กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 23-01-2011, 16:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างในธรรมบท ที่ลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า จะรู้เวลาตายได้อย่างไร ? พระอาจารย์จึงขีดเส้นเอาไว้ บอกว่า "ถ้าฉันเดินจงกรมครบรอบ มาเหยียบเส้นนี้เมื่อไร ฉันก็จะตาย" ลูกศิษย์ก็รอดู พอพระอาจารย์เดินจงกรมจนครบรอบ เหยียบเส้นก็มรณภาพในท่ายืนทันทีเลย เพราะท่านเข้าฌานแล้วทิ้งไปเลย ถ้าไม่หายใจเสียอย่าง จะไปอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตาย

เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะกำหนดเวลาตายได้ชัดเจน อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านบอกว่า เวลาหกโมงเย็นท่านจะไป หลวงพ่อกับเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันสวดอิติปิโสถวายท่าน

ตอนแรกหลวงปู่ท่านให้จุดธูปแขกที่มีกลิ่นหอม ๆ เพื่อที่จะได้กลิ่นแล้วจิตระลึกว่านี่เป็นการบูชาพระรัตนตรัย จิตของท่านจะได้เกาะพระและการฟังสวดอิติปิโส ทำให้น้อมใจเกาะในคุณพระรัตนตรัยไว้ พอถึงเวลาสวดเสร็จ หลวงปู่ถามว่ากี่โมงแล้ว หลวงพ่อฤๅษีกราบเรียนว่าหกโมงแล้ว หลวงปู่ปานก็ชีพจรดับไปทันทีเลย

ปกติชีพจรมือและเท้าจะดับไม่พร้อมกัน แต่ลักษณะของผู้ทรงฌานจะตัดดับไปเลย หยุดก็คือหยุดพร้อมกันไปเลย

ถาม : ยังไม่ถึงฆาตก็ไปได้หรือคะ ?
ตอบ : ท่านถึงฆาตแล้ว รู้ด้วยว่าท่านเองจะต้องไปตอนไหน

ถาม : แล้วถ้ายังไม่ถึงฆาต แล้วฆ่าตัวตายไปแบบนั้น ?
ตอบ : ทำได้ เราไปก็เป็นสัมภเวสีไปก่อน แต่เป็นสัมภเวสีชั้นดี เพราะออกไปด้วยกำลังของฌาน แบบเดียวกับประวัติของท้าวมหาพรหมชินปัญชระ ที่ผู้หญิงเห็นท่านรูปร่างถูกใจมาก กระโดดกอดท่าน ท่านก็เลยทิ้งร่างไปเลย นี่ว่าตามประวัติของท่านนะ..ท่านจึงไปเกิดเป็นพรหม เพราะท่านไปด้วยกำลังฌาน

ถาม : เทียบกับสัมภเวสี..?
ตอบ : ก็แค่รอให้หมดอายุมนุษย์ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นสบายจะตาย เพราะออกไปด้วยกำลังของฌานสมาบัติ มีความสุขเท่ากับพรหม เวลาของมนุษย์แค่ครู่เดียว ทำไมจะรอไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2011 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 24-01-2011, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วพระราหุลที่ไปนิพพานที่ชั้นดาวดึงส์ จินตนาการไม่ออกเลยค่ะว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : จะไปจินตนาการทำอะไร ? เป็นปลาแล้วไปจินตนาการว่านกบินขึ้นฟ้าอย่างไร คิดออกก็แปลกแล้ว..! ไม่ต้องถึงพระอรหันต์อย่างพระราหุลหรอก แค่ท่านอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส ถ้าเราอ่านพุทธประวัติก็จะรู้ว่า ท่านเป็นคนแรกที่ไปเยี่ยมเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติ

ตอนนั้นท่านอสิตดาบสขึ้นไปนอนพักที่ดาวดึงส์ เทวดานางฟ้าท่านรื่นเริงบันเทิงใจ ทั้งโห่ทั้งแห่ เสียงกลองทิพย์บันลือลั่นไปสามโลก ท่านอสิตดาบสก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอถามเขาก็บอกว่า พระมหาโพธิสัตว์ประสูติแล้ว ท่านจึงรีบลงมากราบเยี่ยม

อย่างพระราหุลท่านนิพพาน ท่านก็ไม่ได้ทิ้งสังขารไว้ให้พรหมเทวดาต้องจัดการ ท่านอธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง เหลือแต่พระสารีริกธาตุ ให้เขาเก็บไปบรรจุในพระเจดีย์ไว้บูชา

ถาม : ไปดาวดึงส์ ก็คือไปแบบอภิญญาใหญ่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..ไปแบบเอาร่างกายนี้ไปทั้งตัวเลย

ถาม : แล้วจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าเป็นปลาแล้วอยากจะไปรู้เรื่องนก..! อภิญญาใหญ่เสียอย่างจะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะอยู่ในอวกาศ อยู่ในทะเลก็ไม่เดือดร้อน นึกอยากจะหายใจก็มีอากาศให้หายใจ นึกจะกินก็ไม่ต้องกิน แค่ดึงเอาธาตุสี่รอบข้างมาทดแทนให้ร่างกายก็พอแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-01-2011 เมื่อ 09:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 24-01-2011, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชเนกขัมมะให้ฟังว่า "ในการปฏิบัติวันแรก ๆ เราจะโดนตีกรอบด้วยศีล ๘ และระเบียบวินัย ก็คือต้องทำอะไรตามเวลาแล้วยังต้องงดข้าวเย็นอีก ก็จะเกิดอาการหงุดหงิดกลัดกลุ้มเป็นปกติ นอกจากนี้เรายังไม่เคยชินกับการที่ต้องไป ยกหนอ..ย่างหนอ..เหยียบหนอ..อีก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

ดังนั้น..วันแรก ๆ ก็จะหงุดหงิด พระวิปัสสนาจารย์ท่านมักจะใช้คำว่า สภาวธรรมเกิดขึ้น จนถึงขนาดมีคนเขาบอกว่า “วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ”

วิปัสสนาขี้โกรธ ก็คือ คนที่มาปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะอย่างนี้ พอถึงเวลาแล้วจะเกิดปฏิฆะ กระทบกระทั่งกับคนอื่นง่าย เพราะอยู่ ๆ ก็มาโดนตีกรอบ จากที่เคยทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้ กิเลสก็เริ่มอาละวาด แต่ว่าไม่ใช่แค่ขี้โกรธเฉย ๆ นะ รัก โลภ โกรธ หลง มาครบทุกตัวเลย

อย่างที่ฝรั่งหลายรายเขาบอกว่า "ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นคนเซ็กส์จัดขนาดไหน ให้ไปลองฝึก meditation ก็คือฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน" เพราะว่าแรก ๆ ของการฝึก ด้วยความที่จิตโดนบังคับให้อยู่กับที่ ก็จะดิ้นไปหาสิ่งที่เคยชิน แล้วฝรั่งเขาฟรีเซ็กส์เป็นปกติ ก็จะดิ้นไปหาเรื่องทางกามราคะอย่างเดียว

แต่ไม่ใช่กิเลสจะมาตัวเดียวนะ รัก โลภ โกรธ หลง จะมีมาครบทุกตัว เพียงแต่ว่าตัวไหนที่จะเด่น ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็จะมุดหนีไปในช่องที่เคยไป จะดิ้นเต็มที่เลย..!

ดังนั้น..เราทุกคนจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการปฏิบัติ ถ้าหากว่ากำลังใจยังไม่ทรงตัวชนิดที่ว่า ตั้งใจเมื่อไรสามารถที่จะทรงฌานได้เลยทันที อย่างไรเสียกิเลสก็จะต้องโผล่มาแน่นอน ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 24-01-2011, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สันโดษขี้ขอ เป็นนิสัยเฉพาะคน แหม..เราเองเป็นผู้สละแล้วซึ่งกิเลส แต่ว่าโยม..วัดยังไม่มีอย่างนั้น โยม..วัดยังขาดอย่างนี้ โยม..วัดต้องการสร้างอย่างโน้น กลายเป็นสภาพที่ควรที่จะต้องยินดีตามมีตามได้ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เที่ยวขอเขาดะไปหมด

แต่จริง ๆ แล้ว สันโดษ ไม่ใช่ว่าไม่เอาอะไรเลยนะ เพราะว่าสันโดษนั้น พระพุทธเจ้าทรงแยกออกว่ามี ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้น ไม่ไปดิ้นรนให้มากกว่านั้น

ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ จะได้เป็นพันล้าน หมื่นล้าน ก็พอใจแค่นั้น เพราะฉะนั้น..สันโดษไม่ใช่จนนะ สันโดษก็รวยได้

และท้ายสุด ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ในเมื่อคุณรวย คุณจะขี่เบนซ์ ขี่บีเอ็ม ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดังนั้น..อย่าไปเข้าใจผิดว่า สันโดษจะต้องจน อย่างที่ในหลวงทรงตรัสว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่าต้องจน แต่เศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้ตัวเองพอกินพอใช้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดถึงเรื่องการค้าขาย ถ้ามีเหลือมากก็รวยได้ ไม่ใช่ว่าพอเพียงแล้วต้องเอานิดเดียว

ส่วนอุเบกขาบ้ายอ คือ บุคคลที่กำลังใจยังไม่เป็นอุเบกขาจริง ๆ ยังวางไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาคนนั้นชมนิด คนนี้ชมหน่อย ก้นเราก็ค่อย ๆ กระดกโดยไม่รู้ตัว คือ ตัวลอย

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้ยินประโยคนี้ขึ้นมา ต้องตีความให้ถูกนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโกรธกันตาย เขาบอกว่า วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ ถ้าเราได้ยินแล้วไปโกรธไฟแลบ ก็จะกลายเป็นนักปฏิบัติขี้โกรธจริง ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 24-01-2011, 00:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดเขาตามะยะ เมืองพะอาง ประเทศพม่า ทหารพม่าทั้งกองร้อยเอารถยีเอ็มซีวิ่งเข้ามาตึงตังไปทั้งวัด

ทหารบอกว่า "หลวงพ่อ เจ้านายให้มานิมนต์ไป"
ท่านบอกว่า "กูไม่ไปกับมึงหรอก"

"เขาให้บังคับนะหลวงพ่อ"
"แล้วมึงจะเอาอะไรมาบังคับกู ?"

"พวกผมมีปืนนะหลวงพ่อ..!"
"ปืนมึงไม่มีลูก กูไม่กลัวหรอก..!"

ผลปรากฏว่า ทหารทั้งกองร้อยปืนมีแต่เหลือซองกระสุนเปล่า ๆ ไม่มีลูกปืนเหลือสักนัดเดียว..!" ท่านแน่จริง ๆ แล้วแบบนั้นจะไม่ให้รัฐบาลพม่ากลัวได้อย่างไร พวกเขากลัวหลวงพ่อท่านพาชาวบ้านไปปฏิวัติ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-01-2011 เมื่อ 09:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 24-01-2011, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นครปฐมโมเดล เกิดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนเริ่มต้นขึ้นมา รับนักเรียนโดยอาศัยเกณฑ์ความดี นับเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสอบเข้า

หลังจากเวลาผ่านไป ๔ ปี การที่เขาใช้เกณฑ์ความดีในการรับเด็ก โดยอาศัยคะแนนความดีเป็นส่วนประกอบ เด็กรุ่นนั้นเริ่มจบแล้ว แม้กระทั่งรุ่นหลังที่ตามมา ก็มีความประพฤติออกไปอยู่ในแนวที่เรียกว่าดีโดยธรรมชาติ กลายเป็นว่า มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และวิทยาเขตอื่น ๆ พยายามที่จะเลียนแบบบ้าง

บางคนสงสัยว่า จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด ? บรรดาเด็ก ๆ ถ้าหากว่าสอบธรรมศึกษาได้ หรือว่าเคยไปปฏิบัติธรรมตามวาระต่าง ๆ แล้วได้วุฒิบัตรมา ถ้าต่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้วุฒิบัตรนี้เป็นตัวประกอบในการสอบเข้าได้

ดังนั้น..เด็กรุ่นหลัง ๆ จะได้เปรียบมาก ไปปฏิบัติธรรมแล้วเขาแจกวุฒิบัตร ก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้

จริง ๆ แล้วมหาวิทยาลัยเกษตรฯ น่าจะเริ่มที่เกษตรฯ บางเขน แต่ไปเริ่มที่วิทยาเขตกำแพงแสนก่อน แสดงว่าผู้บริหารของที่นั่นเขามีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมาก ตอนที่เขาทดลองไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จ ปรากฏว่า ๔ ปีผ่านไป ได้ผลดีจริง ๆ

จะเห็นได้ว่าเด็กของ ม.เกษตร มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าปกติ มีความรักใคร่สามัคคีกัน ทั้งในหมู่คณะและต่างคณะ มีการประสานงานกัน หนุนเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยเหลืองานกันโดยไม่ต้องให้อาจารย์มาเคี่ยวเข็ญบอกกล่าว เป็นไปโดยธรรมชาติเลย"

ถาม : ผู้บริหารเขากล้ามากเลยนะคะ
ตอบ : กล้ามาก เพราะว่าการวัดคะแนนด้วยเกณฑ์ความดีนั้นวัดยาก สัมภาษณ์ก็หลอกกันได้..ใช่ไหม ? แรก ๆ เขาใช้วิธีสัมภาษณ์ อย่างเช่นว่า คุณเคยทำบุญใส่บาตรไหม ? ใส่บาตรประจำที่หน้าบ้านหรือเปล่า ? ได้ใส่บาตรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ? วันพระได้เข้าวัดบ้างไหม ? เข้าไปแล้วทำอะไรกันบ้าง ? เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหนมาบ้าง ? หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนคุณว่าอย่างไร ? เขาจะสัมภาษณ์ไปเรื่อย จนสามารถที่จะสรุปออกมาได้ว่า เด็กคนนั้นทำจริงหรือเปล่า ?

แต่มาระยะหลัง เขาใช้วิธีดูประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรเป็นเกณฑ์ แต่คิดว่าการสัมภาษณ์น่าจะได้ผลดีกว่า เพราะถ้าเด็กไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติอยู่ จะตอบคำถามของเขาไม่ถูก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-01-2011 เมื่อ 08:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 24-01-2011, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเพื่อพระศาสนา ทำตรงจุดไหนก็ได้ พอช่วย ๆ กันทำเข้าไป เวลาภาพรวมออกมา ก็คือความเจริญของพระพุทธศาสนาและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพุทธศาสนิกชน

เราลองดูวัดโจคัง ของทิเบต เขาหุ้มหลังคาด้วยทองคำ เราต้องมานึกดูว่า ถ้าทั้งประเทศไทยของเราระดมเงินลงไปวัดเดียว คงจะหุ้มทั้งวัดด้วยทองคำได้เหมือนกัน แต่ประเทศไทยไม่ใช่ว่าลงวัดเดียวอย่างของเขา

เขามีพระราชวังโปตาลา วัดเดรปุง วัดโจคัง แค่ไม่กี่วัดที่เขาถือว่าสำคัญ เขาก็จะระดมลงไปตรงนั้น แต่วัดของเรามีทั้งประเทศ ในเมื่อทั้งประเทศ จะให้ชัดเจนอย่างของเขาก็คงจะไม่ได้

แต่ถ้าทุกคนพร้อมใจกันทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีวัดแล้วเข้าวัดให้คุ้มกับที่สร้างวัดมา อย่างของพม่าเขา พม่าเขาจะสร้างวัดเล็กวัดน้อย เจดีย์เล็กเจดีย์น้อย จะอยู่ในป่าในดงขนาดไหน เขาก็มีคนไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอทุกวัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 24-01-2011, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่เป็นเนื้อเมฆสิทธิ์กับเนื้อเมฆพัตรจะปลอมได้ยาก เพราะยิ่งนานไป สีจะยิ่งจางลงไปเรื่อย เป็นการจางลงเองโดยธรรมชาติ เมฆพัตรจากที่เราเห็นค่อนข้างดำ ก็จะจางลงเป็นสีน้ำเงิน จนสีอ่อนเป็นสีน้ำเงินอมขาว ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะจางลงเป็นสีเขียวแบบสีปีกแมลงทับ จนกระทั่งเป็นสีเขียวอ่อนอมเหลือง จะจางลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุของวัตถุมงคลที่นานขึ้น

เพราะฉะนั้น..ใครที่ทำปลอมขึ้นมา ต่อให้เหมือนขนาดไหน ก็จะดูออกว่าไม่ใช่ของเก่า เพราะเนื้อจะเป็นของใหม่ ก็ดีอยู่อย่างว่าเป็นของที่กันการปลอมได้ แต่เมฆสิทธิ์กับเมฆพัตรจะมีส่วนผสมของสังกะสีค่อนข้างมาก จะทำให้เนื้อพระกรอบ ถ้าเผลอทำตกหล่นใส่ของแข็งอย่างปูนซีเมนต์ เนื้อจะบิ่นหรือแตก

เนื้อเมฆพัตรจะผสมเงินมากกว่า ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะผสมทองมากกว่า เมฆสิทธิ์สีจะออกเหลือบทอง เมฆพัตรสีจะออกเหลือบเงิน เดี๋ยวนี้สูตรโบราณเขาไม่ค่อยรู้กัน

อยากรู้ว่าบรรพบุรุษของเราเก่งแค่ไหน ให้ไปดูที่หน้ากระทรวงกลาโหม ปืนใหญ่โบราณตากแดดตากฝนมาเป็นร้อยปี จนป่านนี้ยังไม่มีผุเลย สนิมไม่ขึ้นอีกต่างหาก สเตนเลสยังไม่ได้ขนาดนี้เลย ไปตากแดดตากฝนแบบนั้น ถึงเป็นสเตนเลสก็สนิมขึ้นแน่นอน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 24-01-2011, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฝาแฝดทำบุญทำกรรมอะไรมาจึงเกิดเป็นฝาแฝด ?
ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน บางทีก็อธิษฐานขอเกิดมาพร้อมกัน บางทีก็ทำบุญทำกรรมมาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะทำเนื่องกันมากับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็เลยต้องมาเกิดด้วยกัน

แต่จะมีประเภทแฝดสยามที่ตัวติดกัน กรณีนั้นอธิษฐานผิด เขาไปอธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกัน ก็เลยเกิดมาตัวติดกัน คนอธิษฐานเขาไม่รอบคอบ รักกันมากจึงไม่อยากจะพรากจากกัน

ถาม : ถ้าไม่ถอนคำอธิษฐาน เกิดใหม่จะติดกันอีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็คงจะติดกันอีก เราจะสังเกตว่าพอผ่าตัดออกมาแล้วจะตาย เพราะว่าไปฝืนกรรม ฝืนคำอธิษฐาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 24-01-2011, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฝึกพระกรรมฐานในส่วนของพุทธานุสติ ระลึกถึงภาพพระ การจับภาพพระก็คือ ลืมตาให้เห็นภาพพระใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จ้ะ..แรก ๆ ก็หลับตานึกถึงไปก่อน พอคล่องตัวแล้วจะลืมตาหรือหลับตาก็นึกกำหนดภาพพระได้เหมือนกัน

ถาม : ธัมมานุสติให้ระลึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราจะเอาแบบง่าย ๆ เลย ก็คือ นึกถึงคัมภีร์พระธรรมก็ได้ แต่ถ้าเอาตามแบบที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสอนมา ท่านให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ ธรรมะที่พระองค์ท่านเทศน์ลอยลงมาเป็นดอกมะลิแก้ว ลอยลงมาเป็นสาย ๆ แล้วเราก็จับภาพนั้นแทน

อาตมาทดลองจับได้ครู่เดียว ก็กลายเป็นภาพสีทองแพรวพราวหมดทั้งองค์พระ ทั้งดอกมะลิ ก็คือ ถ้าเราทำอะไรได้สักกอง ที่เหลือก็จะง่ายแล้วจ้ะ แต่ถ้าเราทำไม่ได้สักกอง ก็จะยากทุกกอง

อาตมาเองมักจะฉวยโอกาสตอนหลวงพ่อเทศน์ วันพระที่หลวงพ่อท่านไม่ป่วย ท่านจะลงเทศน์เป็นประจำ อาตมาก็จับภาพพระ นึกภาพว่าหลวงพ่อมีพระพุทธเจ้าคลุมท่านอยู่ ตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ผ่านองค์หลวงพ่อมา เสียงของท่านคือพระธรรม เป็นดอกมะลิแก้วลอยลงมา แล้วก็มีพานใหญ่อยู่ตรงข้างหน้า ดอกมะลิแก้วก็จะมารวมกันอยู่ในพานตรงหน้า จัดเป็นธัมมานุสติเต็มระดับจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 24-01-2011, 09:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำวิธีไหนจะให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมและโมทนาบุญ ?
ตอบ : เรื่องของเจ้ากรรมนายเวร สำคัญตรงที่ว่า เราไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเขา ทำให้เขาอาฆาตจองเวรกับเรา โอกาสที่เขาจะอโหสิกรรมโดยเด็ดขาดทีเดียวจึงยาก มีอยู่ทางเดียว ไม่ว่าเราจะทำบุญเล็ก ทำบุญใหญ่ขนาดไหน ในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา อุทิศส่วนกุศลให้เขาประจำ ๆ และขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย พวกนี้เขาทนลูกตื๊อไม่ได้หรอก เดี๋ยวนาน ๆ ไปก็ใจอ่อน

โดยเฉพาะบุญจากสมาธิหรือบุญกรรมฐานจะเป็นบุญใหญ่มาก ให้เขาบ่อย ๆ แรก ๆ เขาอาจจะไม่ยอมอโหสิให้เลย หลังจากนั้นก็ลดลงไปทีละนิดทีละหน่อย ถึงเวลาก็หมดไปเอง อย่างอาตมาตอนแรกเจ็บไข้ได้ป่วย ตอนนี้เริ่มจะเบาบางลงไปเรื่อย เพราะนอกจากเราจะทำบุญทั่วไปแล้ว ยังปล่อยปลาให้เขาทุกเดือน

ปล่อยพวกวัว พวกปลา ปล่อยปลาเดือนหนึ่งก็สามสี่หมื่นบาท เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะในอดีตชาติเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามานับไม่ถ้วน จึงต้องคืนชีวิตให้เขาไป เพราะฉะนั้น..การที่เราปล่อยปลาเดือนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราจะคืนให้เขาครบทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งที่เขาอโหสิให้ อาการป่วยที่เป็นหัววันท้ายวันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย เพิ่งสองปีนี่แหละที่อาการดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก่อนสองปีนี่ดูไม่ได้เลย

ต้องขยันทำ ขยันให้ ตื๊อไปเรื่อย ๆ ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก โบราณว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน

ถาม : ทำบุญแล้วอุทิศอิทังเมหรือคะ ?
ตอบ : อิทังเม ใช้สำหรับญาติของเรา อิทังเม ญาตินัง โหตุ แปลว่า จงสำเร็จแก่ญาติของเรา จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรพูดภาษาไทยเลยจ้ะ บุญกุศลที่เราทำในครั้งนี้ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินท่านมา แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 24-01-2011, 09:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ให้แม่เขาพูดใช่ไหม ?
ตอบ : บอกแม่เขาว่า เราไปถวายสังฆทานมา ขอให้แม่โมทนา ขอให้แม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วย ต้องทำสองต่อ คือ เราทำให้แม่ แม่รับแล้วก็อุทิศต่อ

บางทีในเรื่องอุทิศส่วนกุศลแล้วกล่าวไม่ตรง หลวงพ่อเคยเจอมา เขาบอกให้อุทิศส่วนกุศลว่า อิมินา ปุญญะกัมเมนะฯ พอท่านบวชแล้ว วันหนึ่งนายนิรยบาลเขาพาผีมา ขอโมทนาบุญด้วย หลวงพ่อก็มัวแต่ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ปรากฏว่านายนิรยบาลเขาลากผีไปแล้ว ไม่รอ..เพราะเขามีเวลาแค่นิดเดียวที่จะมาได้

มัวแต่ไปไล่ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ไม่ถึงเขาเสียที มีเวลาไม่มากก็เลยต้องลากกลับไปก่อน พอตอนเช้าหลวงพ่อฉันเสร็จ หลวงปู่ปานถามว่า "เป็นอย่างไร ? พ่ออิมินาคล่อง มัวแต่ไปอิมินาอยู่ ผีมันจะได้แดกเรอะ..!"

หลวงพ่อก็เลยถามว่าควรจะทำอย่างไร หลวงปู่บอกว่า ให้ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะมีผลกับเราเพียงไรขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์สุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย เขาสาธุก็ได้เลย มัวแต่ไปว่ายาว ๆ เดี๋ยวไม่ทันกิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 24-01-2011, 12:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองก็เจอมาเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นเป็นความโง่ของตัวเอง ปกติตอนเช้า ๆ จะฝึกซ้อมมโนมยิทธิ ใช้ทิพจักขุญาณดูนั่นดูนี่ ว่าวันนี้เราจะเจอใคร มีรูปร่างลักษณะอย่างไร ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ดูไปเรื่อยเพื่อพิสูจน์ว่าจะตรงหรือไม่

ตอนช่วงเช้าก่อนออกบิณฑบาตจะดูว่าคนแรกที่ใส่คือใคร เขาใส่เสื้อผ้าสีอะไร เป็นผู้หญิงหรือชาย เสร็จแล้วก็ไปบิณฑบาต ตอนอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ต้องเดินขึ้นป่าขึ้นเขาไป ๕ กิโลเมตรเศษ กว่าจะไปถึงบ้านคน ไปถึงบ้านแรก ก็เห็นตรงกับที่เราดูไว้ก่อน

เวลาพระบิณฑบาต เขาให้มองแต่ในบาตร พอเปิดบาตรสำรวมก้มลงมอง ตอนนั้นความลับดันแตก ชุดเก่า ๆ ที่เขาใส่กลับไม่ใช่ชุดเดิม กลายเป็นชุดเหลือบทองเหลือบแก้วแวววับเลย เราก็ปิดบาตรโครม..! ถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? จะมาทำอะไร ? เขาบอกว่าเป็นนางไม้อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง อยากจะได้บุญก็เลยมาดักใส่บาตร

อาตมาก็มองดู เนื้อเขาคล้าย ๆ กับเนื้อเรา คือ เป็นเนื้อทึบ พวกเทวดาพรหมนี่ ถ้าบุญยิ่งมากเท่าไร เนื้อจะยิ่งใสมากเท่านั้น ถ้าใสเป็นประกายสว่างจ้าเลยก็เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ถ้าเป็นทั่วไปจะใสเหมือนแก้วใส

พอเห็นเนื้อเขาทึบ ๆ คล้ายเรา ก็รู้ว่าบุญเขาน้อยจริง ๆ จึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ถ้าเธออยากได้บุญ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอจงได้รับด้วย" แล้วเธอก็สาธุ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปเลย..!

คราวนี้เราจะฉันอะไร เพราะเขาไปแล้ว..! เขาตั้งใจมาใส่บาตรเพื่อเอาบุญ ในเมื่อเขาได้แล้วเขาไม่ต้องใส่ก็ไปเลย ตั้งแต่นั้นมาอาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าเอ็งยังไม่ใส่ ข้าก็ไม่ให้..! เจออะไรครั้งแรกแล้วโง่ ต่อไปจะจำไปนานเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 14:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 24-01-2011, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาพุทธของศรีลังกาสืบสายต่อเนื่องกันมาได้เพราะคณะสงฆ์ไทยไปช่วยไว้ ตอนช่วงนั้นประเทศฮอลันดา โปรตุเกส ผลัดกันครองศรีลังกาประมาณสองร้อยกว่าปี ใครไม่ถือศาสนาคริสต์เขาจะไม่ให้ทำงาน กลายเป็นคนตกงาน จึงทำให้คนศรีลังกาต้องถือศาสนาคริสต์กันเกือบหมด

พระจึงค่อย ๆ สูญไป เหลือสามเณรอยู่รูปเดียว คือ สามเณรสรณังกร บวชมาสามสิบกว่าปี แต่เป็นได้แค่เณรเพราะไม่มีพระพอที่จะบวชให้ จึงไปทูลขอพระเจ้าแผ่นดิน ให้ส่งทูตมาขอพระจากพม่าไปบวชให้ ทางพม่าไม่ยอมส่งไป คงเห็นว่าอันตราย เพราะมีแต่คริสต์ทั้งประเทศ

เขาจึงขอมาทางอยุธยา ทางอยุธยาจึงส่งพระอุบาลีไปให้ จึงกลายเป็นสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้ ตอนนั้นพระอุบาลีบวชพระให้ครั้งเดียวจำนวน ๗๐๐-๘๐๐ รูป เพราะเขาอยากบวชกันมานาน แต่ไม่มีพระให้บวช รวมแล้วพระอุบาลีบวชพระให้ไป ๗,๐๐๐ กว่ารูป

พระอุบาลีท่านเป็นนักสู้จริง ๆ ตายคาสนามรบ ไม่ได้กลับเมืองไทย มรณภาพที่นั่นเลย พอสมณทูตรุ่นที่สองไปถึง พระอริยมุนีที่ไปด้วยกันท่านก็ได้กลับประเทศไทย แต่พระอุบาลีมรณภาพอยู่ที่ศรีลังกา ทุกวันนี้ก็ยังมีรูปเคารพของท่านอยู่ เขาเรียกว่า สยาโมปาลีวงศ์ ก็คือ สยามอุบาลีวงศ์

เขาสนธิแล้วแปลงอุเป็นโอ แทนที่จะเป็นสยามุ ก็เลยเป็นสยาโม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 24-01-2011, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่เราพิจารณาอะไรสักอย่าง พอพิจารณาบ่อย ๆ แล้ว มีความรู้สึกว่าจิตใจเริ่มคุ้นชิน จนตอนหลังไม่ต้องคิดมากแล้ว จิตก็ยอมรับ แต่ว่าพอห่างการพิจารณาไป กลับมาพิจารณาใหม่ ก็ยังต้องใช้เวลามากเหมือนเดิม
ตอบ : แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ของเราจริง ๆ ต้องซ้อมบ่อย ๆ ทุกวัน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ากันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง

ถาม : พอถึงจุดที่ยอมรับ แล้วมันไม่ยอมคิดต่อ
ตอบ : ก็ใจยอมรับแล้วนี่ จะไปคิดต่อทำไม ?

ถาม : แต่พอห่างไปก็..
ตอบ : ภาษาลูกทุ่งเขาว่า ห่างมือห่างตีน ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่

ถาม : แบบนี้ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ?
ตอบ : ต้องซ้อมจนกว่าจะเป็นของเราจริง ๆ แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วใจเชื่อเลย ไม่เถียงอีกแล้วถึงจะใช้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 24-01-2011, 12:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมนอนแล้วพอตื่นเช้ามา แล้วเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูก แล้วจะต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เห็นว่า ธรรมดาของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นอย่างนี้ แสดงว่า ในอดีตเราอาจจะเคยฝึกอสุภกรรมฐานเกี่ยวกับอัฐิกอสุภะมาก่อน ถึงเวลาพอสภาพจิตที่พักผ่อนเพียงพอ ไปลงช่องของอุปจารสมาธิพอดี ก็จะเห็นภาพเก่า ๆ ที่ตัวเองเคยทำได้

เราก็นึกถึงภาพนั้นว่า ท้ายสุดเราเองก็ต้องมีสภาพเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าไม่ต้องการแล้ว เราควรจะไปไหน ? ถ้าหากเราไม่ต้องการ ก็ควรจะไปนิพพาน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

ให้นึกถึงภาพนั้นไว้บ่อย ๆ ว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน จะได้ไม่ประมาท คิดอยู่อย่างนั้นเสมอว่า ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้

ถาม : เหมือนกับให้ทรงภาพนี้ ?
ตอบ : นึกไว้เรื่อย ๆ อะไรที่เป็นของเก่าจะนึกง่าย พอหายไปก็นึกใหม่ นึกว่าสภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่าง คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ อยากได้ใคร่ดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ท้ายสุดก็ตัดเข้านิพพานไปดีกว่า

มีของเก่าก็ได้เปรียบ จะทำอะไรง่ายกว่าคนอื่น เพราะลัดขั้นตอนได้ เหมือนกับคนมีเงินในกระเป๋า ถึงเวลาก็ล้วงมาใช้ได้เลย คนอื่นทำงานเหนื่อยเกือบตายกว่าจะได้เงินเดือนมาใช้อย่างเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 24-01-2011, 12:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ยายคนหนึ่งเขาบอกว่า ให้ชวนญาติ ๆ เราในบ้านที่ตายไปแล้ว ให้ไปนิพพานไหว้พระ แล้วพวกคนตายสัมภเวสีที่ตายในซอย ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พรหมเทวดาแล้วไม่มีสิทธิ์ไปหรอกจ้แล้วการที่จะพาเขาไปได้ ตนเองต้องกำลังเพียงพอด้วย ถ้ากำลังของเราไม่พอ เราจะพาใครไปได้ ตัวเองยังไปไม่รอดเลย

แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาทำได้ เราก็ฝากเขาไปด้วยก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 24-01-2011, 12:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชายสามโบสถ์ ความหมายที่แท้จริงคืออะไร ?
ตอบ : ชายสามโบสถ์ หมายถึง บวชมาสามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ คนแบบนี้ก็คบไม่ได้แล้ว

ไม่ได้หมายถึงว่าบวชสามครั้ง เพราะท่านจิตตหัตถ์กับท่านนังคละบวชเป็นสิบครั้ง และท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย สามโบสถ์ก็หมายถึง โบสถ์คริสต์ โบสถ์พุทธ โบสถ์อิสลาม หรือโบสถ์ซิกข์ สามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยไปตามทางเขาเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 12:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 24-01-2011, 12:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เขาอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมีย แล้วเขาจะไปนิพพานด้วยกัน เป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ยากหน่อย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ไปก็คนเดียว เพราะฉะนั้น..ประเภทกอดคอกันไปยังไม่มี มีแต่ประเภทกอดคอถ่วงกันอยู่ เลยไปไหนไม่รอดทั้งคู่..!

ถาม : อย่างอารมณ์ที่หึงหวง เป็นการยึดติดหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดติดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ยึดแล้วจะหวงไปทำซากอะไรจ๊ะ ? แล้วหวงอย่างนั้นนะหรือจะไปนิพพาน ? ก็ได้แต่ติดอยู่แค่นั้น

ถาม : ถ้าเกิดจับได้ว่าเขามีกิ๊กละคะ ปล่อยให้เขามีกิ๊กไปหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เกิดกี่ชาติเขาก็ต้องมีกิ๊กให้เราทุกข์อยู่อย่างนั้น เราไปนิพพานของเราดีกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2011 เมื่อ 13:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 24-01-2011, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ในมณิกัณฐชาดก พญานาคเห็นฤๅษีไปจำศีลอยู่ริมแม่น้ำ ด้วยความเลื่อมใสพญานาคจึงขึ้นมาหา แต่ขึ้นมาเป็นงูใหญ่ ฤๅษีเห็นก็กลัว พญานาคขึ้นทุกวัน จนฤๅษีกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ฤๅษีผู้เป็นพี่ชายมาเยี่ยมฤๅษีผู้เป็นน้อง ถามถึงทุกข์สุข ฤๅษีคนน้องจึงบอกว่า พญานาคขึ้นมาทุกวัน ตนเองกลัวมาก ฤๅษีผู้พี่จึงแนะนำว่า ต่อไปถ้าพญานาคมา ให้ขอแก้วมณีจากพญานาค เพราะพญานาคมาจะมีแก้วมณีติดตัวมาด้วย ฤๅษีคนน้องก็จำไว้

พอพญานาคมาอีก ฤๅษีผู้น้องจึงบอกแก่พญานาคว่า "ไหน ๆ เราก็รู้จักกันมานานแล้ว เราขอแก้วมณีที่คอท่านเถอะ เราอยากได้" พญานาคบอกว่า "แก้วมณีเป็นที่มาของอาหาร น้ำ และเครื่องใช้ไม้สอยของเขา ไม่สามารถที่จะให้ท่านได้หรอก เราเห็นท่านเป็นผู้ที่ละกิเลสแล้ว จึงเลื่อมใสขึ้นมาหาด้วยความเคารพ แต่ไม่นึกว่าท่านยังเป็นผู้ที่มักมากอยู่ ฉะนั้นเราอย่าได้เจอกันอีกเลย" ตั้งแต่นั้นมาพญานาคก็ไป ไม่มาหาอีกเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ มีที่มาจากเรื่องนี้แหละ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว