กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-03-2024, 18:09
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 335
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,291 ครั้ง ใน 808 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-03-2024, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องไปยังสวนรื่นรมย์ ราฟท์วิว รีสอร์ท แต่เช้ามืด เพื่อไปร่วมงานที่ร้อยวันพันปีจะได้ไปสักครั้งหนึ่ง ก็คืองานแต่งงานของน้องออมสิน (นางสาวสมหทัย มีราศรี) ลูกสาวของครูสมควร - ครูสุจิตรา มีราศรี ซึ่งครูสมควรนั้นเป็นไวยาวัจกรของวัดท่าขนุน ส่วนครูสุก็เป็นคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน

ส่วนน้องออมสินนั้น พวกกระผม/อาตมภาพเรียกแต่ชื่อเล่น จนกระทั่งจำไม่ได้ว่าชื่อจริงคืออะไร ท้ายที่สุดก็ต้องถามจากครูมอญ (นางพนอ จันทจิตร) ประธานชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย ในเมื่อตัวประธานชุมชนบอกกล่าวเอง จึงไม่น่าจะผิดพลาด

การแต่งงานจัดขึ้นที่รีสอร์ต ซึ่งต่อว่ากระผม/อาตมภาพว่า "บรรดาพระสายปกครองทั้งหมด ล้วนแล้วแต่มาที่รีสอร์ทแห่งนี้แล้วทั้งสิ้น ยกเว้นหลวงพ่อวัดท่าขนุน" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำอยู่ในใจ เนื่องเพราะว่าไปเดินอยู่จนทั่วรีสอร์ทของเขาเพื่อหาข้อมูลมาแล้ว และตัวเจ้าของรีสอร์ทเอง ก็เป็นคนบอกกล่าวเองว่าแต่ละห้อง แต่ละแห่งนั้น ราคาเท่าไร ซึ่งกระผม/อาตมภาพจำเป็นจะต้องหาข้อมูล เพราะว่างานชุมชนคุณธรรมนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ต้องแนะนำที่พักสำหรับผู้ที่สนใจจะไปค้างคืนเพื่อดูงานด้วย

การแต่งงานนั้นก็เป็นพิธีตามแบบโบราณเป็นต้นมา ก็คือมีการสวมมงคล เจิมหน้าผาก ทำบุญใส่บาตร ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ และรับน้ำพระพุทธมนต์ ส่วนน้ำสังข์นั้นต้องรอให้ผู้ใหญ่ไปรดกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของพระ..!

เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพก็ไปนึกถึงพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่จะมีความรักต่อกันนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ซึ่งเรื่องนี้นั้นมีมาในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ คือพระสุตตันตปิฎก อยู่ในขุททกนิกายชาตก หรือที่เรียกว่าชาดก ก็คือเอกจัตตาฬีสนิบาต ก็คือตอนที่ ๔๑ หรือว่าเรื่องที่ ๔๑

ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมหมู่ภิกษุเสด็จไปยังเมืองสาเกต เพื่อรับบิณฑบาต เมืองสาเกตนี้เป็นเมืองคู่แฝดของเมืองสาวัตถี เนื่องจากว่าเมืองสาวัตถีของแคว้นโกศลนั้น หาเศรษฐีที่มีฐานะระดับเศรษฐีจริง ๆ ไม่ค่อยได้เลย เนื่องเพราะว่าในสมัยก่อนนั้น บุคคลที่จะเป็นเศรษฐี จะต้องมีทรัพย์อย่างน้อย ๘๐ โกฏิ ถ้าหากว่าตีตามมาตราปัจจุบันก็คือ ๘๐๐ ล้านบาท แต่เราต้องเข้าใจว่า ๘๐๐ ล้านในสมัยนั้น ถ้าเป็นปัจจุบัน ๘ แสนล้านในสมัยนี้ ก็น่าจะน้อยเกินไป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-03-2024, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เศรษฐีท่านใดมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ถ้าหากว่าพระเจ้าแผ่นดินตรวจตราพิสูจน์แล้วว่ามีครบถ้วนจริง ก็จะพระราชทานฉัตร ๓ ชั้นสำหรับตำแหน่งเศรษฐีให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทางเมืองสาวัตถีนั้นมีเศรษฐีน้อยมาก เท่าที่ปรากฏอยู่นั้นก็แทบไม่มีเลย จึงต้องมีการไปขอจากเมืองราชคฤห์มา ทางด้านเมืองราชคฤห์ก็มอบธนัญชัยเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของนางวิสาขามหาอุบาสิกามาให้ ธนัญชัยเศรษฐีจึงต้องอพยพครอบครัวพร้อมข้าทาสบริวาร เพื่อที่จะไปอยู่ประจำที่เมืองสาวัตถี

แต่ปรากฏว่าเฉพาะข้าทาสบริวารของธนัญชัยเศรษฐีก็มีถึงสองแสนกว่าคนแล้ว..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเข้าไปในตัวเมือง ก็จะสร้างความลำบากให้กับอีกฝ่ายหนึ่งมาก เมื่อกองคาราวานอพยพของธนัญชัยเศรษฐีมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีภูมิประเทศเหมาะสม อยู่ใกล้เคียงกับเมืองสาวัตถี จึงส่งทูตไปแจ้งกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ขอที่ผืนตรงนั้น เพื่อที่จะได้ตั้งบ้านแปลงเมืองกัน อาศัยอยู่ตรงนั้น ในฐานะของประชากรขึ้นอยู่กับแคว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานที่ดินให้ ธนัญชัยเศรษฐีจึงสร้างเมืองขึ้นมา ชื่อว่าเมืองสาเกต ถือว่าเป็นเมืองแฝดของเมืองสาวัตถีนั่นเอง

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เสด็จไปประจำอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถีแล้ว ก็เสด็จบิณฑบาตอยู่ทั้งสองเมือง ปรากฏว่าเมื่อไปถึงเมืองสาเกตใหม่ ๆ มีพราหมณ์แก่ชาวเมืองสาเกตคนหนึ่ง กำลังเดินออกนอกพระนครมา พอเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบริเวณประตู ก็ตกตะลึง หมอบลง กอดพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร้องห่มร้องไห้ พร่ำกล่าวว่า "ลูกเอ๋ย..ธรรมดาลูกก็ควรจะต้องดูแลพ่อแม่ในยามแก่ชรามิใช่หรือ ? เหตุไฉนพ่อจึงไม่ได้เจอหน้าลูกมานานแสนนาน ตอนนี้เมื่อพบแล้ว ขอให้ลูกตามไปพบแม่ของลูกด้วยเถิด"

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงอนุโลมเสด็จตามพราหมณ์ผู้นั้นไป ซึ่งภายหลังพราหมณ์ผู้นั้นได้ชื่อว่านกุลปิตา ก็คือพราหมณ์ผู้เป็นพ่อของนายนกุละ เมื่อไปถึง นางพราหมณีซึ่งภายหลังมีนามว่านกุลมาตา ก็คือแม่ของนายนกุละ ได้ยินว่าลูกมาเยี่ยมบ้านแล้ว ก็ออกมาหมอบกราบองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ร้องไห้ว่า "พ่อทูนหัวของแม่ หายไปไหนมานาน ธรรมดาลูกมีหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อแม่มิใช่หรือ ?" แล้วก็ไปเรียกลูกสาวลูกชายทั้งหมดออกมา บอกว่า "เจ้าจงมาไหว้พี่ชายของพวกเจ้าเสีย"

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการถวายมหาทานจากพราหมณ์ทั้งสอง พร้อมกับหมู่ภิกษุสงฆ์ ครั้นเสวยภัตตาหารเสร็จ ก็ตรัส "ชราสูตร" แก่นกุลปิตาและนกุลมาตา เมื่อจบพระสูตร ทั้งสองได้บรรลุอนาคามิผล กลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นเอตทัคคะบุคคลฝ่ายฆราวาส ด้านผู้มีความคุ้นเคยอย่างยิ่งกับพระบรมศาสดา

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทั้งสองนั้น เคยเกิดเป็นบิดามารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ต่อเนื่องกันถึง ๕๐๐ ชาติ จึงทำให้พอเห็นหน้าเท่านั้นก็จำได้ว่าบุคคลนี้เป็นลูกของตน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 01:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-03-2024, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วองค์สมเด็จพระทศพลก็ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า สาเหตุแห่งความรักนั้น มีมาดังนี้คือ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก

ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ก็คือความรักนั้นย่อมเกิดด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการที่ ๑ การอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน ที่ภาษาไทยเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส

ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าปัจจุปปันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันในปัจจุบัน


เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก ก็คือเหมือนอย่างกับดอกบัวที่เกิดขึ้นในน้ำ จะเกิดได้ก็เพราะอาศัยเหตุสองประการ คือน้ำและโคลนฉะนั้น

ดังนั้น..ธรรมดาความรักนี้ ถ้าหากว่าเคยเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา หรือสหายกันมาในชาติก่อน ๆ ความรักนั้นก็ยังคงติดตามไปในชาติอื่น ๆ อีก ทำให้เห็นหน้าก็รู้สึกรัก รู้สึกชอบพอใจ

ในขณะเดียวกัน ถ้าในชาติปัจจุบันนี้ มีการเกื้อกูลต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ก็ก่อให้เกิดความรักได้เช่นกัน ดังนั้น..ใครที่หมอดูบอกว่าไม่มีเนื้อคู่ โปรดอย่าเชื่อเป็นอันขาด เนื้อคู่ที่ว่านั้นคือเนื้อคู่โดยบุพเพสันนิวาส เราก็มาหาเนื้อคู่ที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันเสียก็หมดเรื่องไป..!

ส่วนการที่เราจะอยู่ด้วยกันในฐานะคู่ครอง แล้วสามารถที่จะอยู่ได้ โดยที่ไม่ลำบากมากนัก ก็ต้องมีสมชีวิธรรม ๔ ประการ ซึ่งตรงนี้มาในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 01:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 24-03-2024, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่จะอยู่ร่วมกันได้นั้น ต้องมี ข้อที่หนึ่ง สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน สมมติว่าอยู่ในศาสนาไหน ก็อยู่ในศาสนาเดียวกัน มีความเคารพเลื่อมใสในศาสนาพุทธ ก็เป็นศาสนาพุทธเหมือนกัน เป็นต้น แล้วขณะเดียวกัน ศรัทธานี้ก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน อย่างเช่นว่าถึงขนาดมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยได้ ก็ต้องมอบกายถวายชีวิตได้ทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถือว่ามีศรัทธาเสมอกัน

ข้อที่สอง สมสีลา มีศีลเสมอกัน ก็คือทั้งคู่ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่า เป็นเทวดากับนางฟ้า มนุษย์หญิงกับมนุษย์ชาย ยักษากับยักษี เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่ามีศีล คือความประพฤติ กาย วาจา ใจ เสมอกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้

ข้อที่สาม สมจาคา มีการเสียสละแบ่งปันต่อผู้อื่นเสมอกัน ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งชอบให้ทาน อีกคนหนึ่งกลับตระหนี่ถี่เหนียว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ด้วยกันได้ยาก

และข้อที่สี่ สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน อย่างเช่นว่าเห็นประโยชน์ของทาน ของศีล ของภาวนา เหมือน ๆ กัน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ถึงจะอยู่ร่วมกันได้นาน ถึงใช้คำว่าสมชีวิธรรม ก็คือหลักธรรมในชีวิตที่เสมอเหมือนกัน จึงทำให้คู่ครองสามารถอยู่กันได้ยืนยาว

ดังนั้น..ที่มีบุคคลบางคนกล่าวธรรมว่า "ศีลเสมอแล้วเจอกัน" จึงไม่ใช่เรื่องจริง เนื่องเพราะว่าถ้ามีศีลเสมอกัน แต่ว่าศรัทธาไม่เสมอกัน จาคะไม่เสมอกัน ปัญญาไม่เสมอกัน โอกาสที่เจอกันก็จริง แต่การอยู่ร่วมกันนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

สำหรับวันนี้ ก็รบกวนเวลาของพวกเรามามากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และ
บอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 01:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว