กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #161  
เก่า 02-07-2011, 04:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คนโบราณแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการขุดคลองซอย ขุดคลองเล็กคลองน้อยเยอะแยะไปหมด ถึงเวลาก็ระบายน้ำออกทัน ยุคหลัง ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ มีการถมคลองหลายสายเพื่อสร้างถนนแทน ทำให้ทางระบายน้ำหายไป ดังนั้น..พอถึงเวลาน้ำท่วมจึงระบายไม่ทัน

แม้กระทั่งโครงการแก้มลิงที่ในหลวงทรงมีพระราชดำริไว้ ก็ไม่ได้ใช้งานเต็มกำลัง โดยเฉพาะนักการเมืองของเรา ชอบทำงานแบบไฟลนก้น น้ำท่วมทีก็มาลอกท่อที ตอนหน้าแล้งทำไมไม่ลอกไว้ ? อาตมาเห็นผู้ว่ากรุงเทพฯ ลุยน้ำไปดูเขาลอกท่อทีไร ก็ไม่ได้ชื่นชมว่าท่านไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน แต่รู้สึกทุเรศมากกว่า เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้จักทำล่วงหน้าไว้ เรื่องนี้ถ้าไปโดนท่านผู้ว่าคนไหนก็ต้องขออภัยด้วย เพราะเป็นอย่างนี้แทบทุกคนเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-03-2012 เมื่อ 17:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #162  
เก่า 05-07-2011, 20:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฝันเห็นงานศพตัวเองบ่อย ๆ เป็นนิมิตหมายอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จับเป็นมรณานุสติไปเลย จะได้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ปกติถ้าเห็นงานศพคนอื่นเราจะต้องนึกโยงถึงงานศพของตัวเอง ก็คือนึกถึงความตายของเรา แต่ถ้าเห็นงานศพของตัวเองเลยนี่ ไม่ต้องไปเสียเวลานึกโยง สบายกว่ากันเยอะเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #163  
เก่า 05-07-2011, 20:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การขอขมาพระรัตนตรัย การใช้ดอกไม้ธูปเทียนจำเป็นมากขนาดไหนครับ ? ถ้าไม่ใช้ได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช้ดอกไม้ธูปเทียนก็เหมือนกับการเดินมือเปล่าเข้าไปหาผู้ใหญ่ ถามว่าจำเป็นไหม ? ก็น่าจะจำเป็นอยู่

การที่เราแสดงออกถึงความเคารพสักการะต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราควรทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการแสดงออกว่า เราสำนึกในความผิดนั้นแล้วจริง ๆ ไม่ใช่มักง่าย เห็นท่านเป็นเหมือนกับเพื่อนของเรา จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นซ้ำหนักเข้าไปอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #164  
เก่า 05-07-2011, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์บอกว่า "การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเอง ต้องซื่อตรงมาก ๆ ถ้าเผลอเมื่อไรตัวเลขจะเกินหรือขาดทันที สามารถโกงได้อย่างสบาย

แต่ถ้าเป็นพระเขาให้แค่ ๙๙ สตางค์ ก็คือ ถ้าเอาของเขาถึงหนึ่งบาทเมื่อไรก็ขาดจากความเป็นพระไปเลย ถือว่าไม่คุ้มกับการเสี่ยง แต่ก็มีพระเป็นจำนวนมากที่ไม่คำนึงถึงเรื่องศีล คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจตนเอง อาตมาเคยเตือนบรรดานาคที่กำลังจะบวชเป็นพระว่า ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นอยู่บ้านเสียดีกว่า อย่าหานรกใส่ตัว เพราะไม่คุ้มกัน

เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อทิมไหม ? หลวงพ่อทิมท่านเป็นพระที่ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวม ท่านไม่มีเงินส่วนตัวเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว พอเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านเอาเงินจากกองกลาง คือเงินสงฆ์จำนวน ๖๐ บาทไปซื้อยา บังเอิญว่าท่านตายก่อน ยังไม่ได้คืนเงิน ก็เท่ากับเป็นหนี้สงฆ์

ปกติพวกที่เป็นหนี้สงฆ์จะลงอเวจีมหานรกอย่างเดียว แต่คราวนี้หลวงพ่อทิมท่านทำความดีมหาศาล พระยายมก็เลยให้เทวทูตมาตามหลวงพ่อวัดท่าซุง กับพระอีก ๒ รูปไปช่วย หมายความว่าพระอีก ๒ รูปที่ไปด้วยก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ระดับที่ท่านพระยายมต้องเกรงใจ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #165  
เก่า 05-07-2011, 20:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอไปถึงก็เห็นหลวงพ่อทิมท่านโดนโซ่ล่ามอยู่ กำลังจะเอาตัวไปลงอเวจี พอสอบถามก็ทราบว่า ท่านเอาเงิน ๖๐ บาทไปซื้อยา ไม่ได้มีเจตนาโกง แต่เอาเงินไปใช้ผิดประเภท ปรับโทษเท่ากับการย้ายพระเจดีย์อันเป็นที่เคารพของคนอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือไปรื้อสิ่งสักการบูชาของคนอื่นเขา โทษก็เลยต้องไปลงอเวจีมหานรก

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ถ้าเงินแค่ ๖๐ บาท ผมใช้หนี้สงฆ์แทนให้เอง ขอให้หลวงพ่อทิมโมทนา แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อทิมท่านไม่สามารถโมทนาได้ ท่านพระยายมบอกว่า ถ้าลงมาถึงนี่แล้วไม่ใช่แค่ ๖๐ บาท

หลวงพ่อถามว่าต้องแก้ไขอย่างไร พระยายมท่านบอกว่า ต้องสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ถึงจะทดแทนกันได้ หลวงพ่อก็ตกลงว่าจะสร้างให้ พระอีก ๒ องค์ก็ตกลงว่าจะสร้างให้ สรุปเอาเงินสงฆ์ไป ๖๐ บาท ต้องสร้างพระหน้าตัก ๓๐ นิ้วคืนไป ๓ องค์ หลวงพ่อทิมถึงโมทนาได้ แล้วก็หลุดจากพันธนาการไปสู่สุคติตามที่ท่านทำมา เพราะฉะนั้น..คนที่ไม่รู้ว่าโทษหนักแค่ไหน ก็มักจะไม่กลัว และทำกันเป็นเรื่องปกติ

นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน มีท่านเจ้าคุณท่านหนึ่งโดนฟ้อง เพราะว่าโยมให้เงินไปสร้างโบสถ์ แต่ท่านเอาเงินไปซื้อรถเบนซ์ นั่นไม่ใช่คันละ ๖๐ บาทนะ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #166  
เก่า 05-07-2011, 21:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จริง ๆ แล้วเป็นฆราวาสง่ายกว่ามาก สมมติว่าเราจะเดินบนเส้นทางไปสู่พระนิพพาน ของฆราวาสมีหลุมอยู่ ๕ หลุม หลบซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว แต่ของพระมีตั้ง ๒๐๐ กว่าหลุม ยากกว่ากันไม่รู้กี่เท่า ถ้าไม่ใช่ประเภทกำลังใจเด็ดเดี่ยว ยอมเสี่ยงนรกเพื่อบวชได้ ก็ใช้วิธีเป็นเจ้าภาพบวชคนอื่นดีกว่า ปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย

ส่วนใหญ่แรก ๆ บวชเข้ามาก็ตั้งใจทำดีทุกคน แต่พออยู่นานไป เริ่มมีชื่อเสียงเกียรติคุณขึ้นมา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไหลมาเทมา ก็จะเริ่มเสียตรงนี้แหละ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่พอ ก็มักจะเสียผู้เสียคน

ดังนั้น..ในเรื่องของการบวชพระจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูง ถึงเวลา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามา ต้องมีสติสัมปชัญญะว่าเราเป็นใคร ? กำลังทำอะไร ? ถ้าไม่มีสติเดี๋ยวก็ไหลตามกระแสไป แรก ๆ ก็ทำทุกอย่างเพื่อความเจริญของพระศาสนา เมื่อโดนกระแสโลกชักนำก็จะเผลอ กลายเป็นว่าทำเพื่อความสุขความสบายของตัวเอง

หลายท่านพอไปถึงระดับหนึ่งก็เริ่มทำกุฏิที่นอนดี ๆ ของตัวเอง ซื้อรถดี ๆ ของตัวเอง กลายเป็นว่าเจตนาเดิมที่ตั้งใจทำความดีก็แปรไป แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ญาติโยมตั้งใจสร้างถวายหรือว่าซื้อรถดี ๆ ถวายท่าน นั่นคนละอย่างกัน แต่ถ้าทำเพื่อตัวเอง อย่างนั้นน่ากลัวมาก ถึงเวลาโดนลงโทษนี่สาหัสแน่ ๆ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #167  
เก่า 05-07-2011, 21:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาจะไปทำบุญ เจ็บขาเหมือนโดนอะไรมาแทง ทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เวลาเราจะไปสร้างบุญกุศล บางทีมารจะมาขวาง แต่พวกนี้เขากลัวคนบ้ากับคนรู้ทัน คนที่รู้ทันจะไม่กังวล มารก็จะเลิกเพราะรู้ว่าขวางไม่ได้ อีกประเภทหนึ่งคือคนบ้า ไม่กลัวเสียอย่าง เขาขวางไม่ได้ก็เลิกเหมือนกัน

บางคนก็ไปโกรธมารเขา ไม่ต้องโกรธหรอก เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป เรามีหน้าที่ก้าวข้ามไปให้ได้ เราก็ก้าวข้ามไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เขาเป็นผู้ทดสอบว่ากำลังใจของเราเข้มแข็งพอหรือเปล่า

ถ้าเขาขวางได้ แสดงว่าบารมี(กำลังใจ)ของเรายังไม่เข้มข้นพอ เราก็ต้องเร่งกำลังใจให้สูงขึ้น จนกว่าเขาจะขวางไม่ได้ ดังนั้น..จริง ๆ แล้ว มารหรือผู้ขวาง หรือผู้ฆ่า เขาไม่ใช่ศัตรูเรา แต่เป็นครูที่คอยทดสอบเราว่ากำลังใจเราไปถึงระดับไหนแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-09-2014 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #168  
เก่า 05-07-2011, 21:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระภิกษุที่โดนอาบัติหนักอย่างสังฆาทิเสส ถ้าไม่ได้แก้อาบัติก่อนแล้วสึกไป จะทำมาหากินก็ไม่เจริญหรอก เพราะว่ากรรมหนักคอยถ่วงอยู่ ทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก ส่วนบรรดาท่านที่โดนอาบัติปาราชิกไม่ต้องพูดถึง..ไม่เห็นเจริญสักราย

ยิ่งมีหลายท่านที่เอาเงินสงฆ์ไปใช้ภายหลังที่สึกไปแล้ว จะตกต่ำในระยะเวลาที่เร็วมาก เคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ? ท่านบอกว่า ถ้าในชีวิตฆราวาสก็จุดไฟเผาบ้านตัวเองดีกว่า จุดไฟเผาบ้านตัวเองยังสร้างใหม่ได้ แต่เอาเงินสงฆ์ไปใช้นี่ลงอเวจีอยู่กันเป็นกัป จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับที่คนรู้ คนที่ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจ

ยังดีที่หลวงพ่อท่านสอบถาม พระยายมราชท่านจึงบอกว่าให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ได้ เคยเอาไปเท่าใดก็ตาม ถ้าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก ๔ ศอกคืนไป ก็ถือว่าหมดกัน ถ้าหากว่าทำหลายคนให้สร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกแล้วปิดทอง จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพกี่คนก็ได้ มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้เหมือนกันหมด

จะเอาไปมากน้อยเท่าไร กี่ล้านกี่แสนก็ไม่ว่า แต่ให้สร้างพระหน้าตักอย่างน้อย ๔ ศอกปิดทอง คืนไป ๑ องค์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2011 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #169  
เก่า 06-07-2011, 20:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เป็นพระโสดาบัน นอกจากศีลแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ ?
ตอบ : รักนิพพานยิ่งกว่าชีวิต อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน

ถาม : ท่านที่สูงขึ้นไปอีก จะมีอะไรเป็นตัวบอก ?
ตอบ : ราคะและโทสะบรรเทาลง อย่างมีคนทำให้ไม่พอใจวันนี้ อีกสามเดือนค่อยไปนึกโกรธ หรืออยู่กับเมียก็เหมือนอยู่กับตุ๊กตา กว่าจะจุดไฟติดแต่ละที เมียหมดอารมณ์ไปนานแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #170  
เก่า 06-07-2011, 20:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้ในขั้นที่สูงกว่า ?
ตอบ : สมาธิต้องมาก่อน ถ้าจะสูงกว่าพระโสดาบันต้องได้ฌาน ๔ ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ จะเอาราคะกับโทสะไม่อยู่ กำลังไม่พอที่จะตัด สามารถกดได้ชั่วคราวแต่ตัดไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าเอาเกินพระโสดาบันขึ้นไปต้องซ้อมเรื่องสมาธิให้ทรงฌาน ๔ ให้ได้เร็วที่สุด ทำให้คล่อง ทรงเวลาไหนก็ได้ ถ้ารู้สึกว่าราคะจะมาก็เข้าฌานไปก่อน ถ้ารู้สึกว่าโทสะจะมาก็เข้าฌานหนีไปก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยเอากำลังตรงนี้ไปพิจารณาเพื่อตัด

หลายต่อหลายคนแม้ทรงฌาน ทรงสมาธิได้แล้ว แต่จัดการไม่เป็น ในเมื่อบริหารจัดการไม่เป็นก็กลายเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเอง เพราะเวลากำลังใจทรงตัวนิ่งแล้ว กลับไปปล่อยให้ฟุ้ง เอากำลังสมาธิที่เราได้นั่นแหละไปฟุ้ง ก็เลยฟุ้งอย่างเป็นทางการ ฟุ้งได้เมามันมาก เอาไม่อยู่ด้วย เพราะแรงดี

เขาให้เอากำลังสมาธิไปพิจารณาตัดกิเลส ในเมื่อไม่ใช้พิจารณา จิตก็ใช้กำลังนั้นเอง ก็คือเอาไปฟุ้งแทน ดังนั้น..ต้องระวังตรงจุดนี้ให้ดี ๆ หลายคนสงสัยว่ายิ่งปฏิบัติแล้วกิเลสทำไมยิ่งมาก ความจริงไม่ได้มากขึ้นหรอก แต่ว่ากิเลสแรงดีขึ้นทำให้เราเอาไม่อยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #171  
เก่า 06-07-2011, 21:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วิธีที่จะจัดการให้ถูก ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ พอผิดมากเข้าจนเบื่อ เดี๋ยวก็ถูกเข้าจนได้ แต่ส่วนมากแล้วถ้าไม่เป็นคนช่างคิด หรือว่าปัญญาไม่พอก็จะเสร็จกิเลสทุกที

ตัวคิดอยู่ในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ รู้จักแยกแยะในธรรม สิ่งไหนที่ทำแล้วการปฏิบัติจะเจริญขึ้น สิ่งไหนที่ทำแล้วการปฏิบัติจะเสื่อมลง ก็ให้เลือกในส่วนที่ดี เว้นในส่วนที่ไม่ดี ฟังดูง่ายนะ แต่ว่าเจอเข้าจริง ๆ ร้องจ๊ากทุกราย..!


ถาม : ต้องปฏิบัติให้ทรงตัวก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาตัดสังโยชน์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : พิจารณาไปได้เรื่อย ๆ เพราะถ้าพิจารณาจนจิตทรงตัวจริง ๆ จะเป็นฌานได้เหมือนกัน เป็นฌานในวิปัสสนาญาณ ซึ่งหาได้ยาก

ในชีวิตนี้อาตมาเจออยู่แค่ ๒-๓ คนเองที่ทรงฌานด้วยการพิจารณาวิปัสสนาญาณ นอกจากนั้นทรงฌานจากลมหายใจทั้งนั้น เพราะเวลาจิตพิจารณาไปเรื่อย ๆ จิตจะดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ จนเป็นสมาธิลึกทรงเป็นฌานไปเอง

เพราะฉะนั้น..พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก บางทีเรื่องฌานสมาบัติท่านไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ? ก็เพราะท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆ สมาธิก็ดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ พอถึงฌาน ๔ ก็จบเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #172  
เก่า 06-07-2011, 21:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การทรงอารมณ์พระนิพพาน หรือขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการตัดกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ ถ้าเราเห็นได้จะเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าไปได้ถึงจะเป็นฌาน ๔ ถ้าไม่ใช่กำลังของฌาน ๔ ก็จะไปไม่ได้ ดังนั้น..บุคคลที่ทรงมโนมยิทธิ ถ้าเอากำลังใจเกาะพระนิพพานอยู่ได้ ก็จะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติไปในตัว

อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าถึงพระอรหันต์ ๗ องค์ทางภาคเหนือ ที่บอกว่ามีอยู่ ๔ องค์เคยฝึกมโนมยิทธิ อีก ๒ องค์ได้รับการบอกต่อจากเพื่อน อีก ๑ องค์ใช้วิธีเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ "ขี้ตรงร่อง"

วันหนึ่ง ๆ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านนั่งเอาใจเกาะพระบนนิพพานอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย กลายเป็นพระอรหันต์ตอนไหนก็ไม่รู้ พอเกาะไปนาน ๆ แล้วกิเลสกินใจไม่ได้ ก็บริสุทธิ์เอง ลักษณะนี้ถ้าเป็นบาลีเขาเรียกว่า เจโตวิมุติ หลุดพ้นเพราะกำลังใจข่มกิเลสไว้ จนกิเลสเกิดไม่ได้ หมดสภาพไปเอง

ถ้าเป็นการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เรียกว่าปัญญาวิมุติ ใช้ปัญญาพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับและปล่อยวางได้ ดังนั้น..การใช้มโนมยิทธิจริง ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหมายเอาสูงมาก หมายเอาให้พวกเราหลุดพ้นเข้านิพพานไปเลย

ถาม : นานไหมครับกว่าจะบรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ถ้าเอาตามมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ดังนั้น..ถ้าใครคลำมา ๗ ปีแล้วยังไม่เห็นหน้าเห็นหลัง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #173  
เก่า 06-07-2011, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อุปจารสมาธิที่บอกว่าเห็นพระนิพพานได้ หมายความว่า ไม่สามารถพูดคุยได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เหมือนกับดูหนัง

ถาม : สามารถพูดคุยได้ สนทนาได้ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาไม่ได้นั่งสนทนาอยู่กับที่หรอก เขาไปเลย ไปเลยนี่ต้องสนทนาได้แน่นอน

ถาม : มีอะไรที่บอกว่าที่พบท่าน คือ องค์จริง ๆ ?
ตอบ : แหม..น่าพาดก้านคอนะ..! ปฏิบัติมาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ ให้กลับไปหาเคล็ดลับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ คือให้กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง โลกอื่นเขาไม่โกหกกัน ถ้าขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ท่านก็ปรากฏตัวจริงให้เห็น ไม่อย่างนั้นอาจจะมีตัวปลอมมาได้

ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ไว้หมดแล้ว ทั้งกันทั้งแก้ เพียงแต่ว่าเราทำไม่ช่ำชองเอง ก็เลยหลงลืม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #174  
เก่า 06-07-2011, 22:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมดูว่าเหตุการณ์จะเป็นตามที่ท่านตรัสไว้หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องพิสูจน์ เรื่องแรกถูก ก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่สองถูก ก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจเสมอ เรารับไว้ด้วยความเคารพ ส่วนจะเกิดขึ้นจริงตามนั้นหรือไม่ เราไม่ใส่ใจ

ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ขอบพระคุณที่ท่านอุตส่าห์เมตตาสงเคราะห์ให้ ถ้าไม่เกิดขึ้นจริง ก็เพราะเรารู้ผิดเอง ถ้าอย่างนั้นกำลังใจจะไม่เสีย แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้อาตมาก็กำลังใจเสียมาไม่รู้กี่พันครั้งแล้ว หกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่เป็นคนค่อนข้างจะบ้าเลือด ตื๊อไม่เลิก นิสัยนี้เป็นทั้งในชีวิตทั่วไปและชีวิตของนักปฏิบัติด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-07-2011 เมื่อ 00:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #175  
เก่า 07-07-2011, 07:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยวัยรุ่น อาตมาซ้อมมวยกับพระครูแสง เขาเล่นเพาะกายกินนมทีละ ๒ ลิตร กินไข่ครั้งละ ๑๒ ฟอง ตัวเขาใหญ่กว่าอาตมาเท่าครึ่งได้ เวลาซ้อมมวยกันจริง ๆ อาตมาไม่ถอย ยิ่งเจ็บยิ่งตื๊อสู้ ไม่เลิก พอตื๊อไปตื้อมา เขาก็ไม่เอาแล้วเพราะเจ็บ ความจริงถ้าเขาซัดมาอีกที อาตมาก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน อึดมากกว่าเขาแค่ทีเดียว..!

เพราะฉะนั้น..นิสัยอย่างนี้บอกถึงการปฏิบัติเหมือนกัน ตอนเป็นฆราวาสเจ็บเท่าไรก็สู้ เวลาปฏิบัติจะหกล้มหกลุกขนาดไหนไม่เคยหนี ตั้งใจทำให้ได้พระโสดาบัน ตั้งใจเอาปฐมฌานให้ได้ ในเมื่อตั้งใจจะทำปฐมฌานให้ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเท สามปีเต็ม ๆ กว่าจะทรงปฐมฌานได้ ถ้าเป็นพวกเราตั้งใจทำอยู่ ๓ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลย จะทำต่อกันไหม ?

อาตมาทำไปจนกระทั่งเกิดเบื่อเต็มที ตอนนั้นจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา แค่นั้นแหละได้เลย ก่อนหน้านั้นไปตามจี้ ตอนนี้วิตกนะ ตอนนี้วิจารนะ ตอนนี้ปีตินะ เดี๋ยวก็จะถึงสุข ไปตามดูอย่างนั้นกลายเป็นฟุ้งซ่าน จิตไม่รวมตัวเป็นเอกัคตารมณ์เสียที เมื่อเป็นอย่างนั้นปีแล้วปีเล่าก็ไม่ได้อะไร

คราวนี้ขั้นตอนต้นทำถูก วิตก..เรานึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร..ภาวนาอย่างไร ? ลมหายใจแรงหรือเบา ? ยาวหรือสั้น ? ก็รู้อยู่ ปีติ..อาการที่เกิดขึ้นก็ใช่ แล้วทำไมไม่สุข ? ไม่เอกัคตารมณ์ ? เพราะเราไปจ้องดู อยากเห็นขั้นตอนชัด ๆ กลายเป็นฟุ้งซ่าน อารมณ์ไม่รวมตัว ก็เลยไม่ทรงตัวสักที พอวันนั้นเบื่อขึ้นมา ตั้งใจว่าอย่างไรก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา แล้วก็ได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #176  
เก่า 07-07-2011, 07:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมานั่งรถจากกรุงเทพฯ วิ่งยาวไปถึงอุทัยธานี โผล่ขึ้นไปได้เวลาหลวงพ่อรับสังฆทานพอดี พอหลวงพ่อท่านเห็นหน้า "ไอ้หนู..มีอะไรจะคุยบ้างหว่า ?" เสียงดังมาตั้งแต่ปากประตู อาตมากราบเรียนว่า "หนังสือที่หลวงพ่อเขียน ผิดนี่ครับ" บังอาจมากเลยตอนนั้น (หัวเราะ)

หลวงพ่อท่านว่า "เดี๋ยว ๆ ไอ้หนู ใจเย็น ๆ ไหนลองว่ามาซิ ผิดตรงไหน ?" ก็กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า "หลวงพ่อเขียนว่าปฐมฌานประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคตารมณ์เป็นขั้น ๆ ไป แต่ที่ผมทำได้ไม่ใช่นี่ครับ เพราะเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ๕ อย่างเลย ผมก็มัวแต่ไปรอทีละขั้น ถึงไม่ได้สักที"

หลวงพ่อท่านหัวเราะในความโง่ของอาตมา ท่านบอกว่า "ไอ้หนู..เคยได้ยินที่โบราณว่า ลัดนิ้วมือเดียวไหม ? ลัดนิ้วก็คือดีดนิ้ว (ท่านดีดให้ดู) ถ้าคนที่จิตไม่ละเอียด จะเห็นตอนที่นิ้วงอกับตอนที่นิ้วตั้ง แต่คนที่จิตละเอียดจะรู้ว่าค่อย ๆ ขึ้นไปอย่างนี้ (ท่านค่อย ๆ ยกนิ้วขึ้น) ที่หลวงพ่อพูดและเขียนไว้ในตำราเป็นอย่างนี้ ส่วนที่เอ็งเจอเป็นอย่างนี้ (ท่านดีดนิ้ว)" อาตมาก็หงายท้อง กลับไปปฏิบัติต่อได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #177  
เก่า 07-07-2011, 07:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือมุตโตทัย หลวงพ่อวิริยังค์ท่านเป็นคนเขียน ท่านรวบรวมสิ่งที่หลวงปู่มั่นสอนแล้วเรียบเรียงขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มนี้ เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกว่ามุตโตทัยเป็นของหลวงปู่มั่นนะใช่ แต่ว่าหลวงพ่อวิริยังค์เป็นคนรวบรวมทำให้เป็นเล่มขึ้นมา

จริง ๆ แล้ว ถ้าพวกเราปฏิบัติกันจริงจังแบบสายหลวงปู่มั่นก็คงบรรลุกันหมดแล้ว เพราะว่าเรามีโอกาสฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา สมัยของหลวงปู่มั่น ถ้าไม่ใช่เป็นการสอบถามเฉพาะตัว ท่านก็จะเทศน์สอนเฉพาะวันพระ หรือเวลาที่มีลูกศิษย์เดินทางมาจากที่อื่น มากราบ มาสอบถามแนวทางปฏิบัติ แต่ก็ไม่ใช่เป็นสาธารณะอย่างนี้ บางทีก็มากัน ๒-๓ รูป อย่างเก่งก็ ๕ รูป ได้ฟังกันแค่นั้น

สมัยหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ยังเป็นสามเณร มีหน้าที่ต้มน้ำถวายพระผู้ใหญ่ พอท่านเอาฟืนใส่เตา ใส่น้ำในหม้อดินเสร็จเรียบร้อย สามเณรวิริยังค์ก็ย่องไปอยู่ใต้ถุน แอบฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านกล่าวถึงธรรมอะไร

เวลาฟังต้องตั้งใจฟัง เพราะว่าพระปฏิบัติท่านจะพูดเบา แบบสมัยก่อนที่หลวงปู่แหวนพูด อาตมาต้องเงี่ยหูฟังเลย ถ้าไม่ตั้งใจก็ไม่ได้ยินว่าท่านพูดว่าอะไร ในเมื่อสามเณรตั้งใจเงี่ยหูฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านพูดอะไร ผลปรากฏว่าฟังเพลิน น้ำในหม้อแห้ง พอหม้อดินที่ตั้งอยู่บนเตาไฟไม่มีน้ำ หม้อดินก็แตก สามเณรวิริยังค์ก็ขวัญหนีดีฝ่อ กลัวโดนลงโทษ ปรากฏว่าหลวงปู่มั่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #178  
เก่า 07-07-2011, 08:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ โยมแม่พาไปวัดธรรมมงคล ถ้าจำชื่อวัดไม่ผิด ตอนนั้นวัดชื่อวัดเถาบุญญานุสรณ์ รอบข้างยังเป็นท้องนาอยู่ โยมแม่ไปเป็นกรรมการช่วยสร้างพระเจดีย์ คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบพระเจดีย์ ช่วยกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นมาจากพื้นนา กลายเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ สูงตั้ง ๙๑ เมตร

ที่จำแม่นก็เพราะว่าโยมแม่ต้องไปบวชชีที่นั่นปีละ ๑๐ วัน ตอนแรกอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านเห็นว่าเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านจึงเรียกใช้ พอคุ้นชินกับพระสายวัดป่า อาตมาก็ตั้งใจว่าจะบวชกับวัดสายนี้ ไป ๆ มา ๆ หลวงปู่ฝั้นที่เคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ท่านมรณภาพวันที่ ๔ มกราคม ปี ๒๕๒๐

ก่อนหน้านั้นวันที่ ๑๒ สิงหาคม ปี ๒๕๑๘ โยมพ่อเสียชีวิต พี่ชายเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่เพิ่งออกใหม่ของหลวงพ่อฤๅษีไปให้ พี่เขาบอกว่า "อ่านดู ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจ" ความจริงพ่อตายอาตมาดีใจจะตาย เพราะว่าตอนพ่ออยู่ อาตมาอดนอนไม่เป็นผู้เป็นคนเลย ต้องคอยดูแลท่านทั้งคืน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #179  
เก่า 07-07-2011, 08:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอปฏิบัติไปตามตำราก็เกิดความทึ่งมาก เพราะว่าทุกขั้นตอนในการปฏิบัติเป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านเขียนไว้ทั้งหมด คิดว่าหลวงพ่อองค์นี้เก่งจริง ใจคอก็โน้มเอียงมาทางนี้

คราวนี้หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ ความผูกพันยึดโยงอยู่กับทางสายอีสานก็เลยเหมือนกับขาดลง เพราะว่าท่านสายนั้น เวลาขอให้ท่านสอนกรรมฐาน ท่านบอกว่าไปทำเอา ไปภาวนาเอา แต่ท่านไม่ได้บอกว่าทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร เราต้องคลำเองทั้งหมด ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า เวลาไปกราบเรียนถวายท่านถึงจะบอกต่อให้

พอมาเจอหลวงพ่อ ท่านบอกทุกขั้นตอนละเอียดยิบเลย เหมือนกับอาหารที่ทำเสร็จวางอยู่ตรงหน้า รอให้ตักใส่ปากอย่างเดียว แต่สายหลวงปู่มั่นนั้น เป็นประเภทให้ข้าวไปลิตรหนึ่ง ต้องหาหม้อ หาน้ำไปหุงเอาเอง ก็เลยโน้มเอียงมาทางด้านหลวงพ่อวัดท่าซุง

ประจวบกับในระยะนั้น หลวงพ่อท่านนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่ออีก ๑๐ กว่ารูปมาให้ลูก ๆ มาทำบุญ อาตมาก็ได้รู้เห็นอะไรกว้างไกลขึ้น อย่างหลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสน ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นเหมือนกัน อาตมาก็เพิ่งมาเข้าใจว่า ที่แท้หลักการปฏิบัติสำคัญอยู่ที่คน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกายหรือขึ้นอยู่กับแนวการปฏิบัติ ถ้าทำดี ทำถูก มีสิทธิ์ได้ทุกคน

หลวงพ่อท่านท้าพิสูจน์ทุกขั้นตอน นิสัยของอาตมาบวม ๆ อยู่แล้ว ก็เลยตรงใจ หันมายึดหลวงพ่อเป็นหลัก พอสิ้นหลวงพ่อก็ไม่ได้เลี้ยวไปไหนแล้ว เพราะว่าสิ่งที่หลวงพ่อให้ตั้งแต่ต้นยันปลายมีครบแล้ว ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ ย่อยให้ได้แล้วกัน จนป่านนี้ก็ยังย่อยไม่หมดเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2011 เมื่อ 16:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #180  
เก่า 07-07-2011, 08:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,351 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงได้เปรียบคนอื่นตรงที่ว่า มีโอกาสฟังธรรมเยอะมาก แต่ว่าไม่ทราบว่ามากจนเฝือหรือเปล่า ? เหมือนหนูตกถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ คนเขาอยู่ไกล ๆ เขามาถึงจึงคว้าไปหมด

เวลาอาตมาลงไป ๓ จังหวัดภาคใต้ แต่ละคนมานี่อย่างกับหิวโซ สารพันปัญหาเตรียมไว้ ถึงเวลาก็ถามจนหูดับตับไหม้ ดังนั้น..อย่าประมาท เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ ชีวิตของเรายังไม่รู้จะอยู่อีกนานเท่าไร ถ้าตายลงไปคืนนี้ ยังไปไม่ถึงพระนิพพานก็ขาดทุน เพราะว่าเกิดใหม่ก็ทุกข์อีก

สมัยนั้นอยู่รับใช้หลวงพ่อ บรรดาขาประจำที่คอยถามก็มีอย่างคุณประภา อาจารย์เอ คุณจ๊อกแจ๊ก นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อ คนนั้นถามบ้าง คนนี้ถามบ้าง คนอื่นก็ได้ประโยชน์ไปด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 08-07-2011 เมื่อ 13:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว