กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-07-2018, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สำหรับวันนี้เมื่อฟังจากคำถามต่าง ๆ ของเราแล้ว สรุปได้ว่าหลายท่านยังมีการปฏิบัติที่เปะปะ ถ้าเป็นอาการอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า “เหวี่ยงแห” ก็คือสักแต่ว่าทำ โดยบางทีเป้าหมายก็ยังไม่ชัดเจน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนพุทธบริษัทให้ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ซึ่งความจริงแล้วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อย่อลงมาแล้วเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา

การปฏิบัติธรรมของเราทั้งหลายก็ขอให้ว่ากันตามแนวนี้ ก็คือเบื้องต้นอันดับแรก ให้เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะชำระศีลทุกข้อของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรศีล ๑๐ พระภิกษุศีล ๒๒๗ เป็นต้น พยายามไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล นี่คือเป้าหมายแรกของเราที่ต้องทำเอาไว้ให้ชัดเจน

ดังนั้น...สิ่งที่สมควรจะต้องทำต่อในแต่ละวัน คือ เราต้องระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบททุกข้ออย่าให้ผิดพลาดได้ ถ้าหากว่าผิดพลาดเสียหายตรงไหน ก็ให้ตั้งใจทันทีเดี๋ยวนั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

ในเมื่อเป้าหมายทางด้านศีลของเราชัดเจนแล้ว ก็ไปดูในด้านของสมาธิ ในด้านของสมาธิ ให้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า อย่างน้อยเราต้องทรงปฐมฌานละเอียดให้ได้ เพราะว่ากำลังของปฐมฌานละเอียดนั้น ตัดกิเลสในระดับของพระโสดาบันและพระสกทาคามีได้ และโดยเฉพาะถ้าท่านใดเข้าถึงปฐมฌานละเอียดได้แล้ว โอกาสที่เข้าถึงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ ในเมื่อเป้าหมายของเราชัดเจนแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประคับประคองรักษาสภาพจิตของเรา ให้อยู่กับลมหายใจเข้าให้มากเข้าไว้ในแต่ละวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2018 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-08-2018, 08:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เวลาที่ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังในเรื่องของศีล สภาพจิตก็จะเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เราก็แค่พยายามเอาสติเข้าไป ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าสติไม่หลุดไปจากลมหายใจ หายใจเข้าผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก สามารถรักษาอารมณ์นี้ได้โดยที่ไม่เคลื่อนคลายไปไหน โอกาสที่จะเข้าถึงอัปปนาสมาธิที่ละเอียดขึ้นไป ก็เป็นของที่หวังได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าท่านสามารถเข้าถึงได้แล้ว ก็พยายามที่จะปลดความอยากออกจากใจของเรา ก็คือเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะทรงสมาธิระดับสูงขึ้นไปได้หรือไม่เป็นเรื่องของเขา คำว่าเป็นเรื่องของเขาในที่นี้ก็คือ เราอย่าไปอยากมี อยากได้ อยากเป็น แต่ให้ตั้งหน้าตั้งตาตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราไป เพราะว่าถ้าเราอยากได้ฌานที่ ๒ อยากได้ฌานที่ ๓ อยากได้ฌานที่ ๔ ตัวอยากคือตัณหานั้นจะพาสภาพจิตให้ฟุ้งซ่าน ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมาธิระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นได้

เมื่อเป้าหมายในด้านศีล ด้านสมาธิของเราชัดเจน และมีการทบทวนอยู่ในแต่ละวันแล้ว ก็มาดูเป้าหมายสุดท้ายคือด้านปัญญา อย่างน้อย ๆ เราต้องมีปัญญาเห็นชัดว่า ตัวเราต้องตายอย่างแน่นอน ในเมื่อรู้ตัวว่าตัวเราจะต้องตายอย่างแน่นอน ทำอย่างไรที่ตายแล้วเราจะไม่ขาดทุน นั่นก็คืออย่างน้อย ๆ เราจะต้องเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันให้ได้ เพื่อที่จะปิดอบายภูมิทั้ง ๔ ไม่ให้ก่อทุกข์ก่อโทษแก่เราได้

การที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้นั้น ก็ต้องเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง ๆ เคารพในพระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทตามสภาพของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล พร้อมกับต้องมีความรู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย

ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเราเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน ถ้าหากว่าตายจากชาตินี้ เราไม่พึงปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกแล้ว ขอเพียงพระนิพพานเป็นที่ไปของเราเท่านั้น หากว่าเป้าหมายของเราในด้านศีล ด้านสมาธิ ด้านปัญญาชัดเจนแบบนี้ มีการทบทวนอยู่ทุกวัน ๆ พยายามปฏิบัติขัดเกลากาย วาจา ใจของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราก็จะมีโอกาสล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้



ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้สัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2018 เมื่อ 14:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว