่น เอราวัณเทพบุตร มักกะโฎเทพบุตร แล้วยังมีมัณฑุกะเทพบุตร ท่านหลังนี้เป็นกบ ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้วเพลินเพราะเสียงของพระองค์ท่านไพเราะ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกแต่ชอบ กำลังฟังเพลิน ๆ อยู่ พอดีนายพรานล่าสัตว์ผ่านมาเห็นพระพุทธเจ้า จะเข้าไปกราบก็คิดว่าต่อหน้าสมณะเราไม่ควรจะถืออาวุธเข้าไป ก็เลยเอาแหลนปักพื้นไว้ ไปโดนหลังกบตายคาที่พอดี

ถาม : อย่างนี้ถือว่ามีเวรกันไหมครับ?
ตอบ : ในอดีตคงจะมีเวรต่อกันแน่นอน ไม่ได้เจตนายังต้องมาตาย แบบเดียวกับเราขับรถไม่เจตนาจะชนหมา แต่หมาบางตัวต้องตายให้ได้ นั่นแหละประเภทเคยมีเวรกันมา ตัวอย่างชัดสุด ก็สมัยที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ อาตมานั่งรถ ๖ ล้อของป่าไม้ ผู้ใหญ่พงศ์ตอนนั้นยังเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ ขับรถมาแล้วหมาเดินข้ามถนนมา เหลืออีกศอกเดียวก็จะเดินพ้นแล้ว

พอหมาเห็นรถมาดันเลี้ยวกลับเฉยเลย พอเลี้ยวกลับผู้ใหญ่พงศ์ก็หักซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับอีกที ผู้ใหญ่พงศ์ก็หักขวา หมาก็เลี้ยวขวาตามไปอีกที ผู้ใหญ่พงศ์หักพวงมาลัยไม่ไหวแล้ว โครมเดียวหน้าเหลือ ๒ นิ้ว อาตมาบอกผู้ใหญ่พงศ์ว่าปล่อยมันเถอะ ลักษณะอย่างนี้ต้องถึงที่ตายจริง ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนวิ่งวนอยู่ได้ตั้ง ๓ รอบอย่างนั้น ไม่ตายก็เอาจนตายได้ อันนี้เป็นกรรมปาณาติบาตแน่นอน แต่วาระที่สร้างไว้มาส่งผลพอดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2012 เมื่อ 10:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว