กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-01-2015, 20:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ๕-๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗

โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ๕-๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗


วันนี้ใครได้บริจาคเลือดบ้าง ? ...(ยกมือ)... หลายคนเหมือนกันนะ ท่านเหล่านี้ถ้าตั้งใจไปพระนิพพานชาตินี้มีโอกาสแน่ ถ้าตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าก็มีโอกาสสำเร็จเหมือนกัน เพราะว่าการให้เลือดนั้นเป็นการบริจาคส่วนหนึ่งของชีวิตเราให้แก่ผู้อื่นเขา ถ้าหากว่าทำโดยไม่กลัวตาย ขอใช้คำว่าไม่กลัวตายนะ เพราะว่าหลายท่านโดนความตายหลอกหลายชั้น จนไม่รู้ว่าตัวเองกลัวตาย

กลัวเลือด..เห็นเลือดไม่ได้ ถ้าเลือดออกมาก ๆ เป็นอย่างไร ? ...ตาย... กลัวเข็ม..ถ้าหากว่าเข็มแทงถูกที่เหมาะ ๆ ...ตาย... อาตมาตามดูคำว่าตายอย่างเดียว ตามดูอยู่เป็นปี ๆ อยากรู้ว่ากลัวอะไรกันแน่ ? ท้ายสุดก็สรุปลงได้ว่า ความกลัวทุกอย่างมาจากการกลัวตาย

นักปฏิบัติที่ดีถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียว โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล หรือว่าสำเร็จในจุดมุ่งหมายที่ตนปรารถนาก็จะมีมาก แล้วอีกอย่างหนึ่ง เราเองก็ตั้งใจบริจาคโลหิตเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ถือว่าเป็นการแสดงกตเวทีแก่พระองค์ท่าน ๖๐ กว่าปีที่พระองค์ท่านทรงงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ทราบว่าเสียเหงื่อไปเท่าไร ของพวกเราตอบแทนด้วยเลือด ๓๐๐ ซีซี แม้ว่าจะทดแทนกันไม่ได้ก็เถอะ แต่ว่าให้ทำเข้าไว้

บุคคลตลอดถึงเทวดาและสัตว์ทั้งหลายจะสิ้นชีวิตต่อเมื่อ ๑. อายุขัย คืออายุสิ้นสุดลง ๒. อาหารขัย หมดอาหารหรืออาหารสิ้นสุดลง ๓. ปุญญขัย สิ้นบุญหรือบุญหมด ๔. กัมมขัย คือสิ้นกรรม ถ้าถามว่าสิ้นบุญแล้วตายพอเข้าใจ แล้วสิ้นกรรมแล้วตายนี่เป็นอย่างไร ? ถ้ากรรมไม่สิ้นอย่างไรก็ตายไม่ได้

มีลูกศิษย์พระสารีบุตรอยู่ท่านหนึ่ง สามารถที่จะกินข้าวได้ไม่เกินวันละ ๗ เม็ดข้าวสุกเท่านั้น มีสภาพเหมือนกับเปรตหรืออสุรกาย ถึงเวลาก็ตะเกียกตะกายไปตามบ้านเขา ให้หิวไส้ขาดขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องไปหาเศษอาหารที่เขาล้างภาชนะแล้วสาดทิ้งเอาไว้ จะเก็บเมล็ดข้าวกินได้ไม่เกิน ๗ เม็ดเท่านั้น ต่อให้มีมากกว่านั้นก็ไม่สามารถที่จะกินได้เพราะถ้าครบ ๗ เม็ดเมื่อไรอาหารเหล่านั้นจะหายไปหมดทันที

ปรากฏว่าต้องทนลำบากอยู่อย่างนี้ ๒๐ กว่าปี จนกระทั่งพระสารีบุตรไปพบเข้า จึงชวนมาบวช เมื่อบวชแล้วท่านเองเห็นทุกข์เห็นโทษจึงตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก ท่านก็เลยบรรลุอรหันต์ในวันนั้น เพราะพระสารีบุตรบอกว่า “อาวุโส..เธอจงอยู่ปฏิบัติธรรมเถอะ เราจะบิณฑบาตมาเลี้ยงเอง” เพราะไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้มาก็ไม่เกิน ๗ เม็ด ปรากฏว่าเมื่อพระสารีบุตรเอาอาหารมาให้ อาหารเต็มบาตรเลย แต่ท่านมองไม่เห็นเพราะกรรมบังอยู่ พระสารีบุตรต้องเอามือจับบาตรไว้ท่านถึงเห็น กินอาหารได้เต็มท้องมื้อเดียวในชีวิต แล้วก็เป็นพระอรหันต์วันนั้น ตายวันนั้น นี่คือไม่หมดกรรมอย่างไรก็ต้องอยู่ชดใช้กรรม..จะตายไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2015 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-01-2015, 20:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์ท่านสร้างบุญสร้างกุศลมหาศาล แต่สร้างเพื่อพวกเราทั้งประเทศ ต่อให้คนมีเงินเยอะขนาดไหนก็ตาม ตีเสียว่ามีเงินหกพันล้านบาทก็แล้วกัน ถ้าหากว่าแบ่งให้คนไทยหกสิบกว่าล้านคนได้เท่าไร ? ก็แค่คนละไม่กี่บาท พระองค์ท่านก็ไม่ทราบว่าจะบุญหมดเมื่อไร พวกเราก็สร้างบุญสร้างกุศลอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลไป พูดง่าย ๆ ว่าบังคับในหลวงให้อยู่นาน ๆ สักวันกรรมส่วนนี้จะสนอง..! พวกเราไม่รู้หรอกว่าคนแก่อายุ ๘๘ เวลาอยู่นาน ๆ ลำบากแค่ไหน หายใจยังเหนื่อยเลย อาตมาก็ทำมาแล้ว คาดว่าจะโดนกรรมสนอง ฉะนั้น..อยู่เป็นเพื่อนกันไปก่อน

ในส่วนนี้ที่เราให้เลือด ก็ถือว่าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมในลักษณะตัดชีวิต ป็นการใช้ผลของการปฏิบัติในชีวิตจริงเลย ส่วนท่านที่ไม่ได้ให้ อาจจะเป็นเพราะมีโรคประจำตัว กินยาบางอย่างที่ให้เลือดไม่ได้ หรือว่าให้ไปแล้วยังไม่ครบ ๓ เดือน หรือน้ำหนักน้อยเกินไปอะไรก็ตาม นั่นก็ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ของเขาที่ให้เลือดไม่ได้ แต่ถ้าใครไม่ได้ให้เลือดเพราะกลัว จะด้วยสาเหตุอันใดอันหนึ่งก็ตาม ลองพยายามเสียใหม่

ถ้าตราบใดที่เรายังกลัวตายอยู่ โอกาสที่เราจะปฏิบัติธรรมแล้วได้ดีก็จะเป็นศูนย์ เนื่องจากว่าการปฏิบัติเราจะผ่านการทดสอบต่าง ๆ ที่ต้องตัดใจว่า “ตายเป็นตาย” ถ้ายังไม่ถึงตรงนี้ โอกาสที่จะเอาดียาก ฉะนั้น..แม้กระทั่งเรื่องปกติทั่วไปอย่างเช่นว่าให้เลือด เรายังไม่สามารถจะตัดใจได้ โอกาสที่เราจะตัดใจว่าตายเป็นตายก็เป็นไม่ได้เช่นกัน

ที่กล่าวมานี้ไม่ได้ตำหนิพวกเรา แต่ชี้ข้อบกพร่องให้เห็น แล้วก็ไปแก้ไขเสียใหม่ อาตมาตั้งแต่เด็กกลัวเข็มมาก ถึงเวลาจะฉีดวัคซีน จะปลูกฝี หนีเตลิดเปิดเปิง จนกระทั่งครูต้องจับตัวมาให้ฉีดหรือว่าปลูกฝี โดนเข็มเมื่อไรเป็นลมเลย แล้วทำไมตอนนี้นั่งดูเขาได้หน้าตาเฉย ? หมอจะจิ้มสักกี่เข็มก็เชิญ โดยเฉพาะมีเวรมีกรรมเรื่องฟัน จะผ่าฟันคุดก็โดนจิ้มซ้ายจิ้มขวา บางทีโดนจิ้มเหงือกไป ๑๐ กว่าเข็ม อาตมาก็ปล่อยให้หมอทำได้หน้าตาเฉย เนื่องเพราะว่าปฏิบัติธรรมแล้ว คำว่ากลัวตายค่อย ๆ จางลง ในเมื่อเราไม่กลัวตายเสียแล้ว ความกลัวอย่างอื่นก็พลอยน้อยลงไปด้วย

ฉะนั้น..จึงยืนยันกับพวกเราได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้ามีความก้าวหน้าขึ้น ความกลัวตายจะลดน้อยถอยลง ในเมื่อเรารู้ว่าข้อบกพร่องของเราอยู่ตรงนี้ ก็พยายามกัดฟันสู้ เกิดเป็นคนแล้ว วายเมเถว ปุริโส คำว่า "ปุริโส" คำนี้ไม่ได้แปลว่าผู้ชาย หากแต่แปลว่าคน “เกิดเป็นคนต้องพยายามอยู่ร่ำไป” ไม่อย่างนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ต่อให้ทดลองล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องลองครั้งต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เราหายกลัวตายแล้ว จะทำอะไรได้สนุกสนานกับชีวิตอีกมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-01-2015 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-01-2015, 20:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “การอยู่กับคนที่บารมียังพร่องอยู่ จำเป็นที่จะต้องอดทน”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-01-2015 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-01-2015, 19:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ช่วงบ่ายพระต้องลงปาฏิโมกข์ การฟังพระปาฏิโมกข์ก็คือไปทวนศีลของตนเอง ศีล ๒๒๗ ข้อว่ามีอะไรบ้าง แต่ละอุทเทส แต่ละนิเทส ก็คือแต่ละบทแต่ละตอน บาลีท่านจะถามต่อท้ายว่า ตัตถายัสมันเต ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา ขอถามว่าท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในสิกขาบทเหล่านี้แล้วหรือ ? ทุติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา แม้วาระที่สองก็ขอถามว่า ท่านบริสุทธิ์แล้วหรือ ? ตะติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา แม้วาระที่สามก็ขอถามว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในสิกขาบทเหล่านี้แล้วหรือ ? เวลาทวนไปจะได้รู้ว่าศีลของเราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ถ้าไม่บริสุทธิ์ก็แสดงคืนอาบัติ คือสารภาพกับเพื่อนพระว่าเราไปทำอะไรผิดมา

เพื่อนพระท่านก็ถาม ปัสสะสิ อาวุโส ตา อาปัตติโย ดูก่อน..ผู้มีอายุ ท่านเห็นซึ่งอาบัตินั้นแล้วหรือ ? แปลไทยเป็นไทยก็คือเอ็งรู้แล้วใช่ไหมว่าผิด ? คนปลงอาบัติก็ตอบว่า อุกาสะ อามะ ภันเต ปัสสามิ กระผมเห็นซึ่งโทษนั้นแล้วครับ พระท่านก็จะต่อว่า สาธุ สุฏฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ ดีแล้วท่านผู้มีอายุ ต่อไปจงสำรวมระวัง ก็เท่ากับว่าเป็นการตักเตือนตัวเอง แล้วให้เพื่อนพระช่วยเตือนด้วย

มีการปฏิญาณตนว่า นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้อีก นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่พูดอย่างนี้อีก นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่คิดอย่างนี้อีก ก็แปลว่าแม้แต่คิด หรือพูด หรือทำให้ศีลขาด จะไม่มีสำหรับเรา นี่คือการลงทวนพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-01-2015 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-01-2015, 19:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระมหากัปปินนะเป็นพระมหากษัตริย์ ออกบวชด้วยศรัทธามาก ได้ยินพ่อค้าต่างแดนที่ไปค้าขายในประเทศของตนกล่าวว่า “พุทโธ โลเก อุปปันโน ขณะนี้พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก” ได้ยินแล้วปีติจนสลบไปเลย ฟื้นขึ้นมาถามว่า “พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วแน่หรือ ?” พ่อค้าตอบว่า “เกิดขึ้นแล้ว แม้แต่พระธรรมก็เกิดขึ้นแล้ว” ได้ยินก็เป็นลมไปอีกรอบหนึ่ง ฟื้นขึ้นมาถามใหม่เพื่อความแน่ใจว่าพระพุทธ พระธรรมเกิดขึ้นในโลกแล้วแน่หรือ ? พ่อค้าตอบว่า “เกิดขึ้นแล้ว แม้แต่พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นแล้ว” ได้ยินก็เป็นลมไปอีกรอบหนึ่ง ถ้าทนฟังอีกหน่อยก็เป็นลมแค่รอบเดียว

ในเมื่อปีติยินดีอย่างนั้นแล้วทำอย่างไรต่อละ ? ประกาศบอกบรรดาเสวกามาตย์ทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าขอสละซึ่งราชสมบัติ พวกท่านทั้งหลายจงปกครองไปเถอะ ข้าพเจ้าจะไปบวช” ว่าแล้วก็โดดขึ้นม้าไปแน่บเลย บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลายก็ประกาศบอกว่า “พระเจ้าแผ่นดินของเราสละราชสมบัติแล้ว ใครคิดจะครองก็จงถือเอา พวกเราก็จะตามเสด็จไปบวช” ว่าแล้วก็ขี่ม้าไล่ตามไปเลย บรรดาเด็กในวังวิ่งไปทูลพระราชินี “พระแม่เจ้า บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวและบรรดาข้าราชบริพารหนีไปบวชหมดแล้ว ขอพระแม่เจ้าจงครองราชสมบัติเถอะ” พระราชินีตรัสว่า “ใครจะครองก็จงครองไป แม้เราก็จะไปบวชบ้าง” ว่าแล้วก็ขึ้นม้าไล่ตามไป บรรดานางสนมกำนัลก็ไม่มีใครเอาราชสมบัติ ไปบวชกันหมดเกลี้ยงเลย เป็นอันว่ารัฐบาล คสช.พังกระจาย..!

เมื่อบวชแล้วปฏิบัติไม่นานพระองค์ท่านก็สำเร็จพระอรหันต์ วันนั้นท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมอยู่ในป่า ถามว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังต้องพิจารณาธรรมหรือ ? ต้องบอกว่าพิจารณาเพื่อความมั่นใจและอยู่สุข คือให้เห็นชัด ๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีแก่นสาร เราไม่ต้องการแน่ ๆ แล้ว พอดีเห็นว่าพระจันทร์เต็มดวง ช่วงคืนพระจันทร์เต็มดวงนี่บางทีเขาเรียกว่า “พระจันทร์ชิงดวง” เพราะว่าพระจันทร์จะขึ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินสนิท

พระมหากัปปินนะก็รำพึงว่า “วันนี้พระจันทร์เต็มดวง จะต้องลงอุโบสถเพื่อฟังพระปาฏิโมกข์ แต่ว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องไปก็ได้” เพราะว่าพระอรหันต์นี่อย่างไรก็ไม่ทำผิดศีลโดยเจตนาอยู่แล้ว ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบความคิด พระองค์ท่านอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร พระมหากัปปินนะอยู่ในป่าโน่น พระองค์ก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีไปปรากฏเฉพาะหน้า เหมือนกับพระองค์ท่านเสด็จไปเอง แล้วตรัสว่า “ดูก่อน..กัปปินนะ ถ้าภิกษุทั้งหลายล้วนแต่คิดแบบเธอ ศาสนานี้จะตั้งอยู่ได้อย่างไร ?” สรุปว่า แม้แต่พระอรหันต์ก็ต้องลงฟังพระปาฏิโมกข์ เพื่อทบทวนศีลของตนเองทุกกึ่งเดือน คือทุก ๑๕ วัน พวกเราเคยทวนศีลตัวเองบ้างหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2015 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 04-01-2015, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยอาตมาปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ จะมาไล่ดูข้อที่ ๑ ฆ่าสัตว์ วันนี้เราฆ่าอะไรไปหรือเปล่า ? ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนาหรือเปล่า ? เตะหมาเตะแมวไหม ? ถ้าไม่มี เอ้า..ศีลข้อนี้ของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ ๒. ได้ลักทรัพย์ หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้หรือเปล่า ? ๓. ได้ประพฤติผิดในกาม ล่วงละเมิดสิ่งที่เขารัก คนที่เขารักหรือเปล่า ? ๔. ได้โกหกหลอกลวงผู้อื่นเพื่อให้ผลประโยชน์ตกสู่ตนเองหรือเปล่า ? ๕. ได้ดื่มสุราเมรัยหรือเสพยาเสพติดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่า ?

ถ้าหากว่าข้อไหนขาด อย่างเช่นว่า วันนี้ยิงนกไป ๑ ตัว ตกปลาไป ๓ ตัว แม้จะเอามากินก็เถอะ ถือว่าเราทำผิดศีลอย่างแน่นอน ก็ตั้งใจว่า..ขึ้นชื่อว่าการที่ทำให้ศีลขาดเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก แล้วก็ตั้งใจสำรวมระวังในศีล จะทวนอย่างนี้อยู่ทุกวัน

เมื่อทวนศีลจนมั่นใจแล้ว ก็มาดูต่อว่าร่างกายของเรานี้มีอะไรดีหรือเปล่า ? เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นแก่นสารได้ ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ แล้วยังมีแต่ความสกปรกให้เราต้องชำระล้างอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ ก็ตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายเช่นนี้เราไม่ต้องการอีก การปฏิบัติทั้งหมดของเราที่กระทำนี้ ก็เพื่อหลุดพ้นจากร่างกายนี้ไปสู่พระนิพพานเท่านั้น เมื่อพิจารณาจนสภาพจิตมั่นคงดีแล้วก็เริ่มภาวนาต่อ

ก็แปลว่าทวนศีล พิจารณาร่างกายนี้ว่าหาความดีไม่ได้ ท้ายสุดก็เริ่มต้นหนีด้วยการภาวนา เคยทำอย่างนี้กันบ้างไหม ? อาตมาทำมาตั้งแต่อายุ ๑๖ ตอนหลังพออ่านตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงบ้าง ได้ฟังคำสอนบ้าง หลวงพ่อท่านก็สอนลักษณะอย่างนี้ กลายเป็นว่าสิ่งที่อาตมาทำบางอย่างก็ลงตัวโดยอัตโนมัติ ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ดี สิ่งที่เราทำ แม้ว่าจะโดยบังเอิญหรือไม่บังเอิญ ก็เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ ท่านสั่งสอน อาตมาก็เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาจริง ๆ เราเดินมาถูกต้องตามแนวที่โบราณาจารย์ยึดถือ โบราณาจารย์ท่านก็นำความรู้เหล่านี้มาจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนและถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา

ฉะนั้น..พวกเราที่มาปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง ที่อาตมาบอกกล่าวกับพวกเราไปก็ดี สนทนาธรรมก่อนการปฏิบัติก็ดี ส่วนใหญ่แล้วเป็นประสบการณ์ที่พบมาด้วยตัวเองจริง ๆ ในเมื่อพบมาด้วยตัวเองก็พยายามทิ้งสิ่งที่ยาก บอกสิ่งที่ง่าย ๆ กับพวกเราทุกครั้ง ถ้าใครปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ก็จะเห็นว่ามีสิ่งที่ซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ กันอยู่แค่ไม่กี่อย่าง แต่ว่าวิธีการปฏิบัติ กว่าจะเข้าถึงตรงจุดนั้น มีหลากหลายจนนับไม่ถ้วน จนกระทั่งท้ายสุด..เมื่อปฏิบัติตามแนวกรรมฐาน ๔๐ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงได้เมตตาสั่งสอนไว้ ก็สรุปความออกมาเหลือแค่ประมาณที่นำพวกเราปฏิบัติตอนเช้ามืด ถ้ารู้จักพิจารณาแยกแยะ ก็จะเห็นว่ากรรมฐาน ๔๐ กองอยู่ในนั้นหมดเลย เพียงแต่เราจะแยกแยะออกหรือไม่เท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-01-2015 เมื่อ 21:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-01-2015, 19:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นต้องการ “คนจริง” คนจริงสมัยโบราณเขาเรียกว่านักเลง จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ให้เป็นคนจริงเข้าไว้ เพราะว่าธรรมะเป็น “ของจริง” ถามว่าจริงอย่างไร ? จริงจัง จริงใจในการปฏิบัติ ตั้งใจคิดเพื่อความดีจริง ๆ ตั้งใจพูดเพื่อความดีจริง ๆ ตั้งใจทำเพื่อความดีจริง ๆ ค่อย ๆ สั่งสมความดีไป ระยะแรกเริ่มเหมือนอย่างกับไม่เห็นหน้าเห็นหลัง ทำเท่าไรก็ไม่ได้อะไรเลย น่าท้อถอย น่าเบื่อหน่าย ถ้าคิดแบบนี้พวกเราจะไปไม่รอด

อาตมาเองภาวนาครั้งแรก ๆ มุ่งจะเอาเพียงปฐมฌานเท่านั้น ปรากฏว่าวางกำลังใจเกิน ทำไปทำมาวันหนึ่งก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว ไม่ได้อะไรเสียที แต่ทำ..ทำเพราะมั่นใจว่าสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมานั้นจริงแท้แน่นอน ถ้าเราทำแล้วไม่ได้ก็มี ๒ อย่าง หนึ่งก็คือทำขาด สองก็คือทำเกิน ปรากฏว่าอาตมาทำเกิน...๓ ปีไม่ได้อะไรเลย เป็นพวกเราก็เลิกไปตั้งแต่ ๓ วันแรกแล้ว..!

หลายท่านพยายามฝึกกสิณ อาตมาแอบดูแล้วก็ขำ ๆ ตั้งใจมอง ๆ ฝึก ๆ จับภาพพระไป บางคนก็ได้ไม่กี่นาที..เลิก บางคนก็ได้ไม่กี่ชั่วโมง..เลิก บางคนก็ได้ไม่กี่วัน..เลิก ไม่จริงสักคน แล้วจะเอาดีได้อย่างไร ? อาตมาปฏิบัติเพื่อปฐมฌาน ๓ ปี ไม่มีสิ่งตอบแทนเลย แต่ไม่เลิก อย่างไรก็ต้องเอาให้ได้ เพียงแต่ว่าวันนั้นกำลังใจเบื่อเต็มทีแล้ว ทำมา ๓ ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้อะไรสักที จะได้ไม่ได้ช่างหัวมัน เราภาวนาไปก็แล้วกัน โป๊ะเดียวได้ตรงนั้นเลย ก่อนหน้านั้นกำลังใจเกินต้องการ พอกำลังใจพอดีกับที่ต้องการ ต่อไปทำอะไรก็ใช้กำลังใจแค่นั้น สิ่งที่เราต้องการก็จะไหลมาเทมาเอง

ดังนั้น..ใครทำแล้วยังไม่ได้ อย่าเพิ่งท้อถอย อาตมาแค่ก้าวแรกใช้เวลา ๓ ปี เริ่มต้นปฏิบัติแบบทุ่มให้ทั้งตัวตอนอายุ ๑๖ ปี ตอนนี้ ๕๕ ปี ไม่กี่ปีหรอก รับรองว่าก่อนพวกเราเกิดหลายปี หลายคนเกิดไม่ทันแน่นอน ขอให้ทุกคนค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ สะสมไป ระยะแรกเริ่มจะเหมือนกับไม่มีอะไร แต่ความดีของเราที่สะสมตัวอยู่เหมือนน้ำทีละหยด สะสมไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เต็มถัง เต็มถังเทใส่โอ่งไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เต็มโอ่ง เพียงแต่ต้องอดทน จริงจัง ไม่ท้อถอย

อย่าลืมโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้า อาตมาย้ำแล้วย้ำอีก พระองค์ท่านขึ้น ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา คำแรกที่ทรงตรัสคืออดทน ถ้าความอดทนไม่เพียงพอ ก็ไม่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2015 เมื่อ 20:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 05-01-2015, 11:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเดินทางกลางคืนจนหลงมาเยอะแล้ว กลางวันเราจะเห็นภูมิประเทศเป็นอย่างหนึ่ง กลางคืนจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนตอนฝึกเดินป่า ครูเขาสอนนักสอนหนาว่า “ก่อนมืดให้มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ บริเวณนั้นจนจำขึ้นใจ ไม่อย่างนั้นแล้วพอถึงเวลากลางคืนมืด ๆ เรามักจะหลอนตัวเอง” สิ่งที่เราเคยเห็นก็กลายเป็นสิ่งที่จะมาทำร้ายเรา เป็นต้น

โดยเฉพาะถ้าธุดงค์ในป่า เคยได้ยินเสียงแปะ ๆ เลยไปคิดที่โบราณเขาบอกว่า ผีกองกอยกระโดดตีนเดียว เสียงดังแปะ ๆ พระที่ท่านไม่รู้ก็กลัวกันอย่างชนิดหัวหด ท้ายสุดอาตมาก็สงสัยว่า "โดดอยู่ได้..ทำไมไม่ไปไหนสักทีวะ ?" ก็เลยเปิดกลดออกไปส่องไฟดู ปรากฏว่าพอดึก ๆ แล้วน้ำค้างตกกระทบใบไม้แห้งที่พื้น เสียงดัง แปะ ๆ ก็จินตนาการเป็นผีกองกอยกำลังกระโดดตีนเดียวอยู่

โปรดอย่าหัวเราะ เจอเองนี่หัวเราะไม่ออกแน่นอน ดีไม่ดีจับไข้หัวโกร๋น ไม่ต้องโกนหัวไปตลอดชีวิตเลย กลางคืนเงียบ ๆ เสียงจะดังไกลมาก อยู่ ๆ ก็มีเสียงดัง "ตึ้ก..!" เหมือนกับตัวอะไรใหญ่ ๆ กระโดดลงจากต้นไม้มาใกล้ ๆ อีกไม่นานก็อีก "ตึ้ก..!" อาตมาเป็นคนขี้สงสัย ถ้าสงสัยจะออกไปส่องไฟดูหมด ปรากฏว่าเป็นใบไม้ ไม่ทราบเรียกว่าต้นอะไร ใบใหญ่ประมาณ ๒ ฝ่ามือ แห้งแล้วหลุดจากขั้ว ก้านใบใหญ่เท่านิ้วเราได้ แล้วก็ยาวสักศอกหนึ่ง ในเมื่อก้านใหญ่แล้วหนักกว่า เวลาหลุดจากขั้วก็หมุนควง แล้วเอาก้านกระแทกพื้นดัง "ตึ้ก..!" กลางคืนเงียบสงัด ได้ยินเสียงดังเหมือนคนโดดลงจากต้นไม้เลย

พวกนี้ยังไม่เท่าไร อย่างไรเสียก็เป็นเสียงที่เราต้องจินตนาการเอง แต่เคยเข้าไปป่าองธิ เป็นแมลงตระกูลจั๊กจั่น อยู่ ๆ แหกปากสนั่นขึ้นมา "แว้ด ๆ" ขึ้นพร้อมกัน ถ้าอยู่ป่าคนเดียวนี่ขวัญหนีดีฝ่อแน่ ไปที่บึงลับแลก็โดนนกแว่นหลอก นกแว่นเป็นนกตระกูลนกยูง แต่ว่าเป็นสีน้ำตาล จะตบปีก ลักษณะกระพือปีกตบกันเพื่ออวดตัวเมีย ดังสนั่นเลย จนกระทั่งนึกว่าสัตว์ใหญ่ที่ไหนมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2015 เมื่อ 12:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 05-01-2015, 11:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของความกลัว ถ้าเรากลัวแล้วมีสติ ก็จะสืบสาวหาสาเหตุได้ อาตมาได้ยินเสียงนี่เดินหาเลย เป็นพวกเราก็ทำตัวลีบอยู่ในกลด ไม่กล้าไปไหน บึงลับแลที่เขาเห็นว่าน่ากลัว ตีหนึ่งตีสองอาตมาโดดน้ำว่ายอยู่ตูม ๆ คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้ามีตัวอะไรใหญ่ ๆ มาฮุบไปตูมเดียวก็สบายเลย ไม่ต้องทุรนทุรายมาก ตะกายไปหาที่ตายเอง..!

ไปลองทำดูบ้างไหม ? ตอนตีหนึ่งตีสอง ท้าทายดีมากเลยว่าจะกล้าจริงหรือเปล่า ทิดตู่ตอนนั้นเป็นเณรอยู่ ไปด้วยกันก็ไปโดดว่ายตูม ๆ บ้าง ถามว่าเณรไม่กลัวหรือ ? “อาจารย์อยู่ ผมไม่กลัวหรอก” โดดแล้วอาตมาว่ายไปกลางบึง จากนั้นก็ว่ายกลับ ทิดตู่ต้องพายแพไปกลางบึงถึงจะกระโดดได้

อย่าแบกความกลัวไว้มาก คนโบราณเขาบอกว่าคนกลัว..ตายหลายครั้ง คนกล้า..ตายครั้งเดียว” คนขี้กลัวจินตนาการถึงความตายสารพัดชนิดที่จะมาถึงตัวเอง ก็เลยตายหลายครั้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2015 เมื่อ 15:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 06-01-2015, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีที่แล้วช่วงนี้นอนโรงพยาบาลไป ๓ วัน ปีนี้ก็ดูท่าไม่แคล้ว กำลังไข้ขึ้น เดี๋ยวก็ต้องกรำงานเป็นพระวิปัสสนาจารย์อีก ๑๒ วัน ๑๒ คืน แล้วก็เข้าโรงพยาบาลตามเคย ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ยังจำความไม่ได้ อาตมาก็น้อยใจแม่ ..(หัวเราะ).. กลืนลูกอมติดคอตาย ปรากฏว่าพ่อแก้ฟื้นขึ้นมาได้ เพราะว่าไปยกให้เป็นลูกเจ้าแม่เบิกไพรที่บ้านโป่ง ๑๐ ปี

ช่วง ๒ ขวบถึง ๑๐ ปีต้องไปรายงานตัวทุกปี แล้วก็เสี่ยงเซียมซีเพื่อถามเจ้าแม่ว่า ชะตาดีร้ายเป็นประการใด ปรากฏว่าทุกครั้งที่เสี่ยงเซียมซี จะได้หมายเลขเดียวคือหมายเลข ๑๒ ทุกครั้ง จนกระทั่งท่องจำข้อความในเซียมซีได้ขึ้นใจเลย เขาบอกว่า

ใบที่สิบสองต้องกันเหมือนจันทร์ฉาย เปรียบเหมือนกับต้นพฤกษีคราที่ตาย แล้วกลับกลายฟื้นเป็นเหมือนเช่นเดิม ได้ผลิดอกออกใบไสวสว่าง ถูกน้ำค้างต้องลมประสมเสริม เหมือนกระจกบานเก่าเมื่อคราวเดิม ต้องเพิ่มเติมขัดถูจึงดูงาม

เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันขัดทุกวัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2015 เมื่อ 13:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 06-01-2015, 11:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากอายุ ๑๒ มา ก็ติดภารกิจสารพัดหน้าที่การงาน จนกระทั่งอายุ ๔๕ จึงได้ย้อนกลับไปอีกทีหนึ่ง ไปเสี่ยงเซียมซีท่านก็ยังใบที่ ๑๒ มาอีกตามเคย อะไรจะขลังปานนั้น ถ้าใครมีโอกาสผ่านไปทางบ้านโป่ง ให้แวะไปที่ศาลเจ้าแม่เบิกไพร ลองไปเสี่ยงเซียมซีดูบ้าง ตั้งแต่สมัยอาตมาเด็ก ๆ ตรงนั้นยังเป็นป่าเสือป่าช้างอยู่เลย แต่ว่ามีศาลเจ้าแม่หลังเบ้อเริ่ม สมัยเด็ก ๆ ต้องไปทางเรือ มายุคนี้ไปรถไฟก็ได้ ไปรถยนต์ก็ได้ ถ้าไม่กลัวเครื่องบินตกไปเครื่องบินก็ได้ แล้วจะได้รู้ว่าบางสถานที่ เทวดาท่านมีหน้าสงเคราะห์ท่านก็สงเคราะห์จริง ๆ ใครไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ท่านก็พยายามที่จะบอกความจริงให้ใกล้เคียงที่สุด

ถ้าถามว่าเชื่อได้อย่างไรว่าเรื่องของผีเรื่องของเทวดามีจริง ? รับรองว่าคนถามต้องกลัวผีแน่นอน “ไม่เชื่อหรอก..แต่กลัว” เอาอะไรมากลัวในเมื่อไม่เชื่อ สภาพจิตของเราถ้าได้รับการฝึกฝนขัดถูไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดความผ่องใสขึ้นมา เมื่อสภาพจิตใสสะอาด การเห็นผีเห็นเทวดาเป็นเพียงของแถมเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าถ้าทำถึงเขาก็ให้ เป็นของแถมของการปฏิบัติ บางท่านรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป เพราะว่ารู้โน่นรู้นี่แล้วก็โดนหลอกไปเรื่อย

ในเมื่อเป็นของแถมของการปฏิบัติ ก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายดิ้นรนเพื่อทำให้ได้ เราแค่ปฏิบัติของเราไปเรื่อย ๆ กำลังใจถึงจุดเมื่อไรก็จะรู้เห็นเอง แล้วจังหวะการรู้เห็นก็มีอยู่นิดเดียว ถ้าวันไหนการรู้เห็นของเราลงร่องเมื่อไร หลังจากนั้นเราจะรู้ว่าต้องตั้งกำลังใจอย่างไร แล้วก็จะรู้เห็นได้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้น..ใครที่มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นก็ดี สลบไสลไปเจอผีเจอเทวดาก็ดี หรือปฏิบัติแล้วไปเจอก็ตาม เมื่อถึงเวลาเลิกแล้วหรือว่าฟื้นกลับคืนมา สามารถทำใหม่ได้ทุกคน เพราะรู้แล้วว่าอารมณ์ใจที่พอดีเป็นอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2015 เมื่อ 13:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 07-01-2015, 17:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้คำว่า "พอดี" พระพุทธเจ้าเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ของแต่ละคนไม่มีมาตรฐาน แปลว่าไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ให้ขีดเส้นใต้ เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจและบุญบารมีที่เราสร้างสมมา สำหรับเราพอเหมาะพอดีอาจจะนั่งกรรมฐานครึ่งชั่วโมงก็แย่แล้ว เจ็บแข้งเจ็บขาไปหมด แต่อีกคนหนึ่งครึ่งวันนั่งไม่กระดิกเลย นั่นคือพอดีของเขา ในเมื่อตัวมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องรู้จักสังเกต แล้วพยายามทำของตัวเองให้ถึงตรงจุดนั้นให้ได้

ถามว่าการสังเกต สังเกตแบบไหน ? เอาง่าย ๆ ว่าถ้านั่งกรรมฐานแล้วรู้สึกว่า “พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว” อย่าเพิ่งเชื่อ ไอ้ที่บอกว่าพอแล้วไม่ไหวแล้วนั่นกิเลสบอก ให้ลองฝืนต่ออีกนิด ถ้าฝืนแล้วต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่นี้กิเลสบอกแน่นอน แต่ถ้าฝืนแล้วต่อไม่ได้ ก็ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้ ลุกไปทำหน้าที่การงานอื่นของเรา รอจนกระทั่งสภาพจิตของเราเริ่มผ่อนคลายลง ค่อยมานั่งสมาธิต่อ

ฟังดี ๆ นะว่า “ลุกไปทำอย่างอื่นโดยการรักษาอารมณ์เอาไว้” แปลว่าจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อะไรอยู่ก็ตาม ต้องประคองอารมณ์ใจของเราให้ได้เท่ากับตอนที่นั่งปฏิบัติอยู่ เพื่อที่จะได้ใช้ผลของการปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ เมื่อใช้ผลของการปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ตัวตนของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกรรมฐาน ถ้าถึงเวลานั้นเราจะทรงอารมณ์ใจเมื่อไรก็ทำได้ จะนั่งอย่างเป็นทางการ จะรักษาอารมณ์ในขณะทำการทำงาน กินข้าว เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่า ทำงานประจำวันของเราก็สามารถทรงอารมณ์ปฏิบัติไว้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่เราล่วงพ้นกองทุกข์ก็จะมีได้

แต่ถ้าหากว่าต้องรอมานั่งเงียบ ๆ ถึงจะทรงอารมณ์ใจได้ นั่นยังอีกห่างไกลมาก เพราะกิเลสไม่รอให้เรานั่งเงียบ ๆ แล้วค่อยมากินเรา แต่กิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องระมัดระวังรักษาสภาพจิตใจของเรา ให้ผ่องใสจากกิเลสให้มากที่สุดในแต่ละวัน ไม่ใช่ว่านั่งกรรมฐานเช้าชั่วโมงหนึ่ง เย็นชั่วโมงหนึ่ง ถ้าเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ระหว่างนั้นอีก ๑๐ ชั่วโมงที่เหลือกิเลสกินเราอยู่ แล้วยังมีกลางคืนอีก ๑๒ ชั่วโมงที่กิเลสกินเราอยู่ รวมแล้ว ๒๔ ชั่วโมงเรามีกำไรแค่ ๒ ชั่วโมง ขาดทุน ๒๒ ชั่วโมง โอกาสที่จะร่ำรวยในการปฏิบัติย่อมเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น..ทำแล้วอย่าทิ้ง ทำแล้วรักษาเอาให้ได้ ถ้าสามารถรักษาให้ต่อเนื่องยาวนานได้พอ สภาพจิตที่ผ่องใสจากกิเลสมากขึ้น การรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะมาเอง แล้วถึงเวลานั้นก็เตรียมตัวให้เขาหลอกได้ รับรองว่าเขาไม่ปล่อยเอาไว้เฉย ๆ แน่..!

ตอนไม่รู้ไม่เห็นออกข้อสอบแล้วไม่สนุก ต้องออกตอนรู้เห็นนั่นแหละ แล้วจะโดนหลอกหัวทิ่มหัวตำยิ่งกว่าเดิม ฉะนั้น..เรื่องของนิมิตต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องของนักปฏิบัติที่ต้องระวังไว้ อาตมาโดนหลอกมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะโดนหลอกอีกเท่าไร ก็ได้แต่บอกพวกเราเอาไว้ว่า ทำถึงเวลาแล้วจะได้ ได้แล้ว..ถึงเวลาจะไม่อยากได้ เพราะโดนหลอกอยู่เรื่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2015 เมื่อ 18:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 09-01-2015, 11:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในงานนี้ทุกคนได้ทำกรรมดี ขอใช้คำว่า "กรรม" เพื่อ ๑. ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒. หลายคนพาพ่อมาเนื่องในวาระวันพ่อแห่งชาติ ถือว่าเป็นการกระทำประกอบไปด้วยความกตัญญู แต่ขณะเดียวกันอาจจะไม่ชินกับอากาศที่นี่ ทำให้บรรดาพ่อที่อายุมากแล้วลำบากไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็อย่าทำดีกับพ่อเฉพาะเดือนธันวานะจ๊ะ ๓. สิ่งที่เราทำท่านที่ไม่เห็นตัวจำนวนมากต่อมากด้วยกันรอโมทนาอยู่

๔. ความดีทั้งหลายที่เราทำ แม้ว่าบุคคลเป็นจำนวนน้อย แต่กำลังใจสูง ก็จะช่วยให้สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามวาระกรรมนั้น ลดน้อยถอยห่างลงไปได้ เพราะว่าเราสร้างกรรมดี เหมือนกับมีแรงในการวิ่งหนีกรรมทั้งหลายเหล่านี้ออกไปได้อีกหน่อยหนึ่ง ถ้าสามารถทำได้ต่อเนื่องไปเรื่อย เรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติของเรา ก็จะห่างออกไป ถ้าพ้นวาระไปได้เลยยิ่งดี

ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ผลตอบแทนมานั้นมีทั้งที่เห็น ก็คือกำลังใจของเราเองและคนรอบข้าง กับทั้งที่เรามองไม่เห็น ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ผลที่เราทำเกิดแน่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สอนในเรื่องของอธิษฐานบารมี ไหน ๆ ก็จะเกิดแล้ว ก็ตั้งใจไปเลยว่าจะให้เกิดเมื่อไร ให้เกิดที่ไหน หลายคนบอกว่า การทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่ เป็นการโลภ อาตมาขอยืนยันว่า ถ้าเป็นความโลภพระพุทธเจ้าไม่สอนให้อธิษฐาน ที่พระองค์ท่านสอนให้อธิษฐาน เพื่อให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มาในเวลาที่พอเหมาะ พอดี พอควร ไม่ใช่รอจนเลยเวลาแล้วก็ยังไม่มา

ฉะนั้น..อธิษฐานบารมีนั้น พระองค์ท่านตรัสว่า เป็นเรื่องของคนมีปัญญาเท่านั้น ถ้าปัญญาไม่พอ ก็จะไปคิดว่าเป็นความโลภ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-01-2015 เมื่อ 13:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 09-01-2015, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,050 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนที่เราทำแล้ว เราได้อุทิศส่วนกุศลไปแล้ว ท่านทั้งหลายที่เรามองไม่เห็น ก็สามารถที่จะนำเอากุศลผลบุญนี้ไปใช้งานได้ เทพเจ้าเหล่าเทวาทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่ปกปักรักษาตัวเราและประเทศไทยอยู่ ก็ได้นำเอาผลบุญผลกุศลนี้ ไปช่วยเหลือในการผ่อนคลายภัยพิบัติ และสถานการณ์อันไม่ดีไม่งามที่จะเกิดขึ้นได้

ฉะนั้น..เราได้ทำความดีที่บอกว่าใหญ่หลวงมาก แต่ก็เป็นลักษณะของการปิดทองหลังพระ เพราะว่าไม่ได้ไปประกาศโฆษณาบอกใคร นอกจากเป็นที่รู้กันเองเท่านั้น ก็ขอให้ทุกท่านรักษาความดีเอาไว้ ให้เหมือนกับเกลือที่รักษาความเค็ม

ท้ายสุดนี้อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน มีผลบุญที่ได้กระทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ทั้งของท่านทั้งหลายและของตัวอาตมาเอง จงรวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย มีความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอความสำเร็จสัมฤทธิ์ผล จงมีแก่ท่านโดยสมบูรณ์บริบูรณ์ทุก ๆ ประการด้วยเทอญ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม รุ่นที่ ๑๐/๒๕๕๗
วันที่ ๕-๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ วัดท่าขนุน

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-01-2015 เมื่อ 13:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว