กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 05-06-2012, 08:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕

ถาม : ผมตั้งใจถือศีลแปดมาได้หนึ่งเดือนแล้วครับ ตั้งใจจะถือศีลต่อ ทีนี้เรากลับบ้านพบคุณพ่อคุณแม่ เราสามารถละเว้นศีลแปดบางวันเพื่อรับประทานอาหารกับคุณพ่อแม่ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : ต้องยาวเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจไปแล้ว ไม่มีข้อยกเว้น จะถือศีลก็ถือให้จริงจังไปเลย อุปสรรคต่าง ๆ เป็นแค่ตัวทดสอบเท่านั้น โดยเฉพาะมารเขาจะเอาคนที่เรารักมากที่สุดมาทดสอบเราเสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2012 เมื่อ 15:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 268 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-06-2012, 09:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเว็บแย่งกันจองพระปิดตาเนื้อชุบทองพ่นทรายกัน เขารู้หรือเปล่าว่านากกับเงินทำยากกว่าเยอะเลย นากกับเงินจะต้องเคลือบแล็กเกอร์ด้วยไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้ดำ แต่เขาบอกว่าอยู่ได้ประมาณ ๓ - ๔ ปีเท่านั้น ถ้าจะไม่ให้กลับดำต้องรีบเอาไปเข้ากรอบ อย่าให้อากาศเข้า ธรรมชาติของนากกับเงิน เวลาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจะเกิดออกไซด์เป็นสนิมดำ ๆ

เพราะฉะนั้น..ถ้านากกับเงินไม่ดำแสดงว่าเป็นของปลอม แต่เขาก็อุตส่าห์หาวิธีมาแล้ว สรุปว่าทั้ง ๓ เนื้อ เงินกับนากทำยากที่สุดเพราะต้องไปเคลือบอีกชั้น แล้วราคาก็แพงขึ้น

ความจริงเขาเสนอว่าให้ออกทีละอย่าง อาตมาบอกว่าไม่ได้หรอก..ไม่ยุติธรรม คนที่เขามีเงินสำหรับเลือกได้องค์เดียว จะได้เลือกถูกว่าจะเอาแบบไหน ถ้าไปออกทีละอย่างเขาก็หน้ามืดสิ จองแบบนี้ไปแล้วไปเจอของที่ตัวเองชอบขึ้นมาทีหลัง..คงเสียดาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2012 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 266 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-06-2012, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายกัน ถ้าไม่มีศูนย์รวมใจอย่างในหลวง ชาวบ้านก็ไม่รู้จะพึ่งใคร ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไกลไม่ได้ แต่ก็ยังต้องออกมา อย่างน้อย ๆ ให้ชาวบ้านได้รู้ว่าที่พึ่งของพวกเขายังอยู่"

ถาม : ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินได้หรือเปล่า ?
ตอบ : พระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้แต่ว่าไม่ไกล เพราะว่าน้ำในสมองมาก ทำให้ทรงพระวรกายได้ไม่ดี อาจจะเซล้มได้ทุกเวลา หมอก็เลยไม่อยากให้เสี่ยง ให้นั่งรถเข็นดีกว่า เรื่องอื่นไม่ค่อยมีปัญหาหรอก มีปัญหาเฉพาะน้ำในสมอง ต้องคอยระบายอยู่เรื่อย พอแก่แล้วเป็นอย่างนั้นทุกคน เพียงแต่ว่าจะมากจะน้อย

สรุปว่า..ชราปิ ทุกขา แก่แล้วเป็นทุกข์ที่ขา เดินไม่ถนัด อันนี้ว่านอกบาลี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2012 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 253 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-06-2012, 10:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาสงสารอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ นั่งรอรับเสด็จสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ แต่เช้า เพราะสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าจะเสด็จไปที่เต็นท์สาธยายพระไตรปิฎก ปรากฏว่าเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นพายุเริ่มมา เมฆมืดไปทุกทิศทุกทาง พระองค์ท่านเสด็จถึงเวลา ๕ โมงเย็น ฝนเริ่มหยดแปะ ๆ แล้ว พอตัดริบบิ้นเปิดงานเสร็จเสด็จเข้าเต็นท์ ฝนก็กระหน่ำสนั่นหวั่นไหวเลย อาตมาจึงรับเสาเสมาธรรมจักรท่ามกลางสายฝน

พอเสร็จงาน พระองค์ท่านก็เสด็จกลับ น่าจะเป็นบรรดาราชองครักษ์ถวายการรักษาพระองค์ลำบาก จึงทูลเชิญเสด็จกลับเลย พระอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ไปนั่งรอแต่เช้า อยู่เต็นท์แรกที่จะเสด็จด้วย ท้ายสุดก็ได้แต่มองตาละห้อยตามส่งเสด็จ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2012 เมื่อ 15:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-06-2012, 11:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นในเรื่องบารมีของพระองค์ท่านชัด ๆ ก็คือ ทุกคนฝึกซ้อมการรับพระราชทานมาอย่างดี พอเข้าไปอยู่ตรงหน้าพระพักตร์แล้วส่วนใหญ่ลืมหมด ฝึกกันมาอย่างดี ซ้อมแล้วซ้อมอีก พอไปอยู่ตรงหน้าก็ลืมหมด ไม่ว่าจะเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ

อย่างพระเวลารับพระราชทาน สมเด็จพระเทพฯ ประทับยืนอยู่กับที่ พระเป็นฝ่ายเดินเข้าไป แล้วก็จับผ้ารับประเคน พอพระองค์พระราชทานวางเสาเสมาธรรมจักรลงบนผ้า พระก็ปล่อยผ้ารับประเคน ใช้มือขวาจับเสาเสมาธรรมจักรแล้วยกขึ้น ใช้มือซ้ายช่วยประคอง แล้วหมุนตัวไปทางขวา เดินกลับไปยังแถวที่นั่งตามเดิม แต่ส่วนใหญ่ทำผิดหมด พอไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่านแล้วประหม่า หลวงพ่อบางรูปยืนเฉย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องเตือนว่าให้จับผ้ารับประเคนถึงนึกได้ ตอนนั้นท่านคงมืดไปหมด นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร

มีโยมคนหนึ่งเป็นฝรั่งผู้หญิง ตัวสูงยาวมากเลย น่าจะทำเกี่ยวกับการแปลหนังสือพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษ คนอื่นเขาถอนสายบัวเสร็จก็คุกเข่ารับ แต่ฝรั่งคนนี้คุกเข่าไม่เป็น ก็เลยโก้งโค้งรับท่าประหลาด ๆ อยู่คนเดียว อาตมาดูจากจอโทรทัศน์ เห็นพระองค์ท่านทรงยิ้ม ถือว่าอภัยให้เขาไป เพราะเขาไม่เป็นจริง ๆ

ขนาดเด็ก ๆ ที่ชนะเลิศการประกวดสวดหมู่ทำนองสรภัญญะ ไม่มีใครทำท่าเหมือนกันสักคน ทั้ง ๆ ที่หัดมาอย่างดีเลย พอไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่านแล้วไปกันคนละทิศคนละทาง โดยเฉพาะตอนซ้อม พระเจ้าหน้าที่กำชับเด็กทุกคนให้ “ถอนสายบัวอย่างอ่อนโยน” อาตมาฟังแล้วจะบ้าตาย...อ่อนโยนเด็ก ๆ ถอนไม่เป็นหรอก ถ้าอ่อนช้อยก็พอได้ รับรองได้ว่าเด็กชุดนี้จะต้องจำว่า หลวงพ่อให้ถอนสายบัวแบบอ่อนโยน คงเอาไปสอนลูกสอนหลานด้วย บรรลัยกันหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-06-2012 เมื่อ 10:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 06-06-2012, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เชื่อ" มี เชื่อมือ เชื่อถือ เชื่อใจ เชื่อมือ..เจ้านายเชื่อว่าลูกน้องทำได้ เชื่อถือ..ลูกน้องให้ความเชื่อต่อเจ้านายว่า สิ่งที่สั่งมาหรือแผนงานที่กำหนดไว้ จะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะเจ้านายมีวิสัยทัศน์มากกว่า เราจึงเชื่อถือ เชื่อใจ..ทั้งเจ้านายและลูกน้องควรจะมีความเชื่อใจต่อกัน มิฉะนั้นแล้วงานจะไปไม่รอด ถ้าเราใช้งานเขาแล้วอย่าไประแวง ถ้าระแวงก็อย่าไปใช้เลย จะได้หมดเรื่องไป

สมัยก่อนส่วนใหญ่เวลาฮ่องเต้ใช้ลูกน้อง เผลอหน่อยเดียวก็ระแวงลูกน้องอีกแล้ว คนอยู่ใกล้ฮ่องเต้จึงรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้เสือ จะโดนกัดเมื่อไรก็ไม่รู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 11:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 06-06-2012, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าการเดินทางไปเมืองจีนว่า "กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเพราะความกลัวของคน ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกทั้งหลายล้วนแล้วแต่กลัวอาชญา กลัวการลงโทษ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย ต้องทุ่มทุนมหาศาลนับเป็นเงินประมาณไม่ได้ สร้างเครื่องป้องกันขึ้นมา

พออาตมาขึ้นไปถึงป้อมสูงสุดแล้วมองลงมา จะเห็นกำแพงเมืองจีนเลื้อยไปตามแนวเขา ชี้ให้โยมเขาดูว่าด้านบนที่เป็นเขาสูงไม่ได้สร้างกำแพงเลย เขาสร้างเฉพาะเนินเขาที่คาดว่าข้าศึกพอจะปีนข้ามมาได้ ส่วนบริเวณที่สูงชันเขาไม่ไปสร้างให้เสียเวลา ไม่ทราบว่าหมดงบประมาณไปเท่าไร หมดสิ้นชีวิตคนไปเท่าไร กว่าจะสร้างเสร็จขึ้นมา

กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นไปตามกรรมโดยแท้ บุคคลที่สร้างกรรมดีก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน บุคคลที่สร้างอกุศลกรรมทำชั่วไว้มาก ก็ต้องมานั่งอกสั่นขวัญแขวน ว่าเมื่อไรจะโดนเขาเบียดเบียน เมื่อไรเขาจะยกทัพมาตี ทหารที่ไปอยู่ประจำการตามป้อมก็เท่ากับสุดหล้าฟ้าเขียว ไปอยู่กันเป็นปี ๆ

แต่ระบบแจ้งข่าวสมัยนั้นเร็วมาก ใช้วิธีจุดไฟแจ้งข่าวศึก ป้อมที่อยู่ถัดไปมองเห็นเปลวไฟก็จะจุดต่อไปเรื่อย พักเดียวข่าวก็ข้ามกำแพงหมื่นลี้แล้ว พรรคพวกจะได้เตรียมตัวทัน

สมัยก่อนนั้นสิ่งที่เขาใช้จุดไฟเป็นขี้หมาป่า เขาว่ามีความชื้นสูงหรือมีคาร์บอนสูงก็ไม่รู้ จุดแล้วควันจะดำหนาทึบ เห็นไกลมาก ดังนั้น..คนนอกด่านจะอาศัยขี้หมาป่าจุดไฟเพื่อแจ้งข่าวศึก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 06-06-2012, 11:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การแจ้งข่าวศึกนั้น ถ้าเป็นระยะสั้นใช้วิธีเป่าเขาสัตว์ ระยะหลังชาวทิเบตปรับมาทำเป็นแตร มีขนาดยาวหลายวา คนเป่าจะต้องแรงดีจริง ๆ เป่าทีเสียงดังข้ามหุบเขาเลย คนที่ได้รับข่าวก็เป่าต่อ ๆ กัน

อย่างในท้องทะเลเขาใช้วิธีเป่าหอยสังข์เพื่อแจ้งข่าว ระยะหลังไม่ได้ใช้สังข์ในการส่งข่าวแล้ว แต่ใช้สังข์ในพิธีกรรมของพราหมณ์ พราหมณ์มีความเชื่อว่าสังข์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เดิมเชื่อว่าอสูรตนหนึ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในเปลือกหอย พระนารายณ์เลยจับอสูรบีบจนเป็นรูปนิ้ว จึงเชื่อกันว่าหอยสังข์เป็นรอยหัตถ์ของพระนารายณ์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นมงคล

แถวบ้านเราจะหาสังข์ที่เป็นอุตราวรรตได้ยากมาก อุตราวรรต คือ เวียนซ้าย เพราะโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นทักษิณาวรรต คือเวียนขวา คำว่า "อุตรา" หรือ "ทักษิณ" โบราณเขายึดว่าหันหน้าทางทิศตะวันออกเป็นหลัก ฉะนั้น..ถ้าเวียนขวาก็ไปทิศใต้ เวียนซ้ายก็ไปทิศเหนือ ทักษิณาวรรตก็เวียนไปทิศใต้ คือเวียนขวา ถ้าอุตราวรรตก็เวียนไปทางทิศเหนือ คือเวียนซ้าย เพราะเราหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออก

มีใครเคยเจอสังข์ที่เป็นอุตราวรรตบ้างไหม ? เขาว่าเป็นมงคล อะไรที่แปลกมักจะเด่นกว่าคนอื่น แต่พวกสัตว์ที่แปลก อย่างเช่น สัตว์เผือก เด่นเกินไปจึงกลายเป็นเป้าให้สัตว์อื่นโจมตี สัตว์เผือกที่เป็นโดยธรรมชาติตาจะแดงด้วย ถ้าตาไม่แดงก็แปลว่าขาว ไม่ใช่เผือก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 06-06-2012, 12:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครศึกษาเกี่ยวกับเส้นกราฟวิวัฒนาการ จะเห็นว่าเส้นกราฟวิ่งเป็นคลื่น มี ๒ เส้นวิ่งสวนกัน ก็แปลว่าต่อไปวิวัฒนาการเราจะเตี้ยลงเรื่อย ๆ พอถึงจุดต่ำสุด ก็จะเหมือนชาวญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกที่เขาเรียกว่า "ไอ้ยุ่น" เพราะตัวเตี้ยนิดเดียว ส่วนตอนนี้วิวัฒนาการของคนญี่ปุ่นก็สูงขึ้น ๆ

เพราะฉะนั้น..ที่คนไทยตัวเล็กกว่าฝรั่งเพราะมีวิวัฒนาการมาก่อน ตอนนี้วิวัฒนาการเรามาถึงตอนโค้งลงแล้ว อีกนานกว่าจะขึ้น ฝรั่งเองก็ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาเห็นฝรั่งตัวใหญ่ ๖ - ๗ ฟุต ปัจจุบันนี้อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร แต่ก็ยังสูงกว่าฝรั่งหลายคน เวลาเดินไปด้วยกันนี่สบาย เมื่อก่อนต้องแหงนคอมองเขา แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการเปลี่ยนไปเรื่อย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์สุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ มีนิมิตข้อหนึ่งว่า ต้นไม้ขึ้นสูงศอกเดียวก็ออกดอกออกผลแล้ว พระองค์ทรงพยากรณ์ว่า บรรดากุมารากุมารีจะมีคู่แต่เยาว์วัย สมัยนั้นคนจะมีอายุ ๑๐ ปีเป็นเกณฑ์ ถ้าอายุ ๑๐ ปีเป็นเกณฑ์ แสดงว่า ๒ ขวบก็คงแต่งงานแล้ว คงพิลึกน่าดูเลย

เราลองมานึกถึงช่วงพระศรีอาริยเมตไตรย สมัยพระองค์ท่านมีวิวัฒนาการสูงสุด ความสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของท่านนะ ไม่ใช่ศอกของเรา ที่เมืองจีนสร้างพระหลวงพ่อโตบนภูเขาหลิงซาน สูง ๘๘ เมตร คงสร้างไว้รอพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะสูง ๘๘ เมตรพอดี

ถึงเวลาพระศรีอาริยเมตไตรยจะไปประทับรอยพระบาทที่พระพุทธบาท ๔ รอย พอพระองค์ท่านเหยียบลงไปทีเดียว จาก ๔ รอยกลายเป็นรอยเดียวไปเลย เพราะรอยพระบาทของพระองค์ใหญ่ที่สุด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 06-06-2012, 12:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าองค์ใดบ้าง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากกุสันโธ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโกนาคมน์ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ เป็นพระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมีมา ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโคตมะ เป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป พระศรีอาริยเมตไตรยไม่เหมือนใคร เป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป สิ่งที่พระองค์ท่านทำก็เพื่อความสุขของบริวารทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีสวยมีอัปลักษณ์ มีรวยมีจน มีดีมีชั่ว ปนเปกันไป พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของพระองค์ท่านจะดี สวย รวย เสมอกันหมด ในเขตที่พระองค์ท่านประกาศพระศาสนา คนชั่วจะเข้ามาไม่ได้ อย่างเช่น ถ้าประเทศไทยเป็นเขตที่พระองค์ท่านประกาศพระศาสนา คนชั่วจะมาเกิดในประเทศไทยไม่ได้ หรือเกิดแต่เข้าประเทศไทยไม่ได้

แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะ นอกจากบริวารจะดี สวย รวย เสมอกันหมดแล้ว โลกในยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เจอคำสั่งห้ามเกิดชั่วคราว รอไปก่อน เช่นนั้นก็แปลว่าในภัทรกัปนี้มีสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนานที่สุด คือ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป เหนื่อยมากกว่าพระองค์อื่น เหนื่อยเพื่อบริวาร แต่ที่พระองค์ท่านยอมเหนื่อยเพราะว่าสบายตอนสอน เทศน์ทีเดียวเป็นพระอรหันต์กันหมดเลย ไม่ต้องเสียเวลามาไล่ต้อนกันนาน

คราวนี้ถ้าเป็นฆราวาสบรรลุก็ไปสบายก่อน ถ้าหากว่าเป็นพระเป็นเณรก็ต้องอยู่ไปตามอายุขัยของตน สงสัยอยู่อย่างเดียว ตอนนั้นไม่มีฆราวาสอยู่เลี้ยงแล้ว ไปกันหมดแล้ว พระคงอยู่ด้วยธรรมปีติกัน โลกยุคนั้นเขาว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ ใครอยากได้อะไรก็ไปสอยเอา

ถาม : สมัยนั้นยังมีการบวชพระหรือไม่คะ ?
ตอบ : ยุคนั้นเป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระพุทธเจ้าตรัสให้การอุปสมบทก็กลายเพศเป็นพระภิกษุ ต่อให้เป็นพระเพิ่งบวชใหม่ก็มีอาจาระดั่งพระเถระที่บวชมาได้ถึง ๑๐๐ พรรษา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 241 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 06-06-2012, 21:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่ภาวนา คิดว่าถ้าสมาธิดีเราก็จะได้พิจารณาต่อ แต่กลายเป็นว่าพอตอนสมาธิดีจริง ๆ จะแช่นิ่งไปเลย พิจารณาอะไรไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ตั้งใจไว้ก่อนภาวนาว่าเราจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง ตัวไหน อย่างไร ถึงเวลาแล้วจิตจะตัดเองโดยอัตโนมัติ เราจะสังเกตว่าเวลาคลายสมาธิออกมา ตัวที่เราตั้งใจว่าจะตัด จะเบาบางไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ให้ประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ด้วย ถ้าจิตอยากจะนิ่งก็ปล่อยให้นิ่ง ถ้าอยากจะคิดแล้วเราค่อยหาวิปัสสนาให้คิด แต่กำลังใจเราถ้าเราตั้งใจตัดตัวไหน ถึงเวลาจิตก็จะตัดเอง

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านที่ทำอารมณ์ตกศูนย์กลาง กับการภาวนาคาถาเงินล้านที่ทำอารมณ์เป็นฌาน ๔ ผลจะต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ลองดูสิว่าแบบไหนเงินจะไหลมาเทมา

ถาม : แต่หนูยังทำแบบตกศูนย์กลางไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปทำหรอก อะไรที่ลำบากสำหรับเราจะไปทำทำไม ? เราภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ คิดว่าเป็นหน้าที่ก็ภาวนาไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 06-06-2012, 21:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฏิบัติเน้นภาวนาจับลมหายใจ รู้ทั้งหมดในอวัยวะแทนพองยุบ อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..เพราะว่าจริง ๆ แล้วอะไรเกิดขึ้นเรารู้อย่างนั้น แต่ว่าในช่วงที่จิตถอนจากสมาธิมา ควรที่จะหาวิปัสสนาญาณเข้ามาคิด อย่างเช่นวิ่งเข้าไปหาไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังที่เราทำมาจะโดนดึงไปในด้านของรัก โลภ โกรธ หลง ให้สังเกตว่าถ้าเราหลุดออกมาจากสมาธิเมื่อไร เราจะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐานมากเลย เพราะกิเลสเอากำลังจากการภาวนาของเราไปใช้

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ถึงเวลาจิตสงบ เกิดสภาวะอะไร เรารับรู้ตามนั้น แต่ถ้าสมาธิเริ่มคลายตัวมาเมื่อไร ต้องรีบหาสิ่งดี ๆ มาคิด ไม่อย่างนั้นจะชวนคุณฟุ้งซ่าน สร้างวิมานในอากาศเป็นหลัง ๆ เลย

ถาม : เรากำหนดรู้ สภาพจิตที่นิ่งตลอด สามารถนับชีพจรตัวเองได้เลย
ตอบ : นับชีพจรตัวเองได้เป็นเรื่องปกติ ถ้าจิตเราละเอียด การรับรู้ก็จะละเอียดไปด้วย

ถาม : เรากำหนดแทนลมหายใจได้ ?
ตอบ : ก็ได้..แต่อย่าไปกำหนดจี้ลงที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ เพราะบางทีเราวางกำลังใจผิด ก็จะเป็นการขัดขวางการทำงานอวัยวะภายใน ระบบของอวัยวะภายในจะรวน ถ้ารวนหนักก็ถึงตาย..!

ถาม : ปล่อยตามสบาย ?
ตอบ : ตามสบาย เราจะไปดูที่พองยุบก็ได้ หรือดูอาการรูปที่ปรากฏในจิตก็ได้

ถาม : ถ้าเราเน้นการปฏิบัติ แต่เรายังอยากได้ลาภ ทรัพย์สินเงินทองทางโลกอยู่ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าสอนให้ประกอบสัมมาอาชีวะ อย่าลืมว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับนางวิสาขาท่านรวยจนนับเงินไม่ไหว ท่านก็ยังทำมาหากินเป็นปกติ ถ้าได้มาถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไปเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 06-06-2012, 21:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขออุบายไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ตอบ : ไม่ต้องใช้อุบายอะไรหรอก อย่าหลุดจากปัจจุบันตรงหน้าก็พอ ส่วนใหญ่ที่ฟุ้งซ่านกันเพราะหลุดจากตรงหน้าไป คิดถึงอดีตบ้าง คิดถึงอนาคตบ้าง บาลีว่า อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปหวนคำนึงถึงอดีต นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ ให้กำหนดสติรู้อยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น

เคล็ดลับมีนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำกันไม่ค่อยได้หรอก เพราะฟุ้งแล้วเพลินกว่า เขาหลอกให้เราใช้กำลังที่เราสั่งสมได้ไปฟุ้งซ่าน เหมือนกับเราเก็บเงินจะซื้อของสักอย่าง แล้วเขาก็หลอกให้เราซื้อของเล็กของน้อยไปเรื่อย จนเงินไม่พอสักที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 07-06-2012, 11:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่เพิ่งจะด่าคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไป เขาไปพิมพ์รูปสมเด็จองค์ปฐมมาอีกเยอะแยะ จะเอามาถวายให้อาตมาแจก บอกไปไม่เคยจำ..! สมเด็จองค์ปฐมไม่ใช่เพื่อนเอ็งนะ..นึกอยากจะทำรูปท่านเท่าไรก็ทำ คนที่รับไปถ้าไม่ศรัทธาก็พากันลงนรกไปอีก..!

พวกที่อยู่ไป ๆ แล้วเป็นกันเองกับพระพุทธเจ้า น่าจะลงไปอยู่ข้างล่างนาน ๆ เขาบอกอย่างชัดเจนมากว่าขออนุญาตพระท่านแล้ว อาตมาบอกว่าถ้าขออนุญาตแล้วก็ไม่ต้องเอามาทางนี้ อาตมาไม่อยากติดหลังแหไปด้วย

ปัจจุบันนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกินร้อยละ ๘๐ พอได้มโนมยิทธิแล้วก็มั่ว แต่ละรายเก่ง ๆ กันทั้งนั้น ถ้าใครอยากรู้ว่าเก่งอย่างไร ลองไปเข้าเว็บพลังจิตดู ล้วนแล้วแต่ระดับสุดยอดทั้งนั้น เก่งจนอาตมายอมกลัว ต้องถอยหนี เขารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องตัดกิเลสที่สำคัญที่สุดกลับไม่รู้..!

ความจริงแล้วอาตมาไม่อยากจะตำหนิญาติโยมอะไรหรอก แต่เรื่องของพระรัตนตรัยนั้นมีคุณอนันต์แล้วก็มีโทษมหันต์ เราทำถูกก็เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตัวเอง ถ้าเราทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะเป็นโทษใหญ่ขึ้นแก่ตัวเอง เพราะฉะนั้น..พวกเราที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ สภาพจิตควรที่จะละเอียดมากกว่านี้

สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ควรจะพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิด พูด ทำ นั้น เป็นไปโดยกุศลโดยส่วนเดียวหรือเปล่า ? หรือว่ามีอกุศลแฝงอยู่ ? จนกระทั่งกลายเป็นตัวถ่วงรั้งให้เราพ้นจากวัฏสงสารได้ยาก เพราะว่าสิ่งที่จะแฝงมานั้น ส่วนใหญ่เป็นมารที่พยายามจะขัดขวางไม่ให้เราหลุดพ้นโดยตรง

กลายเป็นว่า ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังจนตัวลีบมากขึ้นเท่านั้น กาย วาจา ใจ ทุกส่วนไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยต่อใคร สิ่งที่เราทำเป็นบุญแน่ ๆ เพราะเราตั้งใจที่จะสร้างรูปพระ แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้วกลายเป็นบาป เพราะเราปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ควรที่จะทำ

ลองนึกว่าถ้าเราบังเอิญได้เจอในหลวง แล้วเรากราบเรียนท่านว่า “ขออนุญาตสร้างรูปของท่านนะ” แค่นั้นจบ..สมควรไหม ? แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเท่าไร ไม่ใช่ว่าเราได้มโนมยิทธิ เราขออนุญาตท่านได้ ที่ว่าได้นั้น..เราขออยู่ฝ่ายเดียวหรือเปล่า ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 13:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 07-06-2012, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แก้วโป่งขามดีอย่างไรครับ ?
ตอบ : โบราณเขาถือตรงคำว่า "ข่าม" ภาษาเหนือแปลว่า อยู่ยงคงกระพัน เขาถือว่าชื่อดี เข้าใจแล้วหรือยัง ? เป็นมงคลเพราะชื่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 13:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 07-06-2012, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงพระนาคปรกรุ่น ๒ ว่า "ถ้าใครอยากให้พระนาคปรกสวยกว่านี้ ให้ไปจ้างเขาปิดทองแท้ ถ้าปิดทองแท้จะงามอร่ามเลย เพราะทองแท้สีจะสว่างใสกว่านี้มาก สมกับเป็นพญามุจลินท์นาคราช

นาคมีปกติชอบหลับ พญากาฬนาคราชหลับไปตื่นหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปองค์หนึ่ง พอถาดทองของพระพุทธเจ้าจมลงสู่บาดาล กระทบกับถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เสียงดังกริ๊ก “อะไร..นอนยังไม่ทันหายง่วงเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีกองค์แล้ว ?” ปลุกพระยานาคราชตื่นขึ้นมา เวลาของท่านนี่สุดยอด หลับไปตื่นหนึ่ง ก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง

แต่ท่านก็ขึ้นมาแสดงความยินดี นำบริวารนาควิกาขึ้นมาขับร้อง ประโคมดนตรีฟ้อนรำถวาย เหมือนพวกเราที่แสดงการรำถวายพระ คงเป็นประเภทตระกูลเดียวกัน มีการแสดงถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชาเหมือนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-06-2012 เมื่อ 16:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 07-06-2012, 12:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำงานธนาคารกับทำธุรกิจส่วนตัว อย่างไหนดีกว่าครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอง ไม่ต้องถามพระหรอก ไม่ต้องถามคนอื่น เดี๋ยวไปเจอหมอดูบอกว่าต้องไปสะเดาะเคราะห์ ก็จะเสียสตางค์อีก

เป็นลูกจ้างเขามั่นคงตรงรายรับ แต่ไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน ทำงานส่วนตัวมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่รายรับไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น..มีข้อบกพร่องทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลาถามพระหรือถามหมอดู ลุยไปเลย

ทำอะไรทุ่มเทให้เต็มที่แล้วทุกอย่างจะดีเอง ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเพราะว่าไปไว้วางใจให้ผู้อื่นทำแทน โดยเฉพาะในเรื่องของกิจการ ถ้าไม่มีนักบริหารมืออาชีพมาทำให้เราก็แย่ คนอื่น ๆ เขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ ในเมื่อขาดสำนึกความเป็นเจ้าของ เขาก็ไม่ทุ่มเทเหมือนกับที่ตัวเราทำ แล้วผลสุดท้ายก็เละจนได้

แต่ผู้บริหารมืออาชีพส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แม้เขาไม่พอใจแนวคิดของเรา แต่ถ้าเขาเป็นลูกจ้าง เขาเต็มใจทำให้ ถามว่ามีจุดบกพร่องไหม ? มี..เพราะว่าผู้บริหารที่เราจ้างมา พอไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าเขาขาดพลังในการสนับสนุนก็ไปต่อไม่ได้ ความคิดมี งบประมาณไม่มี ก็ไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันเจ้าของกิจการมีงบประมาณ แต่ความคิดไม่มี ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องเกื้อกูลกันถึงจะไปรอด ยกให้แค่ฝ่ายเดียวไปไม่ได้ สรุปว่าตัดสินใจเองว่าจะเลือกทำแบบไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 13:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 07-06-2012, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราคิดว่าเราอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ก็ถือว่าเราเป็นมืออาชีพในสาขานั้น ถ้าเจ้านายคนไหนเข้าใจคนอย่างเรา เราก็ทำงานกับเขาได้ ต่อให้ทะเลาะกันทุกวันก็ทำงานกับเขาได้ อาตมากับเจ้านายทะเลาะกันทุกวันเลย เจ้านายเขาสั่งมาแล้วอาตมาเห็นว่าไม่เข้าท่าก็เถียง คราวนี้ก็ต้องสู้กันด้วยเหตุด้วยผล บางทีเจ้านายเขาไม่เข้าใจที่เราไม่ตามใจเขา อาตมาเองก็บอกเจ้านายไปว่าตามใจไม่ได้ เพราะถ้างานพังอาตมาก็เสียด้วย

สมมติว่าทำงานธนาคาร บริหารธนาคารล่มไป ต่อไปใครจะมาจ้างเรา ? ก็เลยต้องผูกขาติดกัน อาตมากับเจ้านายทะเลาะกันทุกวัน แต่พอถึงเวลาที่อาตมาลาออก เขาบอกว่าอยู่ทำงานกับเขาต่อไปเถอะ แสดงว่าเจ้านายค่อนข้างชอบความเจ็บปวด ชอบความรุนแรง เจอลูกน้องประเภท "ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน" ไม่ยอมเอา

ตอนนี้กำลังขยายวิธีคิดทางโลก ๆ แบบนี้ ให้กับพระนิสิตที่อาตมาสอนอยู่ ให้เขารู้วิธีการคิดที่มองในลักษณะบูรณาการ คือรอบด้าน เพราะส่วนใหญ่คนเราจะคิดแง่เดียว คิดจะทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง ลงทุนแค่นี้ ทำไประยะเวลาแค่นี้ มีผลกำไรแค่นี้ ถึงเวลาสิ้นเดือนปิดงบฯ ต้องมีรายรับประมาณแค่นี้ หนึ่งปีมีแค่นี้ ถ้าคิดแค่นี้จบแล้ว ส่วนใหญ่เจ๊ง ๙๙.๙๙%

พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง รายรับที่เราไปคิดว่าวันหนึ่งได้ ๑๐๐ บาท เดือนหนึ่งได้ ๓,๐๐๐ บาท ปีหนึ่งก็ได้ ๓๖,๐๐๐ บาท นั่นเราคิดแบบเที่ยง ก็แสดงว่าเราคิดผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าเกิดวันหนึ่งดันได้ไม่ถึง ๑๐๐ บาท ซ้ำยังติดลบไป ๑๐๐ บาท แล้วเราจะทำอย่างไร ? คราวนี้เห็นหรือยังว่าต้องคิดไปในด้านไหนบ้าง ? ไม่ใช่คิดแต่ทางได้อย่างเดียว ต้องคิดในทางเสียด้วย

คราวนี้คิดในทางได้ ต้องคิดวางแผนด้วยว่า เราต้องทำอย่างไรเราถึงจะได้อย่างนั้น ถ้าคิดในทางเสียก็ต้องคิดวางแผนด้วยว่า ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขเหตุการณ์นั้นได้ เห็นหรือยังว่าต้องคิดอย่างไรบ้าง ? นี่แค่แนวคิดที่ไม่กว้างพอ ยังไม่รอบด้านเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 13:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 07-06-2012, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากเราปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง การที่เราคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จนกระทั่งเห็นสภาพความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น จะเข้าไปสู่ลักษณะ สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนัตตา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้คลุมโลกหมดแล้ว ในเมื่อคลุมโลกหมด ความคิดอื่นก็ไม่หลุดไปจากนี้หรอก เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่ามนุษย์โลกเราสามารถบัญญัติเป็นวิชาการไปทำด็อกเตอร์ ไปทำศาสตราจารย์กันให้ยุ่งไปหมด

ถึงได้ชอบใจหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเรียกพระพุทธเจ้าว่า "ด็อกเตอร์สรรพศาสตร์" เพราะพระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกเรื่อง พวกนั้นรู้แค่เรื่องเดียวก็เป็นศาสตราจารย์ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกเรื่อง ซึ่งให้ตำแหน่งอะไรท่านไม่ได้ มีตำแหน่งเดียวคือตำแหน่งสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งคนอื่นเป็นแทนไม่ได้

แต่ถ้าพอพูดอย่างนี้พวกเราเกิดความไม่มั่นใจ กลายเป็นไม่กล้าทำ ไม่กล้าเสี่ยง อยากจะบอกว่าทุกอย่างต้องเสี่ยง กินข้าวยังต้องระวังเลยว่าจะติดคอตายหรือเปล่า ในเมื่อกินข้าวยังต้องระวัง งานอื่นจะไม่ให้มีความเสี่ยงเลยชีวิตนี้คงน่าเบื่อตายชัก สมัยก่อนอาตมาตัดสินใจ ๘๐ % ถึงทำ พอทำไป ๆ ๗๐ % ก็ได้ ๖๐ % ก็ได้ ๕๐ % ก็ได้ ตอนนี้เหลือแค่ ๑ % มีอุปสรรค ๙๙ % ให้ลุยจะชอบมาก สะใจดี ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้นี่ สนุกเป็นบ้าเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 18:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 07-06-2012, 15:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ต้องอย่างนี้ การที่เราสู้กับกิเลส โอกาสชนะกิเลสแทบจะมองไม่เห็นประตูเลย เหมือนกับเอาค้อนและสิ่วไปสกัดเขื่อน ชาตินี้เขื่อนจะพังไหม ? แต่ถ้าไม่ลองทำแล้วจะรู้ไหมว่าเขื่อนแข็งแรงจริงหรือเปล่า ? สมมติว่าเราประเมินตัวเองว่ามีอายุไม่จำกัด เราก็ตอกสิ่วไปเรื่อยวันละนิดวันละหน่อย เขื่อนจะพังไหม ? พัง..! ถ้าเรามีเวลาไม่จำกัดเขื่อนต้องพัง

แต่คราวนี้เวลาเราจำกัด เราก็ต้องใช้กำลังใจที่ไม่จำกัด ก็คือ ต้องทุ่มเทสติ สมาธิ ปัญญาทั้งหมดอยู่ตรงนั้น เอามาทดแทนระยะเวลาที่จำกัด ในเมื่อเราทุ่มเทส่วนนั้นไปอย่างเต็มที่ ผลงานก็ต้องมี เวลาเราน้อยไปสกัดอย่างนั้นไม่ได้ เราก็ใช้ระเบิดไดนาไมต์หรือไม่ก็พาวเวอร์เจล ยัดเข้าไปสิ มีปืนใหญ่ มีรถถัง ถล่มเข้าไป ดูสิจะพังไหม ?

ในแง่ของการปฏิบัติธรรมก็ต้องอย่างนั้น กำลังใจของคุณต้องมุ่งจุดเดียว เมื่อมุ่งจุดเดียว ถึงเวลาเจาะไปเรื่อยเดี๋ยวก็ทะลุเอง ส่วนใหญ่พวกเราเจาะ ๆ ไปเรื่อย “ไม่ไหว..ตรงนี้แข็งจัง..ย้ายที่ใหม่ดีกว่า” ย้ายที่ใหม่คือคุณต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ตอกไปอีกเสียหน่อยหนึ่ง ๓ - ๕ วัน “ไม่ได้เรื่องเลย..ตรงนี้ก็แข็ง ย้ายที่ใหม่ดีกว่า” แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะสำเร็จ..! ต้องที่เดียว ประเภทสู้กันหัวชนฝา ถ้าฝาไม่แตกฝาไม่พัง ก็ให้หัวแตกกันไปเลย

ส่วนใหญ่พวกเราเป็นไฟไหม้ฟาง แหย่เข้าหน่อยค่อยมีไฟ ลับหลังเดินไปได้แค่สามก้าวก็หมดไฟอีกแล้ว สมควรตายจริง ๆ เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 18:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว