กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 22-09-2010, 10:38
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ครั้งนี้มีวิญญาณที่น่าสนใจเพิ่มมาอีก ขอยกตัวอย่างโดยไม่เอ่ยนามของวิญญาณนั้น และได้ไปพิสูจน์มาแล้ว

ก่อนหน้านั้น วิญญาณนั้นมีตัวตนเคยมีชีวิตเป็นคนมาก่อน วิญญาณตนแรกน่าแปลก ตัวผอมหัวโต ลำตัวเน่าเหม็น ตัวมันเหม็นมากจริง ๆ จมูกเหมือนงวงช้างดูดกินแต่ของเน่าเหม็น ได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบล ได้ความว่าตายมา ๘๔ ปี ได้มาทนทุกข์อยู่ในวัดนี้ จึงถามว่าไปทำอะไรมาจึงมีรูปร่างดังที่เป็นอยู่

วิญญาณตนนั้นตอบ “เป็นมโนกรรมเจ้าค่ะ คือได้เดินผ่านกุฏิพระผู้ปาราชิก ท่านแอบมีภรรยาขณะดำรงสมณเพศนั่งฉันอาหารอยู่ ได้นึกโกรธอยู่ในใจแล้วคิดว่า "ให้มันยัดห่าเข้าไปทำไม พระแบบนี้" แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น

เพียงเท่านี้ไม่คิดว่าจะตกระกำลำบากเช่นนี้ ได้แบ่งกรรมของพระรูปนั้นมาใส่ตัวโดยแท้ เพราะเราไม่รู้จึงได้กระทำลงไป ต้องทนทุกข์เช่นนี้ จะไปก็ไม่ได้ ต้องทนเจ็บปวดทรมานมานานเหลือเกิน พระคุณเจ้าโปรดเมตตากระผมด้วย กระผมเข็ดแล้ว ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นอีก”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 22-09-2010 เมื่อ 10:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 23-09-2010, 08:53
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อยากบอกใครก็บอกไม่ได้ น่าคิดนะ แม้พระจะหมดสภาพแล้วตามพระวินัย แต่ไปตำหนิเข้าแม้จะไม่ได้เปล่งวาจาก็ตาม ก็ปรากฏผลกรรมตอบสนองทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ได้ทำ เพียงไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไปแบ่งกรรมเขามา ถ้าหากอยู่เฉย ๆ กรรมนั้นก็เป็นของผู้กระทำแต่ผู้เดียว นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่าอย่าตำหนิพระภิกษุสงฆ์ หากเราไม่ชอบก็เฉยเสีย ไม่ใช่เรื่องของเรา

“นี่แหละที่ว่า เรามาแล้วจะไปไหน” อยู่ที่กรรมที่เราได้กระทำเป็นเครื่องกำหนด เป็นผู้พิพากษา เราจะไปภูมิภพใดก็สุดแต่กรรมของบุคคลนั้น เมื่อได้กรวดน้ำให้ สภาพร่างกายของวิญญาณนั้นกลับสู่สภาพเดิม ใบหน้าก็เป็นใบหน้าเดิมตอนเป็นมนุษย์

วิญญาณอีกตนหนึ่ง น่าเวทนายิ่งกว่าดวงแรกเสียอีก มีรูปร่างเหมือนคนเราแต่บนศีรษะมีไฟลุกโชนอยู่ ร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส นั่งคุกเข่าร้องขอความช่วยเหลือ ปากก็ร้องบอกตลอดเวลา "เจ็บปวดเหลือเกิน ร้อนเหลือเกิน ช่วยด้วยเถิดพระคุณเจ้า ช่วยด้วยเถิด มันเจ็บเวทนาเหลือเกิน เมตตาเถิดพระคุณเจ้า ช่วยสงเคราะห์ด้วย"

ข้าพเจ้าจึงบอกให้ดวงวิญญาณดวงอื่น ๆ หลบไปก่อน เมื่อเข้ามาอยู่ตรงหน้าได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบลในตอนที่มีชีวิตอยู่ วิญญาณนั้นได้บอกชื่อ สกุล บ้านเลขที่และตำบลที่อยู่ เขาบอกบ้านอยู่คลองหนวน ได้เสียชีวิตมาแล้วร้อยกว่าปี ต้องทนทุกข์ทรมานมานาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2010 เมื่อ 10:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 24-09-2010, 09:51
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


ข้าพเจ้าจึงถามไถ่การกระทำกรรมของวิญญาณตนนี้ว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุจากการทำกรรมอะไร? ไฟบนหัวร้อนไหม? เขาตอบว่า “ร้อนมาก ร้อนกว่าถ่านที่อยู่ในเตา นี่มันไฟนรก กรรมที่ได้กระทำ ข้าพเจ้าชอบกินเหล้า เมายา เมาทุกวัน คืนหนึ่งเมามาไม่รู้ใครเป็นใคร เกิดไปปล้ำได้เสียกับแม่ผู้บังเกิดเกล้า เมื่อเสียชีวิตมาก็เป็นเช่นพระคุณเจ้าเห็น กรุณาช่วยด้วยเถิด”

ข้าพเจ้าจึงกรวดน้ำให้ แต่ที่น่าแปลกน้ำจากกาน้ำที่เทลงไป น้ำหยดลงไม่ถึงพื้นดิน!!! มันระเหยเสียก่อน!!! วิญญาณตนนั้นยิ่งเจ็บปวดมาก นอนดิ้นทุรนทุราย ร้องขอให้หยุดกรวดน้ำเพราะทนไม่ไหว จึงบอกกับวิญญาณได้ช่วยแล้ว แต่ช่วยไม่ได้จนใจจริง ๆ

แต่ด้วยความเมตตาขณะนั้นคิดจะช่วยหากสามารถช่วยได้ จึงกำหนดจะใช้เลือดภายในกายกรวดน้ำให้แทนการใช้น้ำ จึงบอกวิญญาณดวงนั้นว่าจะใช้เลือดกรวดน้ำ จะได้ผลหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เวรกรรม

ข้าพเจ้าจึงใช้นิ้วหัวแม่มือจิกนิ้วชี้โดยกำหนดจิตในองค์กรรมฐาน เลือดก็ไหลออกมาแต่เลือดก็ตกไม่ถึงพื้นแม่ธรณีเช่นกัน!!! กลับทำให้วิญญาณตนนั้นดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก จึงต้องหยุด อาการเจ็บปวดของวิญญาณนั้นจึงค่อยเบาลง

จึงถามเขาว่ามารดาชื่ออะไร? เขาบอกชื่อมารดาของเขา ข้าพเจ้าจึงกำหนดจิตไปตามผู้เป็นมารดามา ได้ถามว่าวิญญาณตนนี้เป็นลูกใช่ไหม? ผู้เป็นมารดาตอบว่า “ใช่” โกรธเขาไหม ผู้เป็นมารดาตอบว่า “ไม่โกรธให้อภัยแล้ว” จึงบอกให้กรวดน้ำให้อโหสิกรรมเสีย ลูกจะได้พ้นทุกข์ ผู้เป็นมารดาร้องไห้ พร้อมกับกรวดน้ำด้วยความสงสารลูก แต่ก็มีผลเช่นเดิม ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากกว่าเดิม จนต้องร้องขอให้ผู้เป็นแม่หยุดกรวดน้ำให้
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 27-09-2010, 10:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่แหละบทเรียนอันสำคัญ ใครก็ตามที่ได้กระทำวิบากกรรมกับบิดามารดา ย่อมเป็นอนันตริยกรรมเป็นกรรมอันยิ่งใหญ่ แก้ไม่ได้จะต้องชดใช้อกุศลวิบากที่ได้กระทำ ตามกฎแห่งกรรมที่ได้ลงทัณฑ์ต่อการกระทำนั้น แม้จะพยายามช่วยแต่ไม่ได้ผล ในทางตรงกันข้าม หากได้ทำกุศลกรรมกับบิดามารดาก็จะมีผลวิบากไปในทางที่ดี ช่วยให้มีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง จึงขอให้ถือเป็นบทเรียน

กรรมที่ทำกับผู้มีพระคุณโดยเฉพาะบิดามารดานั้น หากได้กระทำไปทางอกุศลกรรม มีโทษมหันต์ หากได้กระทำไปทางกุศลก็จะมีคุณอนันต์ ขอให้อย่าประมาทในการกระทำ จงรักษาสติในการทำความดีให้มั่นคง ยิ่งได้กระทำความดีกับผู้มีพระคุณ ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตทั้งในปัจจุบันทั้งในอนาคต จงเร่งปฏิบัติให้ได้ก็จะเป็นคุณต่อตนเองอย่างยิ่ง

เรื่องที่เขียนเล่ามานี้ได้ผ่านการพิสูจน์ความจริงมาแล้ว *เมื่อไม่สามารถช่วยได้จึงได้โปรดวิญญาณอื่น ๆ ในป่าช้าอีกมากมายต่อไป* ได้เวลาก็กลับเข้ากุฏิ เช้าวันรุ่งขึ้นได้ออกบิณฑบาตเพื่อให้แม่ได้ใส่บาตร ได้อาหารแล้วก็กลับวัด ฉันอาหารเสร็จก็ได้ขออุปัชฌาย์ออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้บอกเหตุผล

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 28-09-2010 เมื่อ 07:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 28-09-2010, 08:16
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default พิสูจน์ความจริง

พิสูจน์ความจริง

ออกจากวัดก็ได้เดินทางไปยังบ้านหัวสะพานไปยังบ้านของวิญญาณดวงแรก ตามบ้านเลขที่ที่ได้จดจำเอาไว้ตามคำบอกเล่าตอนอยู่ในป่าช้า ได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น พระเข้าไปในบ้าน ก็ได้รับการดูแลต้อนรับเอาใจใส่ตามหน้าที่ของพุทธมามกะที่ดี ได้ถามไถ่ทุกข์สุขกันพอสมควร

ข้าพเจ้าก็เข้าใจเรื่องที่มาในวันนี้ ได้ไปถามว่ามีปู่ย่าตาทวดชื่อสกุลนี้ไหม? เขาตอบว่า “มีและย้อนถามกลับมาว่าทำไมหรือ? รู้ได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าไม่ตอบ กลับถามต่อว่าได้เสียชีวิตไปเมื่อ ๘๔ ปีที่แล้ว ในวันที่ เดือน ปีนี้ใช่ไหม? พวกเขาตอบว่า “ใช่”

พวกเขาเริ่มสนใจ จึงถามต่อไปว่ามีรูปภาพให้ดูไหม? พวกเขาไม่ขัดข้องไปหยิบรูปภาพบานใหญ่มาให้ดู มีเขียนบอกไว้ใต้รูปภาพ ชื่อ สกุล วัน เดือน ปีเกิด ตายวันที่ เดือน ปี ตรงตามที่วิญญาณนั้นบอกทุกประการ ทั้งใบหน้าไม่ผิดเพี้ยนอีกด้วย

นั่งนึกอยู่ในใจ เหตุการณ์ที่พบในป่าช้าเป็นเรื่องจริงหนอ พวกลูกหลานรุมกันซักไซ้ จึงบอกว่าไม่มีอะไร ใช้อุบายธรรมบอกว่าเมื่อคืนฝันไปว่าวิญญาณของคนในรูปภาพนี้ ให้ช่วยมาบอกลูกหลานให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้าง กำลังลำบากตกทุกข์ได้ยากอยู่ เสร็จธุระที่อยากรู้แล้วได้ลากลับ

เพื่อให้แน่ใจก็ได้เดินทางไปบ้านคลองหนวน ต่อไปยังบ้านเลขที่ที่อยู่ของวิญญาณที่มีไฟลุกโชนอยู่บนหัว ได้สอบถาม ลูกหลานเขาบอก "คนชื่อนี้มีจริง ได้ตายไปนานแล้วตั้งแต่พวกเขายังไม่เกิด" ได้คำตอบในสิ่งที่อยากพิสูจน์ความจริงที่พบวิญญาณ และได้มาขอส่วนบุญเป็นเรื่องเหลวไหลหรือเรื่องจริง

ได้ไปพิสูจน์ย้อนรอยอดีตในการมีตัวตน มีชีวิตอยู่จริงในอดีต และมีผลกรรมปรากฏจริงตามกฎแห่งกรรม ตอบสนองจริงตามผลของกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีไปดีจริง ๆ ทำชั่วไปชั่วจริง ๆ ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2010 เมื่อ 11:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 29-09-2010, 09:11
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้าหมดความสงสัยในจิตโดยสิ้นเชิง ทั้งเป็นเครื่องเตือนจิตของตนตลอดเวลา กลัวผลที่ออกมา อย่างที่ได้พบเห็นที่ได้พิสูจน์ความจริงมาแล้ว มันน่ากลัวจริง ๆ มันน่าสยอง มันทรมานนานาประการ ช่วยตัวเองก็ไม่ได้

ต้องเที่ยวขอส่วนบุญเหมือนขอทานก็ไม่ผิด เพราะจิตที่มืดมัว ไม่เชื่อ ไม่กลัวกรรม เอาแต่คึกคะนองจองหองพองขน อวดตัวเมื่อยังดำรงชีวิตอยู่ ไม่คิดทำแต่สิ่งดี ชอบเบียดเบียนผู้อื่น หาแต่ผลประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก ไม่คำนึงถึงผิดถูก ขอเพียงแต่ให้ได้มาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ใครจะเดือดร้อนแค่ไหน ไม่สนใจ กลับมาสมคบกันเหยียดหยามเสียอีก ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งกลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบ ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ประพฤติผิดศีล ฉ้อฉลคดโกง

พูดรวม ๆ แล้ว มนุษย์เราเหมือนดอกบัวสี่เหล่า เหล่าหนึ่งอยู่ในโคลนตมเป็นเหยื่อของปูปลาไป ไม่มีโอกาสจะโผล่จากโคลนตม เหล่าที่สองพ้นจากโคลนตมแต่อยู่มาอยู่แค่กลางน้ำ ไม่มีโอกาสจะขึ้นปริ่มน้ำปูปลาก็กินเสียก่อน เหล่าที่สามพ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นมาแค่ปริ่มน้ำแต่ไม่ขึ้นพ้นน้ำ ได้พบแสงสว่างแต่ไม่มีโอกาสจะได้บาน เหล่าที่สี่พ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นเหนือน้ำ รอแสงอาทิตย์ส่องก็จะเบ่งบาน

จะเห็นได้ว่าบัวทุกดอกล้วนแต่ขึ้นมาจากโคลนตมทั้งสิ้น คนเราทุกคนมาจากความไม่รู้มาก่อน หากไม่สกัดกั้นตนเองเสียก่อน ก็ควรทำการศึกษา ค้นคว้าสิ่งไม่รู้ไม่เห็น ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อรู้แล้วจะปฏิบัติอย่างไร? สุดแท้แต่บุญบาปของแต่ละบุคคล บางคนยากจะแก้ไข บางคนง่ายจะแก้ไข หากมีบุญหนุนนำ ไม่ยากที่จะแก้เหตุเพราะบุญนั้นจะนำไปเอง หากขาดบุญหนุนนำจะพูดจะบอกจะชี้อย่างไรก็ไม่เอา ไม่เข้าใจ ไม่เล่นด้วย ไปทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนเอง เป็นโทษในภูมิภพในชาติของตน เหมือนดวงวิญญาณข้างต้น ไม่พบเองไม่น่ากลัวอะไร “เวลาที่พระยายมยังให้โอกาส ไม่เร่งให้ทัน เร่งแล้วอาจไม่ทันก็ได้ อย่ารีรออยู่เลย เวลาไม่มี ไม่คอย"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 29-09-2010 เมื่อ 14:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 30-09-2010, 09:38
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่องไปในโลกกว้าง

ไม่ได้ไปท่องเที่ยวที่ไหน? ท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยนี่แหละ ได้ไปมาทั่ว มีสถานที่สำคัญซ่อนเร้นอยู่มากมาย ทั้งเร้นลับ ซ่อนเงื่อน ปกปิด หวงห้าม หวงแหน ห้ามเฉพาะ ทั้งปิดบังห้ามเข้ามีอยู่ทั่วประเทศ ท้าทายให้ไปค้นหา เอาตัวไปทดสอบ แสวงหา พิสูจน์ ศึกษาหาความจริง ดินแดนที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” หรือสยามประเทศ ดินแดนอันสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร ดินแดนแห่งอารยธรรม ดินแดนแห่งความลี้ลับ ดินแดนแห่งความสงบความสะอาด เป็นแดนแห่งอารยชน แดนสุวรรณภูมิ เป็นดินแดนของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้เรืองปัญญา ผู้มีบุญวาสนา ผู้มีบุญบารมี ผู้มีบุญญาธิการที่ได้มาปฏิสนธิรูปตรงนี้

มาแล้วอย่าทำลายโอกาส อย่าทำลายบุญวาสนาของตนเอง รีบฉกฉวย รีบไขว่คว้า รีบแสวงหา รีบค้น รีบเข้ามา รีบทำ รีบพิจารณา รีบสร้างศรัทธา รีบสร้างหนทาง รีบสั่งสม รีบเพิ่มพูน รีบเพิ่มเติม รีบตักตวง รีบเดินทาง รีบสร้างความพร้อม เดินในเส้นทางอันถูกต้อง ให้คุณค่าอันประเสริฐแก่ชีวิตตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้

วันนี้ไม่ใช่คำตอบ แต่พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มีคำตอบให้เรา คำตอบมีให้กับคนที่เข้าไปหาเท่านั้น มีให้สำหรับผู้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดเท่านั้น

มันอยู่ที่การตัดสินใจ อย่ามัวโอดครวญอยู่ เข็มวินาทีที่กระดิกมันเหมือนมัจจุราชมากระชากชีวิตเราไปด้วย มันไม่มีเวลาจริง ๆ รอช้าไม่ได้ เวลาไม่มีให้รอ เวลาเป็นสมบัติของทุกคนที่ฉกฉวยเอา เก็บเกี่ยวประโยชน์เอา แสวงหาเอา เขาให้เราแล้ว เขามอบสิทธิ์ให้กับเรา มอบอำนาจให้กับเราที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า คุ้มประโยชน์อย่างแท้จริง

อย่ารั้งรอ อย่ารีรอ อย่ารอใคร ไม่มีเวลาจะให้รอ ตัวเราเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเรา ทั้งสร้างภูมิภพก็อยู่ที่เรา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 01-10-2010, 10:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เหตุเกิดที่ไหน ให้ไปดับที่เหตุตรงนั้น” เหตุเกิดที่จิตของเราก็ต้องไปแก้ที่จิตของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นที่จิตคนอื่น

หากเราเข้าใจศึกษาจิต (ใจ) ของตนเองให้ละเอียด ให้รู้จักจิต การทำงานของจิต การบังคับจิต การควบคุมจิต การหยุดจิต การพิจารณาจิต การระแวดระวังจิต การกำหนดจิต การพุ่งจิต การเจริญจิต ให้มีสติมีความระลึกรู้ได้ รู้สึกตัวตลอดเวลา ทุกอย่างจะปกติสุข บังเกิดสามัคคีสันติ และสันติภาพจะบังเกิดขึ้นกับตัวเราและทุกคน โลกก็จะน่าอยู่ น่ารื่นรมย์

พุทธศักราช ๒๕๓๐ ได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดชลบุรีอยู่ที่นั่น ๖ ปี ก็ถูกย้ายไปอยู่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นรอบที่สอง อยู่ได้ไม่นานมีคำสั่งให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมพลศึกษา ช่วงนี้มีเวลาว่างมาก ภาระจากงานเกือบจะไม่มีอะไร มีเวลาศึกษาธรรม พัฒนาจิตมากมาย ได้ท่องไปตามสถานที่ต่าง ๆ ตามป่าเขา ตามถ้ำ ตามสถานที่สำคัญ ๆ หลายที่ ได้พบ ได้เห็น ได้อบรมจิต ได้สร้างสมาธิจิตเจริญกรรมฐาน

การเจริญกรรมฐานอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงบของดวงจิต ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเข้าทดลอง ให้รู้ ให้เห็น เข้าใจจิต รู้จักจิตจนเกิดวสีธรรม มองเห็นคุณค่าของชีวิต เข้าใจแก่นของชีวิต และเห็นทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ยึดติดอยู่กับโลกธรรมอันเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 01-10-2010, 17:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบเหตุให้บวชเป็นครั้งที่สอง

พุทธศักราช ๒๕๓๘ ในช่วงหนึ่งไปปฏิบัติธรรมที่ภูพระ จังหวัดชัยภูมิกับพรรคพวก ๓-๔ คน ที่นั่นเป็นวัดอยู่บนเนินเขา มีพระพุทธรูปที่แกะสลักบนหินองค์ใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่าพระเจ้าองค์ตื้อ และยังสลักบนหินอีกก้อนหนึ่งอีกแปดองค์ รวมแล้วเป็นเก้าองค์ สร้างแต่สมัยใดไม่มีใครทราบ แต่เป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชนทั่วสารทิศ ถือเป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์

ได้ปักกลดอยู่สามวันสามคืน ขณะเจริญกรรมฐานได้ปรากฏนิมิตเรื่องราวในอดีตกาล เห็นพระพุทธองค์เคยเสด็จผ่านมาพักค้างคืน ณ บริเวณนี้ พร้อมด้วยเหล่าพระอรหันต์ติดตามอีกจำนวนมาก (เรื่องนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้) ได้เห็นแค่รูปนิมิตเท่านั้น

เป็นนิมิตในอดีตที่ยาวนาน ไม่สามารถหาร่องรอยพิสูจน์ มีแต่พระพุทธรูปทั้งเก้าองค์เท่านั้น แต่ก็มีเรื่องแปลกคือ ขณะที่ปฏิบัติธรรมตลอดสามวันสามคืน ทุกคนไม่ได้นอนกันเลย นั่งปฏิบัติ นั่งสนทนาธรรมตลอดทั้งวันทั้งคืน

ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือง่วงเหงาหาวนอน จิตมันสว่างตลอดเวลา ไม่อ่อนเพลีย ธรรมดาร่างกายคงทนต่อความง่วงไม่ได้ ต้องอ่อนเพลียเมื่อยล้าอ่อนแรง อาการดังกล่าวไม่ปรากฏเลยแม้แต่คนเดียว คิดว่าคงเกิดด้วยอำนาจทิพย์ของสถานที่อันทรงศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน รังสีของพุทธานุภาพคงเสด็จคุ้มครองให้สามารถอยู่ได้ทั้งสามวันสามคืน

ครบกำหนดก็ได้เดินทางกลับ วันหนึ่งขณะข้าพเจ้าได้ไปสนทนา สอนธรรมอาจารย์ที่สนใจหลักธรรม ที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร มีอาจารย์ท่านหนึ่งถามว่า “ป้าของเขาเป็นมะเร็งในตับระยะสุดท้ายอยู่โรงพยาบาลศิริราชจะหายไหม ?”

ได้กำหนดจิตดูแล้ว บอกอาจารย์ท่านนั้นว่า “ให้ไปบอกป้าให้จุดธูป ๑๘ ดอก ระลึกถึงพระพุทธองค์ หากคืนนี้พระพุทธองค์เสด็จมา ก็จะหายได้ด้วยอำนาจพระพุทธคุณ พระพุทธเมตตา” อาจารย์ท่านนั้นได้นำความไปบอกแล้วได้จุดธูป ๑๘ ดอก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 04-10-2010, 08:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

คืนนั้นป้าคนนั้นได้เห็นพระพุทธรูปลอยลงมา บอกว่า “ขอให้ไปสร้างพระประธานในอุโบสถ ณ วัดกลางโนนขาว อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีได้ไหม? แล้วโรคจะหาย” ป้าคนนั้นยกมือไหว้รับจะสร้างให้ พระพุทธรูปองค์นั้นเสด็จลงมาสวมกายของป้า


วันรุ่งขึ้นอาการของป้าคนนั้นดูดีขึ้น ได้บอกกับอาจารย์ผู้เป็นหลานชาย ได้โทรศัพท์ไปถามที่วัด ทางวัดบอกว่าอุโบสถได้สร้างเสร็จนานแล้ว แต่ยังขาดพระประธาน กำลังอยากได้อยู่ ถ้าจะสร้างให้ก็ขอหน้าตัก ๖๙ นิ้ว น่าแปลกแต่จริง !!!

พระอุโบสถสร้างเสร็จมีแท่นพระประธาน แต่ไม่มีพระประธานเพียงเอาพระองค์เล็ก ๆ วางไว้เท่านั้น ลูกนิมิตก็ฝังแล้ว ป้าคนนั้นก็หายวันหายคืนอย่างประหลาด จนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน ครั้นบอกให้ลูก ๆ สร้างพระประธาน ลูก ๆ ก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมสร้าง อาจารย์ผู้เป็นหลานมาปรึกษาข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจึงรับปากจะสร้างให้เอากุศล ใช้เวลา ๗ วันเตรียมการ เงินก็ไม่มีขอยืมพรรคพวกสองแสนบาทไปเช่าพระปางสมาธิหน้าตัก ๖๙ นิ้ว พร้อมเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องบวชนาค ๑๐ ชุด ระฆัง ๑ ใบ โต๊ะหมู่เก้า ๑ ชุด เชิงเทียน แจกัน กระถางธูปพร้อม ข้าพเจ้านำเกศพระไปทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาตอนอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ ได้ลงรักปิดทองเกศพระ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 05-10-2010, 11:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

คืนหนึ่งนั่งคุยกันถามพรรคพวกว่า ใครจะบวชพร้อมเอาพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเป็นประธานบ้าง มีผู้สมัครอยู่ ๕ คน ต้องการ ๑๐ คน ได้ให้ทุกคนเสี่ยงทายกับเกศพระ มีน้ำหนักประมาณ ๑ กิโลกรัม ใครยกไม่ขึ้นก็ให้บวช ยกไม่ขึ้นอยู่ ๗ คน มี ๕ คนพร้อมบวช อีก ๒ คนไม่ยอมบวช

ได้บังเกิดเหตุกับ ๒ คนที่ไม่ยอมบวช ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าเอาหน้าผากจรดพื้น แล้วใช้หน้าผากไถไปกับพื้นไปมาเหมือนถูบ้านอย่างไรก็อย่างนั้น จนหน้าผากถลอกเลือดไหล ทั้งสองคนทนเจ็บไม่ไหวจึงยอมบวช ได้อาสาสมัคร ๗ คน หาอีก ๓ คนไม่ได้

ข้าพเจ้าเองไม่คิดจะบวชเพราะเคยบวชพระมาแล้ว ก็คิดว่า ๗ คนก็ ๗ คน ถึงวันนัดก็ได้เดินทางไปที่วัด ๗ คนที่จะบวชก็ปลงผมนาค

ข้าพเจ้าปลงผมให้ทุกคนแล้ว ข้าพเจ้านั่งพูดเล่น ๆ ว่าจะบวชด้วยเท่านั้นแหละ ทุกคนเอากรรไกรตัดผมข้าพเจ้าทันที จึงต้องยอมบวชด้วย ขาดอีก ๒ คนจึงจะครบ ๑๐ คน ช่างอัศจรรย์มีผู้ชายมาจากไหนไม่ทราบมาขอบวชด้วย ๒ คน จึงครบ ๑๐ คนตามที่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้ เมื่อบวชเสร็จพระ ๒ รูปก็หายไปไหนไม่ทราบ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถามเจ้าอาวาสก็ไม่ทราบว่าไปตอนไหน เข้าใจว่าเทวดามาขอบวชด้วย ๒ รูป

ได้อยู่ปฏิบัติในพระอุโบสถ ๓ วัน จึงพากันลาอุปัชฌาย์ขอเดินทางไปวัดต่าง ๆ แล้วไปสึกที่จังหวัดสมุทรสาคร บวชได้ ๗ วัน ใน ๗ วันนั้นได้พบสิ่งแปลก ๆ มากมายเป็นเหตุที่เสริมศรัทธาของข้าพเจ้าให้มั่นคงต่อการบำเพ็ญตามรอยบุญ ที่พระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาต่อสัตว์โลก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2010 เมื่อ 04:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 06-10-2010, 10:38
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ไปถ้ำวัวแดงตามรอยหลวงปู่เทพโลกอุดร

จากคำบอกเล่าของหลวงปู่ได้บอกไว้ อยากพบปู่ให้ไปพบที่ถ้ำวัวแดง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? หลวงปู่มาให้นิมิตบอกถึงเวลาแล้วให้ขึ้นเขาวัวแดง แต่ไม่ใช่ถ้ำที่เขาเล่าลือกัน ให้ไปที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิแล้วจะมีคนนำไป

จึงได้ชวนผู้ชอบปฏิบัติ ชอบผจญภัยที่เคารพเราร่วมเดินทางไป ได้เตรียมข้าวของที่จำเป็นในการเดินป่า ทั้งอาหาร เครื่องครัวเท่าที่จำเป็นที่อยู่ได้ ๕ วัน ๕ คืน ประสานพรรคพวกที่อยู่จังหวัดชัยภูมิ ได้ออกเดินทางเป้าหมายไปยังถ้ำประทุน ที่ลือกันว่าเป็นถ้ำวัวแดง

มีผู้นำทางไปยังถ้ำประทุนเป็นเทือกเขาที่ติดต่อจังหวัดเพชรบูรณ์
เส้นทางทุรกันดารใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง รถวิ่งได้ช้ามาก ทั้งหลุมทั้งฝุ่น กว่าจะถึงตีนเขาก็กินฝุ่นแทบแย่ เพราะเราเดินทางด้วยรถสองแถว ถึงตีนเขาก็แบกสัมภาระ เดินตามทางสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ขณะที่ถึงตีนเขา

มีนกสีขาวตัวหนึ่งมาบินวนเวียนพวกเราทั้ง ๔ คน ส่งเสียงร้องตลอดเวลา แล้วบินนำหน้าพวกเราขึ้นตามเส้นทาง เราเดินทางตามไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า นกตัวนั้นมานำทาง มานึกฉงนใจ !!! นกตัวนี้จะหยุดคอยพวกเราเป็นระยะ ๆ ส่งเสียงร้องตลอดทางการเดินขึ้นเขาแสนลำบาก ข้าวของก็มาก จึงต้องพักเหนื่อยเป็นช่วง ๆ จนถึงถ้ำประทุน

เข้าไปในถ้ำประทุน มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่ง ได้กราบแล้วบอกเจตนาที่มา ตอนนั้นเย็นมากแล้วใกล้มืดได้เข้าไปในถ้ำ แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ถ้ำวัวแดงที่ต้องการไปแน่ นกที่นำทางก็หายไป

จึงถามพระภิกษุว่ามีถ้ำอื่นอีกไหม? ท่านบอกว่า “มีอยู่สูงขึ้นไปอีก อยู่เขาอีกลูกหนึ่ง จะไปตอนนี้คงไปไม่ทัน ทางลำบากมากคงไปไม่ไหว ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ ๗-๘ ชั่วโมง อันตรายมากด้วย เดี๋ยวหลงทางกลับไม่ได้ อย่าเสี่ยงเลย ถ้ำนั้นเรียกว่า ถ้ำแสงจันทร์ กันดารด้วย น้ำก็ไม่มี ถ้าอยากไปให้นอนที่นี่ก่อน คิดดูให้ดี พรุ่งนี้ถ้าอยากไปค่อยว่ากันใหม่ มีแต่พวกหาของป่า พวกล่าสัตว์เขาไปกัน”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2010 เมื่อ 15:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 07-10-2010, 09:08
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ตกลงคืนนั้น พักค้างคืนที่ถ้ำประทุน ทำวัตรสวดมนต์ เข้ากรรมฐานกันตามปกติ ได้เวลาก็พักผ่อนเอาแรง เราเหนื่อยกันทั้งวัน ก่อนนอนได้ปรึกษากันว่า เราจะขึ้นต่อหรือพักที่นี่ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะไปต่อ อยากรู้อยากเห็น” เมื่อตัดสินใจแล้วก็ให้ทุกคนพักผ่อนเอาแรงไว้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คืนนั้นหลับสนิทภายในกลดที่นำกันไป

วันรุ่งขึ้นทำวัตรเช้าเสร็จ พระท่านก็ให้ไปกินอาหารเช้า นึกขอบพระคุณที่ท่านมีน้ำใจต้อนรับพวกเราเหมือนรู้จักกันมานาน กินข้าวจนอิ่ม พระท่านพูดว่า “จะขึ้นไปถ้ำแสงจันทร์หรือไม่?” พวกเราบอกว่า “จะไป”

ท่านถามว่า “ไม่กลัวนะ” พวกเราตอบว่า “ไม่กลัว” ท่านก็เลยบอกโยมผู้ชาย ๓ คนให้นำทางไปส่ง ขณะนั้นเวลาเกือบสามโมงเช้า นกสีขาวก็บินมาส่งเสียงร้องเหมือนเรียกพวกเรา แต่พระรูปนั้นบอกให้ไปดูถ้ำน้ำเสียก่อน จากปากถ้ำเลี้ยวไปทางขวามือ ๕๐ เมตร จะพาไปดู ได้เดินทางตามท่านไปถึงปากถ้ำน้ำ มีบันไดไม้ลงไปสัก ๒๐ เมตร ลงไปถึงพื้น

น่าแปลกมาก !!! เป็นถ้ำใหญ่มีแต่น้ำเหมือนทะเลสาบอันกว้างใหญ่ พระท่านบอกว่าเข้าไปไกลมาก ถ่อแพไป ๗ วันก็ไม่สิ้นสุด จะจริงอย่างไรไม่ทราบ ไม่ได้ไปดูเพราะไม่มีแพ ส่องไฟฉายไปสุดลำแสงก็เห็นน้ำอยู่ ใครอยากพิสูจน์ ต้องไปดูเอง เขียนบอกเท่าที่เห็น เท่าที่พระท่านเล่า แต่ไม่ได้ไปพิสูจน์เพราะไม่กล้าเสี่ยง ถึงจะต้องการจะพิสูจน์แต่มีความกลัวมากกว่าความกล้า ทุกคนแค่ได้เห็นก็เป็นบุญตา (ถ้ำนี้มีเรื่องลึกลับ !! จะเขียนเล่าตอนหลัง)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 08-10-2010, 09:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นกตัวนั้น คอยพวกเราเตรียมการเดินทางพร้อมคนนำทาง พระท่านให้เอาถุงพลาสติกใบขนาดย่อมติดไปด้วย ท่านบอกไว้ใส่น้ำ น้ำมีอยู่ที่เดียว แล้วสั่งผู้นำทางพาไปดูแหล่งที่จะเอาน้ำ ไม่เช่นนั้นจะอดน้ำอยู่ไม่ได้

เมื่อออกเดินทางนกตัวนั้นก็บินนำ คนนำทางพูดว่า “นกอะไรขาวดี ไม่เคยเห็น” ข้าพเจ้าก็มีสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน คิดว่าหลวงปู่คงให้มานำทาง ได้แต่คิดไม่ได้พูด กลัวว่าพูดไปแล้วจะหาคำตอบให้ผู้ร่วมเดินทางไม่ได้ ทุกคนเห็นไม่มีใครพูด

เดินไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ทั้งแบกของสัมภาระต่าง ๆ มันเหนื่อยเกือบท้อหยุดมากไม่ได้ คนนำทางบอกเดี๋ยวมืดจะลำบาก
กัดฟันเดินกันไปทั้งต้องปีนที่สูงชัน ทั้งต้องลอดต้นไม้ที่ล้มตามทางเดิน แต่พวกเราตั้งมั่นไม่กลัว ขอบารมีหลวงปู่คุ้มครอง

ทำให้นึกถึงพระธุดงค์คงลำบากมากกว่าพวกเรา เพราะท่านไปทั่ว พบอันตรายก็มากมาย กว่าจะมาเป็นหลวงปู่ให้เรากราบไหว้ขอพร ขอให้ท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง แล้วตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่ท่านได้ไปผจญมาในที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่ตื่นเต้นเหมือนเราไปผจญเองแน่นอน ที่เราได้พบขณะเดินทางเป็นเพียงเหตุการณ์น้อยนิดเท่านั้น

เดินทางประมาณ ๗ ชั่วโมงก็ถึงตีนเขาประมาณ ๔ โมงเย็น คนนำทางบอกว่าถ้ำอยู่ข้างบนต้องปีนขึ้นไป ชี้ทางเดินให้พวกเราดู มันสูงชัน พวกเราชวนให้ผู้นำทางพักค้างคืนด้วยกัน พวกเขาบอกว่าไม่นอนจะกลับเลย แสดงกิริยากลัว ๆ ให้เห็นบ้าง

นึกตกใจเหมือนกัน แต่จะแสดงออกก็กลัวว่าพวกที่มาด้วยจะกลัว จึงวางเฉย ให้อาหารแห้งพร้อมทั้งไฟฉาย ๑ กระบอกให้ผู้นำทางกลับไป ก่อนเดินทางกลับก็บอกว่า “อย่าลืมแหล่งที่เอาน้ำ ได้ทำเครื่องหมายไว้แล้ว



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 08-10-2010 เมื่อ 09:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 11-10-2010, 10:01
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พวกเราค่อย ๆ ลำเลียงสัมภาระขึ้นถ้ำ อันตรายมาก ทั้งชันต้องเกาะแง่หินรากไม้ค่อย ๆ ปีนป่าย ไต่ขึ้นสูงราว ๔๐๐ เมตร ค่อย ๆ ลำเลียงของขึ้นถึงถ้ำ ขึ้นถึงก็สำรวจเพื่อปักกลดอยู่บนนั้น

มีถ้ำ ๒ ถ้ำ ทั้งทางขวาและซ้ายมือ ถ้ำทางซ้ายไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ถ้ำทางขวากว้างใหญ่ลึกมืด เวลาไม่มีให้สำรวจมาก ต้องเตรียมที่ปรุงอาหารและปักกลด

หน้าถ้ำทางขวามือมีหลุมใหญ่พื้นเรียบปักกลดได้ ๔ กลดพอดี จึงตัดสินใจปักกลดในนั้น ได้ปักธูปกำหนดจิตขออนุญาตเพื่อสร้างพลังอำนาจจิตคุ้มครองป้องกันอันตรายตามที่ครูอาจารย์ได้สอนมา โดยใช้ไม้เท้าขีดลงบนพื้นล้อมรอบที่ปักกลด เตรียมที่พักให้เรียบร้อย

พบอภินิหารครั้งแรกขณะที่เตรียมทำอาหาร ปากทางขึ้นมีโขดหินเรียบพอเหมาะกับจะทำเตาไฟหุงอาหาร ปรากฏว่าจุดไฟเท่าไหร่ก็ไม่ติดทั้งที่ไม้แห้งสนิท เก็บเอาบริเวณถ้ำนั่นเอง จุดอย่างไรก็ไม่ได้ผลเหมือนจะบอกพวกเราว่า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีคนเฝ้าอยู่ อย่าทำอะไรง่าย ๆ หรืออย่าทำสกปรก ข้าพเจ้านั่งพักอยู่ที่ลานแผ่นหินกว้างหน้าหลุมที่ปักกลด

พวกที่เตรียมอาหารร้องบอกว่าจุดไฟไม่ติด จะทำอย่างไร? จึงถามว่าไม้ฟืนเปียกหรือไม่ เขาบอกว่า "แห้ง" จึงถามว่าใช้อะไรจุด เขาบอกว่า"ใช้เทียนและฝอยไม้เล็ก ๆ" จึงบอกว่าให้จุดธูปบอกเขาเสียก่อน เมื่อพวกเขาจุดธูปขอก็จุดไฟติดลุกตามปกติ !!!

เกิดอะไรขึ้น !!! คงต้องคิดกันเอง ไม่ขอวิจารณ์ว่าอะไร? ทำไม? เหตุเกิดจากอะไร? รู้แต่ว่าไม่ปกติเท่านั้น !!! เพราะมันรู้จากในจิต จึงให้จุดธูปขอเสียก่อน ถ้าจะพยายามจุดต่อไป โดยไม่จุดธูปขอ ไฟจะติดหรือไม่ ไม่ทราบได้ เหตุการณ์มันไม่เกิด


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-10-2010 เมื่อ 11:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 12-10-2010, 10:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


เมื่อขอเจ้าถ้ำแล้ว ไฟก็ติด หุงข้าวกินกันแล้วก็มีน้ำเหลือเล็กน้อย จึงตกลงว่าพรุ่งนี้จะต้องไปเอาน้ำ ทุกคนตกลงให้ข้าพเจ้าเฝ้าถ้ำอยู่คนเดียว ทั้ง ๓ คนจะออกเดินทางไปเอาน้ำเพราะข้าพเจ้าอายุมากกว่าทุกคน อีกประการหนึ่งไม่มีใครกล้าอยู่คนเดียว หากข้าพเจ้าไปเอาน้ำจะต้องมีคนเฝ้าถ้ำ จะเฝ้าของอยู่ ๒ คน ไปเอาน้ำ ๒ คน น้ำก็จะไม่พออยู่ครบ ๔ วัน

เขียนเรื่องนี้ละเอียดนิดหนึ่งเพื่อให้มองเห็นกฎเกณฑ์ในการออกเดินป่า ต้องรู้พอสมควร แรกก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องออกเดินป่าแสวงหา ค้นหาแนวทางปฏิบัติธรรม เพื่อฝึกจิตให้มีวิริยะธรรม ขันติธรรม สัจธรรม ทั้งฝึกฉันทธรรมให้บังเกิดในจิตของเรา เพื่อละพยศลดมานะ ทั้งละกามฉันท์ ๕ ประการ ที่คิดติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแข็ง อ่อน ร้อน หนาว รักความสะดวกสบาย ติดอยู่ในลาภยศ สรรเสริญ ให้คลายความกำหนัดลง อันเป็นการทำลายกำแพงที่ขวางกั้นความสงบของจิต

นั่งพักผ่อนเพื่อย่อยอาหาร แล้วก็พากันสวดพระพุทธมนต์ บอกกล่าวผู้ดูแลถ้ำไม่ได้มาลองดีหรือลบหลู่ใด ๆ ไม่ได้มาค้นหาสมบัติ มาตามหาหลวงปู่ แต่ก็ไม่เห็นท่าน ขอค้นหาโมกขธรรมสัก ๔ คืน หวังว่าคงอนุญาต

แต่ในจิตนั้นคิดว่าหลวงปู่ท่านคงดูพวกเราอยู่ ปลอบใจตนเองไม่ให้กลัว (เข้าป่าเข้าถ้ำครั้งแรก) แต่ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันหมด คือถ้ำทั้งสองเป็นที่อาศัยของค้างคาวจำนวนมาก หลายแสนหลายล้านตัวเต็มไปหมด ดูจากมูลของมันหนาไม่น้อยกว่า ๓ เมตร เดินบนมูลของมันเหมือนเดินบนพรม ที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นเลย กลิ่นสาบมูลค้างคาวปกติจะเหม็นมาก แต่นี่เราปูผ้ายางนอนบนมูลของมันอยู่ทั่ง ๔ คืน ไม่มีกลิ่นติดตัวแม้แต่น้อย

อีกประการหนึ่ง ตอนขึ้นไปถึงครั้งแรกค้างคาวบินเข้าออกกันอยู่ แต่พอปักกลดตลอด ๔ คืน ไม่เห็นบินเข้าออกอีก ไม่เห็นมารบกวนเรา น่าสนเท่ห์จริง ๆ ท่านใดสงสัยลองขึ้นไปดูด้วยตนเอง แต่จะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้ากับพวกเห็นหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ต้องลองดูหาคำตอบเอาเอง



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2010 เมื่อ 11:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 13-10-2010, 10:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เมื่อสวดพระพุทธมนต์ เจริญกรรมฐาน นั่งสนทนาธรรมพร้อมดื่มกาแฟที่ได้เตรียมไป ดึกพอสมควรก็ต้องพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ได้เตือนทุกคนถ้าเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกจากกลดและวงที่ขีดไว้โดยเด็ดขาด ให้จำเอาไว้

ขณะที่ทุกคนนอนกันอยู่นั้น ข้าพเจ้ากำลังเจริญกรรมฐาน คาดว่าประมาณตี ๒ มีเหตุการณ์เห็นมีคนจะเดินเข้ามาในบริเวณที่ปักกลด แต่พอถึงเส้นที่ขีดเอาไว้ ก็ถอยออกไปนั่งบริเวณโขดหิน เป็นผู้หญิงสาวสวยมาก กำลังเรียกพวกเราคนหนึ่งให้ตื่น และเรียกให้ออกไปนอกวงกลม ให้ออกไปหาเธอคนนั้นเหมือนถูกสะกดจิตกำลังจะออกจากกลด ข้าพเจ้าจึงร้องบอกว่า “อย่าออกไป” ทุกคนได้ยินเสียงเลยตื่นกันหมด ผู้หญิงคนนั้นจึงหายไป

ต่อมามีลมพัดกรรโชกมาอย่างแรง *จนกลดและข้าวของปลิวว่อนไปหมด* ทุกคนเริ่มตกใจ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ให้นั่งอยู่กับที่ คุมสติไว้อย่าตกใจ” ทุกคนจึงสงบนิ่งก่อนจะตกแต่งกลดกันใหม่ เมื่อลมสงบแล้วทุกคนพากันนอนและไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก มานั่งคิดอยู่ในใจ นี่แค่คืนแรกโดนขนาดนี้ แล้วคืนต่อไปจะมีอะไรไม่รู้ !!!

ความกลัวนั้นไม่มี เคยถูกฝึกมาแล้วให้ระงับความกลัว เมื่อไม่กลัวก็ไม่มีอะไร ตอนเช้าทำวัตรสวดมนต์ กินอาหารเช้าเรียบร้อย ผู้ร่วมปฏิบัติก็เตรียมตัวไปเอาน้ำ ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางคืนอีก ทุกคนเงียบหมด (หลังจากกลับจากไปเอาน้ำจึงมาพูดเรื่องนี้กัน)

เมื่อทุกคนไต่หน้าผาลงไปแล้ว เหลือแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ได้นั่งปฏิบัติจนจิตสงบเกิดดวงธรรม ได้พิจารณาตนเองว่า “เราอย่ารู้อารมณ์ของเราว่า มีเพียงอารมณ์เดียว เราต้องรู้เห็นอารมณ์หลากหลายที่เกิดขึ้นในดวงจิตของเรา อย่างอารมณ์กังวล อารมณ์กลัว อารมณ์คิดคำนึง อารมณ์ห่วง อารมณ์สงบ อารมณ์โกรธ อารมณ์ใคร่และอารมณ์ชั่วอีกมากมาย ในแต่ละวินาทีเข้าสู่จิตของเราตลอดเวลาจนไม่มีเวลาว่างเว้น ถ้าไม่รู้จักวิธีระงับกำกับอารมณ์เหล่านั้นให้ได้ หากปล่อยให้มันเจริญในจิต ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้เกิดทุกข์ สุข รุ่มร้อน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับการตามรู้อารมณ์นั้น รู้แล้วยังมีโทษอยู่ตามสภาพอารมณ์ที่เกิดในจิต”

ร้ายก็ปล่อยให้ร้าย จิตยังเศร้าหมองอยู่เช่นนั้น เกิดกี่ครั้งก็เป็นเช่นนั้น อารมณ์สนุกสนานก็ปล่อยให้เพลิดเพลินจนสุดโต่ง ไม่สามารถจะระงับบังคับได้ เรามีสถานภาพที่ดีกว่าสัตว์ทั้งหลาย มีจิตวิญญาณที่ละเอียดประณีต มีกลไกในการบังคับที่ดีคือสติ แล้วทำไมไม่รู้จักนำมาใช้ มันก็ไร้คุณค่า ไร้ประโยชน์

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2010 เมื่อ 13:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 14-10-2010, 10:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เวลาล่วงไปจนถึงบ่ายสามโมงเย็น พวกที่ไปเอาน้ำก็ยังไม่กลับ บททดสอบจิตก็ปรากฏขึ้นให้ เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ธรรมได้เริ่มก่อตัวขึ้นในดวงจิต มันเพิ่มขึ้นทุกขณะ ความห่วงกังวลพวกที่ลงไปเอาน้ำ มันไปนานเกินไป อารมณ์กลัวจะหลงทาง กลัวจะพบเหตุนานาประการเข้ามาสู่จิต จิตมันรุ่มร้อน รอคอยด้วยความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย สายตามองแต่ทาง หูฟังแต่เสียง แต่ก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน

ความคิดเริ่มสับสน ความกังวลใจเพิ่มเป็นทวีคูณ ถ้าขึ้นตาชั่งน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสติเริ่มอ่อน ทำให้คิดกลัวขึ้นมา ไม่ใช่กลัววิญญาณ กลับกลายเป็นกลัวสัตว์ร้าย กลัวคนจะขึ้นมาทำร้าย ฟุ้งซ่านไปกันใหญ่กับอารมณ์ปรุงแต่ง *กลัวว่าพวก ๓ คนที่ไปเอาน้ำจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ไม่รู้ได้ ยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมานใจทุกขณะ

จนกระทั่งอดทนไม่ได้ต้องปีนลงไปข้างล่าง จิตมันดิ้นรนกระวนกระวาย “นี่แหละอำนาจของกิเลสนั้นเหมือนอสรพิษ มีพิษร้ายแรง มันอยู่กับใคร พิษของมันก็จะทำลายความสงบสุขคน ๆ นั้นเหมือนคนป่วย มันมีอำนาจทำลายล้างทุกอย่างให้ดับมืด สูญเสียความคิดอันดีงาม พิษของมันสถิตอยู่ในจิต”

แล้วเรายังจะเลี้ยงอสรพิษให้มันกัดกินใจของเรา ให้เสียคุณภาพของชีวิตอยู่ทำไม? มันไม่ได้ทำลายเฉพาะตัวเรา ผู้อยู่ใกล้ไกลก็มีผลกระทบไปหมด

มันทำลายทุกอย่างแล้วแต่ชนิดของอสรพิษ พิษของมันแตกต่างกัน อำนาจทำลายจึงแตกต่างกัน ทั้งขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณของพิษจะมากจะน้อยแค่ไหน ทั้งบุคคลที่โดนพิษของมัน จะเยียวยาทันหรือไม่? ทั้งได้ชนิดของยาตรงกับชนิดของพิษหรือไม่? นั่นคือ สติ ความระลึกได้มาทันเวลา ทันเหตุการณ์ ถ้ามาทันและมีกำลังเพียงพอก็จะบังเกิดสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวเกิดปัญญา รู้เห็นได้ตรงกับสภาพปัญหาในขณะนั้นมากน้อยเพียงไร?

หากพิจารณาได้ พิษของมันก็จะไม่รุนแรง จะเบาบางลง หากพิจารณาไม่ได้ก็จะมีความรุนแรง เหมือนให้ยาถูกกับโรค โรคก็จะเบา ให้ยาผิดนอกจากโรคจะไม่ทุเลาแล้ว ยังจะมีโทษอีกด้วย โดนพิษแล้วยังให้ยาผิดอีก ย่อมมีผลรุนแรงกว่าเดิม นั่นคือ หากมองไม่เห็นพลังอำนาจของกิเลส ย่อมบังเกิดโทษอย่างใหญ่หลวง เพียงแต่มูลกิเลสอันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ก็มีพิษร้ายแรงแล้ว ยังผสมพันธุ์เป็นอสรพิษพันธุ์ต่าง ๆ มากมายมหาศาล เรายังจะเลี้ยงมันไว้ หรือเราจะทำลายมันเสีย ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 19:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 15-10-2010, 10:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สถานภาพขณะนั้นเหมือนถูกอสรพิษกัด ไม่มีเซรุ่มฉีด จิตมันเดือดพล่านเอาไม่อยู่ ระงับอารมณ์ไม่ได้ พิษมันแผ่ไปทั่วจิต พิษของกิเลสนั่นแหละ ก็น่าเห็นใจเราเลี้ยงฟูมฟักมาจนโต ออกลูกออกหลานมากมายให้อาศัยในจิตของเราได้ เดินวนอยู่นาน จนได้ยินเสียงเรียกของพวกที่ไปเอาน้ำดังมา จิตเหมือนได้พบหมอ หมอกำลังเอายามาฉีด จากทุกข์มันเปลี่ยนเป็นปีติยินดีทันที มันช่างเร็วเหลือเกิน

นี่แหละที่บอกว่า เราตามรู้อารมณ์ของเราแต่เราไม่รู้จักบังคับยับยั้งจึงเกิดโทษในการครองตน รู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้บังคับหรือกำหนดหรือกำหนดได้อย่างมีความช่ำชอง ต้องชำนาญในการกำหนดจิตในการเข้าสู่อารมณ์ของจิต ในการหยุดอารมณ์ของจิต ในการพิจารณาอารมณ์ในจิต ในการออกจากอารมณ์ที่ครองจิต มีความสำคัญมากต่อการฝึก ต่อการสร้าง ต่อการเรียนรู้ ต่อการวิเคราะห์สังเคราะห์จิตของเรา ต่อการทำลายอารมณ์ที่ไม่ต้องการ ต่อการแสวงหาความสงบทางจิต อันเป็นแก่นที่สำคัญต่อตัวเรา ขอท่านผู้เจริญจงพิจารณาธรรมข้อนี้ให้ลึกลงจิต จิตจะคลายอุปาทานสัญญา (การยึดมั่น ถือมั่น ในการจำได้หมายรู้)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2010 เมื่อ 04:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 15-10-2010, 17:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบคนแคระ

เมื่อได้น้ำมาพอเพียงในการพักแรม แต่ก็ต้องประหยัดโดยกำหนดกติกา ห้ามใช้น้ำล้างหน้า แปรงฟันตลอดเวลาที่พักอยู่บนถ้ำ เมื่อกินอาหารแล้ว *ให้แต่ละคนใช้น้ำล้างจานดื่มต่างน้ำเปล่าหลังอาหารกันทุกคน (เป็นน้ำดื่มเฉพาะของแต่ละคน) ห้ามใช้น้ำทำอย่างอื่นใดนอกจากใช้ปรุงอาหารและให้ดื่มตามกติกาเท่านั้น*

ในคืนที่สอง หลังทำกิจประจำคือสวดพระพุทธมนต์ เจริญกรรมฐานตามแต่ความพอใจของแต่ละคน ทุกคนคิดว่าคืนนี้คงไม่มีอะไรมารบกวน ค้างคาวก็ไม่บินเข้าออกตามปกติ

ตอนดึกถึงเที่ยงคืน ข้าพเจ้าได้ออกมาเจริญจิตอยู่บนลานแผ่นหินตามลำพัง ด้วยจิตที่ปลอดโปร่งไม่เหมือนตอนกลางวัน ขณะนั่งพิจารณาอารมณ์ในดวงจิตอยู่ มีความรู้สึกว่ามีคนจำนวนมากมานั่งอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ได้นั่งเพ่งจิตของตนเองให้สงบไม่ให้ตื่นเต้น ตื่นตระหนก ตกใจ มีสติเจริญอยู่ภายในกาย ให้สติเป็นมหาสติแล้วค่อยลืมตาขึ้น

สิ่งที่อยู่รอบกายนั้นทำให้จิตแกว่งไปเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ตั้งจิตไว้อย่างดีแล้ว ที่นั่งกันอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยไม่กระดิกเหมือนหุ่น นั่งกันเป็นแถว อย่างมีระเบียบอยู่ตรงหน้าคือ มนุษย์ชายหญิงนั่งเรียงกันคนละด้าน ชายอยู่ด้านหนึ่ง หญิงอยู่ด้านหนึ่ง นั่งพนมมือไหว้อยู่หลายร้อยคน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 03:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว