กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ

Notices

ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ คุณสามารถตั้งคำถาม และทีมงานจะรวบรวม และคัดกรองเพื่อนำไปถามหลวงพ่อในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่หลวงพ่อมารับสังฆทาน

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-07-2023, 01:53
นักเดินทางสังสารวัฏ นักเดินทางสังสารวัฏ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2016
ข้อความ: 77
ได้ให้อนุโมทนา: 139
ได้รับอนุโมทนา 2,965 ครั้ง ใน 205 โพสต์
นักเดินทางสังสารวัฏ is on a distinguished road
Default การเข้าถึงความหมาย/เข้าใจ อนัตตา และเรื่องอื่น ๆ

เนื่องจากช่วงนี้ผมปิดเทอม ผมเลยมีเวลาขบคิดตรึกตรองธรรมที่ได้อ่านศึกษามาจากหลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อวัดท่าซุง และท่านอื่น ๆ และหลวงพ่อเป็นพระพหูสูตรรู้เรื่องวิชาทางโลก และทางธรรม เลยอยากจะถามหลวงพ่อ และผมจะพยายามถามให้สั้น ๆ ได้ใจความนะครับ และถ้ามีตรงไหนผมอธิบายไม่ถูก ขออภัยด้วยครับ ผมอธิบายตามความเข้าใจที่ศึกษามา

๑.เห็นหลวงพ่อรู้เรื่องธาตุเคมี และเรื่องอภิธรรม เลยอยากถามว่าในเรื่องอภิธรรม จะแบ่งเจตสิกเป็น ๓ ประเภท เจตสิกที่เป็นกุศล เจตสิกที่เป็นอกุศล และเจตสิกกลาง ที่สามารถเข้าได้กับ เจตสิกที่เป็นกุศลและอกุศล และผมเรียนวิชาเคมีจะท่องพวกตารางธาตุ เช่น H คือ Hydrogen,
C คือ carbon,
Ag คือ silver หรือ เงิน,
Au คือ gold หรือทอง หรือถ้าธาตุต่าง ๆ รวมกันก็เป็นสิ่งของ เช่น Na+Cl เป็นNaCl คือเกลือ เป็นต้น

และอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่นอารมณ์เมตตา, อารมณ์ฌาน หรือจิตมหรคต, อารมณ์รัก,โลภ,โกรธ,หลง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนธาตุ ต่าง ๆ ในวิชาเคมีที่ผมเล่ามาข้างต้น อารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอนัตตา เป็นสภาวะธรรม เป็นธาตุ หรือถ้าเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์สิ่งเหล่าก็น่าจะเรียกว่า natural phenomena หรือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดในจิตของเราแทน ซึ่งมีอยู่จริง ๆ ตลอดเวลาทุกยุคทุกสมัย ต่อให้ไม่มีพระพุทธศาสนาก็ตาม และอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่ตัวเราจริง ๆ ในเมื่อไม่ใช่ตัวเรา เป็นอนัตตา เราก็ไม่ยึดอารมณ์เหล่านั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรา และการที่เรายังยินดีต่อให้จะเป็นบุญ เป็นฌานสมาบัติก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนเป็นธาตุ แต่เป็นธาตุที่มี high quality หรือคุณภาพสูงทำให้เกิดเป็นพรหม หรือถ้าเป็นมนุษย์ทรงฌาน จิตจะมีกำลังมาก ทำให้ตนเองมีความมั่นใจสูง เป็นคนกล้า และเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้ง่าย

แต่ถ้าเรายังยินดี และ ยังยึด จิตก็ยังไปอยู่แค่พรหม ยังติดในวัฏสงสาร ยังเป็นทาสของอวิชชาอยู่ ดังนั้นจะอารมณ์กุศลก็ดีหรือ อารมณ์อกุศลก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ควรจะยึดถือนับถือว่าสิ่งนั้นคือเรา และทำให้ผมไปนึกคำสอนที่หลวงพ่อบอก รู้ว่าดีจึงทำ รู้ว่าชั่วจึงละ ไม่ได้ไปยินดียินร้าย สิ่งที่ปรุงแต่ง ทั้งกุศล และอกุศลเป็นต้น และในเมื่อไม่ได้ยินดี ยินร้าย ต่อให้จะเกิดเป็นพระพรหมที่เป็นภพอยู่สูงที่สุดในวัฏสงสาร จิตก็ไม่ยินดี ไม่ต้องการที่จะเกิดเป็นพระพรหม จิตอยากจะหลุดพ้น อยากจะเข้าถึงสภาวะนิพพาน คือเข้าถึงความสูญจากการปรุงแต่งทั้งดี ทั้งชั่วทั้งปวง

สิ่งที่ผมเล่ามาแปลว่าผมเข้าใจ เข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตา ถูกต้องหรือเปล่าครับ

๑.๑ ถ้าจิตเข้าถึงคำว่าอนัตตาจริง ๆ ตามที่กล่าวมาข้อด้านบน ใคร ๆ ทำอะไรมาก็ไม่โกรธ ก็เฉย ๆ หรือเจอรูป รส กสิ่น เสียงดีแค่ไหนก็ตาม จิตก็เฉย ๆ สักแต่รู้ ไม่ได้ไปปรุงแต่ง เพราะ ถ้าปรุงแต่งยินดียินร้าย ก็เกิดตัณหา พอตัณหาเกิด ก็เกิดอุปทาน พออุปทานเกิด ก็เกิดภพ และจิตก็ยังไม่หลุดพ้นอยู่ดี ตามปฏิจจสมุปบาท
และถ้าจิตเข้าถึงคำว่าอนัตตาแล้ว ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นสภาวะธรรม หาคำว่าอัตตาไม่เจอ เพราะอัตตาไม่มี จิตไม่มีตัวกูของกู เลยอยากถามหลวงพ่อว่าที่ผมเล่ามา ถ้าอยากให้จิตแจ่มใส ไปแดนพระนิพพานได้จริง ๆ พิจารณาวิปัสสนาญาณประมาณนี้เพียงพอหรือไหมครับ เพราะเท่าที่ศึกษาคนเราต้องเห็นทุกข์สัจจะ ถึงจะเข้าถึงแดนพระนิพพานได้

๒. ผมอยากถามหลวงพ่อในสังโยชน์ สีลัพพตปรามาส คือการรักษาศีลไม่จริงจัง และการยึดศีลมากเกินไป เช่น ยึดว่าเรารักษาศีลเป็นร้อย ๆ ข้อ ดังนั้นเราดีกว่า เราเคร่งกว่าเธอ ที่มีศีลน้อยกว่าเราเป็นต้น
และในบารมี ๑๐ ในข้อศีลบารมี ตามที่ผมได้ศึกษาอ่านธรรม มา และขบคิดตามธรรมที่ได้ศึกมาเหล่านั้น ผมเลยเข้าใจว่าการที่เราตั้งใจว่าจะไม่ให้ กาย วาจา ใจของเราเป็นโทษต่อผู้อื่น อันนี้คือศีลบารมีที่แท้จริง และเป็นเมตตาบารมีด้วยเพราะว่า บางคนมีศีล ๕ ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานพรหมวิหาร ๔ เช่นมีศีลจริง แต่อาจจะหาช่องทางเอาเปรียบคนอื่น แบบพวกนักการเมืองที่หาทางเลี่ยงกฎหมาย
นอกเหนือจากนี้ถ้าเรายังยึดว่าศีลของเรามากกว่า ดังนั้นเราดีกว่าเธอ อาการอย่างนี้เป็นการขาดพรหมวิหาร ๔ ไม่ใช่อารมณ์ที่ควรมีในความเป็นพระอริยเจ้า สิ่งที่ผมเล่ามาไปตรงคำสอนของหลวงปู่ดู่ ที่ว่า"คนดีเขาไม่ตีใคร"
คำถามคือ จากที่ผมเล่ามาจากความเข้าใจของผมตามที่ได้ศึกษา และสรุปเนื้อหา นั้น ๆ อยากถามหลวงพ่อว่าผมเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่าครับ

๓.ณ ปัจจุบันเวลามี influencer เช่นแม่ค้าชื่อดัง หรือใครก็ตาม ทำอะไรผิด ไม่ถูกต้อง จะโดน ทัวร์ลง หรือพูดง่าย ๆ คือโดนกระทืบซ้ำจาก social media เลยอยากถามหลวงพ่อครับ การที่คนเราไปทัวร์ลงต่อคนที่ทำผิดจริง แบบนี้จะมีอานิงส์ หรือส่งผลเป็นกรรมอะไรหรือเปล่าครับ

๔. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เลยอยากถามหลวงพ่อว่า เวลาบางครั้งผมอยู่คนเดียวพอภาวนาหรือเจริญกรรมฐานเสร็จ ลึก ๆ แล้วรู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่ เลยไปชวนเพื่อนคุยให้หายเหงา หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อยากทราบว่าถ้าอาการแบบนี้เกิดขึ้นทำอย่างไรดีครับ

๕.ฌาน และ ญาณคือความสามารถหาเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ ของผมได้เสื่อมไปแล้ว เลยไม่สามารถพิจารณาธรรมได้ลึก เอาจิตหาเหตุหาผลได้ยาก ปัจจุบันจิตก็ยังเข้าฌานไม่ได้ แต่ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรพรหม เทวดา เลยลองอ่านอภิธรรมเป็นความรู้ดูเพื่ออาจจะเข้าใจการทำงานของจิตใจ และผมอ่านแล้วมึน เลยอยากถามหลวงพ่อในฐานะที่หลวงพ่อทรงฌานสมาบัติ และพอมีฌานสมาบัติ ญาณก็เกิดขึ้นได้ อยากถามว่าบุคคลที่ทรงฌานสมาบัติ ๔ เวลาอ่านอภิธรรม จะเข้าใจในระดับ แตกฉาน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่าก็ระดับ expert หรือ specialist ง่าย ๆ หรือเปล่าครับ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นักเดินทางสังสารวัฏ : 14-08-2023 เมื่อ 09:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นักเดินทางสังสารวัฏ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-09-2023, 03:21
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,771
ได้ให้อนุโมทนา: 269,229
ได้รับอนุโมทนา 838,164 ครั้ง ใน 12,783 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ถาม : เนื่องจากช่วงนี้ผมปิดเทอม ผมเลยมีเวลาขบคิดตรึกตรองธรรมที่ได้อ่านศึกษามาจากหลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อวัดท่าซุง และท่านอื่น ๆ และหลวงพ่อเป็นพระพหูสูตรรู้เรื่องวิชาทางโลก และทางธรรม เลยอยากจะถามหลวงพ่อ และผมจะพยายามถามให้สั้น ๆ ได้ใจความนะครับ และถ้ามีตรงไหนผมอธิบายไม่ถูก ขออภัยด้วยครับ ผมอธิบายตามความเข้าใจที่ศึกษามา

๑.เห็นหลวงพ่อรู้เรื่องธาตุเคมี และเรื่องอภิธรรม เลยอยากถามว่าในเรื่องอภิธรรม จะแบ่งเจตสิกเป็น ๓ ประเภท เจตสิกที่เป็นกุศล เจตสิกที่เป็นอกุศล และเจตสิกกลาง ที่สามารถเข้าได้กับ เจตสิกที่เป็นกุศลและอกุศล และผมเรียนวิชาเคมีจะท่องพวกตารางธาตุ เช่น H คือ Hydrogen,
C คือ carbon,
Ag คือ silver หรือ เงิน,
Au คือ gold หรือทอง หรือถ้าธาตุต่าง ๆ รวมกันก็เป็นสิ่งของ เช่น Na+Cl เป็นNaCl คือเกลือ เป็นต้น

และอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่นอารมณ์เมตตา, อารมณ์ฌาน หรือจิตมหรคต, อารมณ์รัก,โลภ,โกรธ,หลง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนธาตุต่าง ๆ ในวิชาเคมีที่ผมเล่ามาข้างต้น อารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอนัตตา เป็นสภาวธรรม เป็นธาตุ หรือถ้าเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์สิ่งเหล่าก็น่าจะเรียกว่า natural phenomena หรือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดในจิตของเราแทน ซึ่งมีอยู่จริง ๆ ตลอดเวลาทุกยุคทุกสมัย ต่อให้ไม่มีพระพุทธศาสนาก็ตาม และอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่ตัวเราจริง ๆ ในเมื่อไม่ใช่ตัวเรา เป็นอนัตตา เราก็ไม่ยึดอารมณ์เหล่านั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรา และการที่เรายังยินดีต่อให้จะเป็นบุญ เป็นฌานสมาบัติก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนเป็นธาตุ แต่เป็นธาตุที่มี high quality หรือคุณภาพสูงทำให้เกิดเป็นพรหม หรือถ้าเป็นมนุษย์ทรงฌาน จิตจะมีกำลังมาก ทำให้ตนเองมีความมั่นใจสูง เป็นคนกล้า และเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้ง่าย

แต่ถ้าเรายังยินดี และ ยังยึด จิตก็ยังไปอยู่แค่พรหม ยังติดในวัฏสงสาร ยังเป็นทาสของอวิชชาอยู่ ดังนั้นจะอารมณ์กุศลก็ดีหรือ อารมณ์อกุศลก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ควรจะยึดถือนับถือว่าสิ่งนั้นคือเรา และทำให้ผมไปนึกคำสอนที่หลวงพ่อบอก รู้ว่าดีจึงทำ รู้ว่าชั่วจึงละ ไม่ได้ไปยินดียินร้าย สิ่งที่ปรุงแต่ง ทั้งกุศล และอกุศลเป็นต้น และในเมื่อไม่ได้ยินดี ยินร้าย ต่อให้จะเกิดเป็นพระพรหมที่เป็นภพอยู่สูงที่สุดในวัฏสงสาร จิตก็ไม่ยินดี ไม่ต้องการที่จะเกิดเป็นพระพรหม จิตอยากจะหลุดพ้น อยากจะเข้าถึงสภาวะนิพพาน คือเข้าถึงความสูญจากการปรุงแต่งทั้งดี ทั้งชั่วทั้งปวง

สิ่งที่ผมเล่ามาแปลว่าผมเข้าใจ เข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตา ถูกต้องหรือเปล่าครับ M
ตอบ : สิ่งที่คุณคิดไม่ใช่การพิจารณาธรรม หากแต่เป็นความคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดยิ่งเตลิด ห่างจากมรรคผลไปเรื่อย แต่ไปคิดว่าเข้าใกล้มรรคผล..!

ถาม : ถ้าจิตเข้าถึงคำว่าอนัตตาจริง ๆ ตามที่กล่าวมาข้อด้านบน ใคร ๆ ทำอะไรมาก็ไม่โกรธ ก็เฉย ๆ หรือเจอรูป รส กสิ่น เสียงดีแค่ไหนก็ตาม จิตก็เฉย ๆ สักแต่รู้ ไม่ได้ไปปรุงแต่ง เพราะ ถ้าปรุงแต่งยินดียินร้าย ก็เกิดตัณหา พอตัณหาเกิด ก็เกิดอุปทาน พออุปทานเกิด ก็เกิดภพ และจิตก็ยังไม่หลุดพ้นอยู่ดี ตามปฏิจจสมุปบาท
และถ้าจิตเข้าถึงคำว่าอนัตตาแล้ว ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นสภาวะธรรม หาคำว่าอัตตาไม่เจอ เพราะอัตตาไม่มี จิตไม่มีตัวกูของกู เลยอยากถามหลวงพ่อว่าที่ผมเล่ามา ถ้าอยากให้จิตแจ่มใส ไปแดนพระนิพพานได้จริง ๆ พิจารณาวิปัสสนาญาณประมาณนี้เพียงพอหรือไหมครับ เพราะเท่าที่ศึกษาคนเราต้องเห็นทุกข์สัจจะ ถึงจะเข้าถึงแดนพระนิพพานได้
ตอบ : ห่างไกลมาก

ถาม : ผมอยากถามหลวงพ่อในสังโยชน์ สีลัพพตปรามาส คือการรักษาศีลไม่จริงจัง และการยึดศีลมากเกินไป เช่น ยึดว่าเรารักษาศีลเป็นร้อย ๆ ข้อ ดังนั้นเราดีกว่า เราเคร่งกว่าเธอ ที่มีศีลน้อยกว่าเราเป็นต้น
และในบารมี ๑๐ ในข้อศีลบารมี ตามที่ผมได้ศึกษาอ่านธรรม มา และขบคิดตามธรรมที่ได้ศึกมาเหล่านั้น ผมเลยเข้าใจว่าการที่เราตั้งใจว่าจะไม่ให้ กาย วาจา ใจของเราเป็นโทษต่อผู้อื่น อันนี้คือศีลบารมีที่แท้จริง และเป็นเมตตาบารมีด้วยเพราะว่า บางคนมีศีล ๕ ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานพรหมวิหาร ๔ เช่นมีศีลจริง แต่อาจจะหาช่องทางเอาเปรียบคนอื่น แบบพวกนักการเมืองที่หาทางเลี่ยงกฎหมาย
นอกเหนือจากนี้ถ้าเรายังยึดว่าศีลของเรามากกว่า ดังนั้นเราดีกว่าเธอ อาการอย่างนี้เป็นการขาดพรหมวิหาร ๔ ไม่ใช่อารมณ์ที่ควรมีในความเป็นพระอริยเจ้า สิ่งที่ผมเล่ามาไปตรงคำสอนของหลวงปู่ดู่ ที่ว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
คำถามคือ จากที่ผมเล่ามาจากความเข้าใจของผมตามที่ได้ศึกษา และสรุปเนื้อหา นั้น ๆ อยากถามหลวงพ่อว่าผมเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่าครับ
ตอบ : เกือบใช่ แต่ไร้ประโยชน์..!

ถาม : ณ ปัจจุบันเวลามี influencer เช่นแม่ค้าชื่อดัง หรือใครก็ตาม ทำอะไรผิด ไม่ถูกต้อง จะโดน ทัวร์ลง หรือพูดง่าย ๆ คือโดนกระทืบซ้ำจาก social media เลยอยากถามหลวงพ่อครับ การที่คนเราไปทัวร์ลงต่อคนที่ทำผิดจริง แบบนี้จะมีอานิงส์ หรือส่งผลเป็นกรรมอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

ถาม : มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เลยอยากถามหลวงพ่อว่า เวลาบางครั้งผมอยู่คนเดียวพอภาวนาหรือเจริญกรรมฐานเสร็จ ลึก ๆ แล้วรู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่ เลยไปชวนเพื่อนคุยให้หายเหงา หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อยากทราบว่าถ้าอาการแบบนี้เกิดขึ้นทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เลิกทำ ถ้าอ้างแบบนี้ก็ยังไปไม่รอด..!

ถาม : ฌาน และ ญาณคือความสามารถหาเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ ของผมได้เสื่อมไปแล้ว เลยไม่สามารถพิจารณาธรรมได้ลึก เอาจิตหาเหตุหาผลได้ยาก ปัจจุบันจิตก็ยังเข้าฌานไม่ได้ แต่ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรพรหม เทวดา เลยลองอ่านอภิธรรมเป็นความรู้ดูเพื่ออาจจะเข้าใจการทำงานของจิตใจ และผมอ่านแล้วมึน เลยอยากถามหลวงพ่อในฐานะที่หลวงพ่อทรงฌานสมาบัติ และพอมีฌานสมาบัติ ญาณก็เกิดขึ้นได้ อยากถามว่าบุคคลที่ทรงฌานสมาบัติ ๔ เวลาอ่านอภิธรรม จะเข้าใจในระดับ แตกฉาน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่าก็ระดับ expert หรือ specialist ง่าย ๆ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เข้าใจตามระดับกำลังใจที่ตนเองเข้าถึงและเป็นอยู่ ยิ่งกำลังใจสะอาดมาก ละเอียดมากก็เข้าถึงได้มาก
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว