กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 01-06-2018, 08:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น...ในส่วนพวกนี้ญาติโยมอย่าปล่อยให้เกิดการเข้าใจผิด แล้วทำให้คิดว่าพระบางพวกเคร่งครัด บางพวกไม่เคร่งครัด อย่างเช่นว่าพระธรรมยุตไม่ใส่รองเท้า อาตมายืนยันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ใส่รองเท้าได้ โดยที่พระองค์ท่านระบุเอาไว้ว่า บุคคลที่เท้าเป็นแผลหรือว่าเท้าบาง เดินแล้วเจ็บเท้า ใส่รองเท้าได้ และอนุญาตให้มีรองเท้าถึง ๒ คู่ ก็คือรองเท้าที่ใช้ในเวลาเดินทางไกลหนึ่งคู่ รองเท้าอีกคู่หนึ่งนั้นเมื่อกลับเข้าถึงที่พัก ล้างเท้า เช็ดเท้า ทำความสะอาด ทาน้ำมันแล้ว ใช้รองเท้าอีกหนึ่งคู่ใส่สำหรับเดินในที่อยู่ได้

ปัจจุบันนี้เวลาญาติโยมไปพักโรงแรม เขาจะมีรองเท้าให้ใส่เดินในห้อง หรือใส่เดินในอาคารสถานที่ อย่าคิดว่านั่นเป็นเรื่องทันสมัย พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระใช้มาก่อน ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ก็แปลว่าการที่ธรรมยุตไม่ใส่รองเท้า ไม่ได้แปลว่าเคร่งครัดกว่า หากแต่เป็นการตีกิน ไม่ยอมบอกกล่าวแก่คนที่ไม่รู้พระวินัยอย่างละเอียดเท่านั้น

อีกส่วนหนึ่งก็คือธรรมยุตไม่ฉันนม บอกว่าเคร่งครัดกว่า อาตมาเองก็ยังแปลกใจว่าเคร่งครัดกว่าตรงไหน เพราะว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ว่า เภสัชก็คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย สามารถฉันหลังเพลได้ ธรรมยุตที่บอกว่าไม่ฉันนม ถ้าญาติโยมไปเห็น จะเห็นว่าตอนเย็น ๆ เขามีการฝานเนยเป็นแผ่น แล้วแถมยังมีการประดับด้วยพริกอีก เสียบไม้จิ้มฟันเรียงไว้เป็นตับ ก็ฉันกันเป็นปกติ อาตมาเองยังสงสัยอยู่ว่านมกับเนยนี่อย่างไหนจะแย่กว่ากัน ?

บางท่านบอกว่าที่ท่านไม่ฉันนม เพราะว่านมมีส่วนของแป้งที่เป็นอาหาร อันนี้ใช่ ถ้าเป็นนมข้น แต่ถ้าหากว่าเป็นนมสด นมส้ม หรือว่าที่เราเรียกกันว่าเป็นนมเปรี้ยว พวกนี้ก็ไม่ได้มีส่วนประกอบอย่างที่ว่ามา แต่ท่านก็ว่าท่านไม่ฉันแล้วท่านเคร่งครัดกว่า โปรดทราบว่าอย่าไปให้ท่านแหกตาเราบ่อยนัก ทุกวันนี้สายตาเราก็กว้างมากพอแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2018 เมื่อ 16:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 01-06-2018, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของพระธรรมยุตกับมหานิกายเท่าที่อาตมาพบมา ส่วนที่ท่านดีก็มีอยู่มาก ท่านที่ปฏิบัติถึงก็ไม่ได้มีความรังเกียจในพระมหานิกายเลย ส่วนท่านที่ปฏิบัติไม่ถึง แต่ว่าสร้างอาบัติ เพิ่มอาบัติให้แก่ตัวเอง ศีลขาดอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นอาตมาไปวัด ท่านพรรษาน้อยกว่า แต่ท่านก็ไม่กราบ ไม่ไหว้ ไม่ปฏิสันถารตามแบบของสามีจิกรรม ตามกิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกะวัตรที่พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ ก็แปลว่าท่านศีลขาดอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์กว่า ท่านไม่สามารถจะไหว้พระมหานิกายได้ นั่นแปลว่าแบกสักกายทิฐิและแบกมานะสังโยชน์ไว้เต็ม ๆ จัดเป็นสีลัพพตปรามาส คือการยึดมั่นในหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าคนอื่นเขา ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาตมารับประกันว่าเอาดีไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่ว่าหลายท่านที่ท่านปฏิบัติเคร่งครัดเข้าถึง มีความรู้ว่าสภาพของธรรมชาติของบุคคลก็ดี หรือว่าหลักการของศีลพระก็ดี ไม่ได้อยู่ที่นิกาย แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีการปฏิสันถารตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านให้เอาไว้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงภูมิธรรมในจิตในใจของท่าน ว่ามีการปฏิบัติที่สูงต่ำเพียงไร

ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่บอกเพื่อให้ญาติโยมเข้าใจว่า พระมหานิกายไม่เคยรังเกียจพระธรรมยุต แต่พระธรรมยุตมักจะตั้งข้อรังเกียจพระมหานิกายว่าไม่เคร่งครัด ไม่บริสุทธิ์เท่ากับท่าน ซึ่งกลายเป็นการแบกกิเลสเอาไปอวดคนอื่นเขา อาตมาเห็นทีไรก็สงสารท่านทุกครั้งว่า ถ้าท่านยังแบกกิเลสอยู่ลักษณะนี้แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ไปบอกไปกล่าวอะไร เพราะว่าเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่เห็นโทษด้วยตนเอง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ พอคนอื่นมาบอกกล่าว ถ้ารับไม่ได้ เกิดโทสะ ไม่พอใจขึ้นมา ก็กลายเป็นเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองมากขึ้นไปอีก

อาตมาจึงถือคติว่า อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ การที่เราเอาไม้สั้น ๆ ไปตีกองขี้ มีแต่จะกระจายใส่ตัวแล้วเหม็นเราเสียเปล่า ๆ เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา เพราะว่าทุกรูปทุกท่านก็คือศากยบุตรพุทธชิโนรสเหมือนกัน เพียงแต่ว่าแนวปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันไป ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนต่อ ๆ กันมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2018 เมื่อ 16:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 01-06-2018, 08:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ซึ่งตั้งแต่สมัยหลังพุทธกาลก็เริ่มมีการแตกแยกแล้ว เนื่องจากว่าทางฝ่ายเถรวาทที่นำด้วยพระมหากัสสปะ ๕๐๐ รูปทำการสังคายนาพระธรรมวินัย แล้วพระปุราณะเถระจากทักขิณาคีรีชนบท ถ้าเปรียบเป็นสมัยนี้ก็ประมาณแม่สายหรือสุไหงโกลก กว่าท่านจะเดินทางมาถึง ทางคณะสงฆ์ก็ทำการสังคายนาพระวินัยเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว คณะสงฆ์ก็แจ้งให้ท่านทราบว่าได้ทำการสังคายนาพระวินัยอย่างนี้ ๆ

ท่านก็บอกว่า "อาวุโส...เราขออนุโมทนาด้วย แต่เราจะปฏิบัติเฉพาะที่ได้ยินมาจากพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น" ซึ่งตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ผิด เหตุที่ผิดก็เพราะว่าศีลบางข้อ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เฉพาะช่วงเกิดทุพภิกขภัยหรือฉาตกภัย คือมีการแห้งแล้งอดอยาก ไม่มีอะไรจะฉัน อนุญาตให้ภิกษุฉันของสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ เก็บของเอาไว้ได้โดยที่ไม่เป็นอาบัติ เป็นต้น

แต่เมื่อเวลาเช่นนั้นล่วงพ้นไป พระพุทธเจ้าทรงประกาศยกเลิกสิกขาบทนั้น แต่ว่าพระปุราณะเถระท่านอยู่ในที่ไกล ข่าวคราวไปไม่ถึง ท่านก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามแบบเดิม ๆ ซึ่งกลายเป็นผิดไปแล้ว โดยอ้างว่าท่านได้ยินมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ซึ่งก็ใช่ แต่ตอนที่ท่านประกาศยกเลิก กลับไม่ได้ยิน จึงมีการแตกแยกทางการปฏิบัติกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พอ ๑๐๐ ปีผ่านไป มีการสังคายนาพระวินัยใหม่ ก็ทำให้ภิกษุวัชชีบุตรไปรวบรวมบริวารได้ ๑๐,๐๐๐ รูป ทำสังคายนาพระวินัยแข่งกัน ทางด้านคณะสงฆ์ที่นำโดยพระยสกากัณฑบุตร รวบรวมพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ทำการสังคายนาพระวินัย ส่วนพระภิกษุวัชชีบุตรไม่รู้ว่าไปพาใครต่อใครมา จนได้ครบ ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกว่าคณะมหาสังฆิกะ แล้วทำการสังคายนาพระวินัยกันเอง โดยที่อ้างว่าตัวเองมีคนมากกว่า ไม่ได้ดูว่าที่มากกว่านั้นคุณภาพของคนเป็นอย่างไร ฝ่ายสังคายนาที่ถูกต้องที่ยอมรับ ท่านมีพระอรหันต์ ๗๐๐ รูปช่วยกันทำ ส่วนของตนเองไม่ทราบว่าไปเอาหลวงปู่หลวงตามาจากที่ไหนบ้าง ครบ ๑๐,๐๐๐ รูปก็ทำกันเอง จึงเป็นต้นสายของมหายานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พอปี​ พ.ศ. ๓๒๕ มีการสังคายนาพระวินัยครั้งที่ ๓ ตอนนี้แตกกระจัดกระจายมาก แยกออกเป็นถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน เพราะแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ถือตามที่ครูบาอาจารย์ตัวเองสอน เรียกว่าอาจริยวาท ไม่ฟังคนอื่น ไม่สอบสวนทวนความกับพระไตรปิฎก ก็เลยกลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2018 เมื่อ 16:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 01-06-2018, 09:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างปัจจุบันนี้ ในบ้านเราก็มีพวกพุทธวจนะขึ้นมา ซึ่งท่านถือพระวินัยปิฎก มีศีล ๑๕๐ ข้อ ทั้ง ๆ ที่ศีลพระมี ๒๒๗ ข้อ โดยที่กล่าวอ้างว่ามีปรากฏชัดอยู่ในพระสูตร ซึ่งนั่นก็ใช่ แต่เป็นลักษณะของการอ่านพระไตรปิฎกไม่ครบ แล้วก็มั่วเอาเอง อย่างเช่นเราจะประกาศว่า กฎหมายข้อนี้ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เราจะไม่ปฏิบัติตาม อาตมารับประกันว่าติดคุกหัวโต เพราะว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ โดนแก้ไขมา ๒ รอบแล้ว รวมทั้งรอบนี้

ท่านไปเอาเนื้อหาในพระสูตรที่กล่าวถึงศีลพระในระยะแรก ๑๕๐ ข้อมา แล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีแค่นั้น โดยที่ไม่ได้ดูว่าพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาอีกตั้งหลายสิบข้อ นั่นคือลักษณะของบุคคลที่เรียนแบบอลคัททูปมปริยัติ ก็คือศึกษาแบบจับงูข้างหาง มีแต่จะโดนงูกัดตาย

การศึกษานั้น ในบาลีแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ อลคัททูปมปริยัติ คือการศึกษาแบบจับงูข้างหาง มีแต่เกิดโทษแก่ตัวเอง เดือดร้อนแก่ตัวเอง

ประการที่ ๒ เรียกว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ คือการเรียนแบบคลังสะสมความรู้ ก็คือเก็บรักษาความรู้ไม่ให้สูญหาย เป็นการพยายามท่องจำศึกษาเอาไว้ แต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ตน นอกจากจำได้

ประเภทสุดท้าย เรียกว่า นิสสรณัตถปริยัติ คือการศึกษาเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ท่านประเภทนี้เท่านั้น ที่มีโอกาสได้เข้าถึงรสพระธรรมอย่างแท้จริง

ดังนั้น ในส่วนของพุทธวจนะนั้น เป็นการที่ทางวัดนั้นเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระไตรปิฎก แล้วก็ไปแอบอ้างว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เพราะอ่านพระไตรปิฎกไม่ครบถ้วนยังไม่พอ ยังไม่มีความรู้จริง เนื่องจากว่าปฏิเสธคำสอนของครูบาอาจารย์จนโดนตัดออกจากสายการปฏิบัติ ก็ยังคงไม่ยอมกลับตัว ยังคงประพฤติปฏิบัติแบบเดิมต่อไป​ ซึ่งจะมีโทษแก่ตัวเองและผู้ที่ติดตามอีกด้วย

เรื่องพวกนี้ถ้าเราสามารถชี้แจงให้ญาติโยมรู้ได้อย่างชัดเจน เรื่องที่จะเป็นโทษก็จะไม่มีทั้งทางฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส แต่ถ้าหากว่าเราศึกษาไม่ครบ แล้วก็ยังไปแอบอ้างผิด ๆ นอกจากตัวเราจะเกิดโทษแล้ว ยังพาให้ญาติโยมที่ติดตามหลงออกนอกทางไปไกล มีสิทธิ์ที่จะหลุดออกนอกวงโคจร เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ยากมาก ๆ เพราะว่าในส่วนของการปฏิบัตินั้น จะมีมารคือผู้ขวางอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาเขี่ยเราพ้นทางได้เมื่อไร เขาก็จะสกัดไม่ให้กลับเข้าทางได้อีก โอกาสที่ท่านจะได้มรรคผลชาตินี้ก็เป็นหมัน ถ้าหากว่าพลาดจากชาตินี้โดยมีมิจฉาทิฐิอยู่ในกมลสันดาน ก็จะพลาดในชาติต่อ ๆ ไปอีกนับชาติไม่ถ้วน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-06-2018 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 02-06-2018, 23:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของการศึกษานั้น ญาติโยมทั้งหลายพึงทราบว่า ไม่ใช่แต่พระมีหน้าที่ศึกษาพระไตรปิฎกหรือความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายก็ต้องเป็นผู้ศึกษาด้วย เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากภารธุระในพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมหญิงชาย คือ อุบาสกอุบาสิกา พวกเราต้องศึกษาพระวินัยเอาไว้

อันดับแรก เพื่อจะได้รู้ว่าของแท้ของจริงเป็นอย่างไร

อันดับที่สอง เพื่อปฏิบัติพาตัวให้หลุดพ้นจากกองทุกข์

อันดับที่สาม เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว สามารถแนะนำผู้อื่นต่อ และถ้ามีผู้ใดมากล่าวตู่พระพุทธศาสนา ท่านจะได้ช่วยแก้ไข เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของพระภิกษุ สามเณรเท่านั้น

องต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากภาระไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ โดยที่พระองค์ท่านให้ทั้ง ๒ ฝ่ายเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อุบาสกอุบาสิกาเป็นฝ่ายอาคาริกะ คือ ผู้ครองเรือน ทำมาหากิน ได้ปัจจัย ๔ มาแล้วก็แบ่งปันถวายให้กับภิกษุ ภิกษุณี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2018 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 02-06-2018, 23:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ภิกษุภิกษุณีเมื่อมีปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยการทำมาหากิน ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาและปฏิบัติในพระธรรม เมื่อปฏิบัติได้ผล รู้ว่าทางใดไปง่ายที่สุด ก็จะนำมาบอกกล่าวแก่อุบาสกอุบาสิกา ที่ยุ่งยากด้วยการทำมาหากิน มีเวลาปฏิบัติธรรมได้น้อย เมื่ออุบาสกอุบาสิการู้ทางลัด รู้ทางตรง ก็สามารถที่จะเข้าสู่มรรคเข้าสู่ผลได้เช่นกัน

ดังนั้น ในส่วนของอาคาริกะคือผู้ครองเรือน มีหน้าที่สนับสนุนฝ่ายอนาคาริกะผู้ไม่ครองเรือน ศึกษาได้แล้วนำกลับมาบอกกล่าวต่อ ก็จะอยู่ในลักษณะของการพึ่งพาอาศัยกัน แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พระพุทธศาสนาของเราก็จะเจริญมั่นคง

ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาญาติโยมฟังคำกล่าวตู่ของบุคคลผู้ไม่หวังดี พยายามที่จะทำพระพุทธศาสนาเราให้อ่อนแอที่สุด เพื่อที่ถึงเวลาแล้วศาสนาอื่นจะได้เข้ามายึดครองแทน เราก็ไม่สามารถที่จะโต้แย้งใด ๆ ได้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรไว้เลย ซึ่งส่วนนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

การที่ญาติโยมทั้งหลายจะศึกษาก็มี ๒ วิธี

วิธีแรก อ่านพระไตรปิฎกด้วยตนเอง เรื่องนี้อาตมาปลื้มใจมากเมื่อได้ไปเนปาล ประเทศเนปาลขาดพระภิกษุสงฆ์มา ๗๐๐ กว่าปี อาศัยญาติโยมอ่านพระไตรปิฎกเองแล้วปฏิบัติตามคำสอนในพระไตรปิฎกนั้น ๆ รักษาพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน

จนถึงสมัยสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่​ ๑๙ คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านถึงได้ไปบวชให้กับกุลบุตรทางด้านโน้น ฟื้นฟูพระภิกษุสงฆ์กลับคืนมา ซึ่งพระที่ท่านบวชให้รุ่นแรก ๆ คือท่านเจ้าคุณอนิลมานหรือว่าท่านเจ้าคุณพระศากยวงศ์วิสุทธิ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2018 เมื่อ 08:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 02-06-2018, 23:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น เราเองก็สามารถที่จะศึกษาพระไตรปิฎกเองได้ แต่เนื่องจากว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นภาษาเก่า บางทีเราเองก็แปลไทยเป็นไทยไม่ถูก อย่างเช่น เขากล่าวว่าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงทุคติวินิบาต ฟังแล้วประสาทจะกิน ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าตายห่..แล้วจะลงนรก...!

ถ้าหากว่าท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถสอบถามได้จากพระภิกษุสามเณรที่วัดใกล้บ้านของท่าน หรือถ้าหากว่าไม่มั่นใจว่าท่านจะรู้จริง มีเวลามาถามอาตมาถึงที่นี่ก็ได้ หรือไม่ก็ต้นเดือน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อาตมาจะอยู่ที่บ้านเติมบุญ ตรงสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีบางรักใหญ่) ถ้าออกจากกรุงเทพฯ มา ก็ก่อนถึงเซ็นทรัลเวสต์เกต ๒ สถานี บ้านจะอยู่ตรงข้าง ๆ สถานีนั้นเลย สามารถไปสอบถามได้เดือนละ ๓ วัน ไม่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่

ในส่วนนี้ก็ขอฝากแก่ญาติโยมเอาไว้ว่า พระพุทธเจ้าฝากภารธุระในพระพุทธศาสนาให้แก่พวกเราทุกคน อย่าผลักภาระให้กับเฉพาะพระเณรเท่านั้น เพราะว่าภิกษุณีในปัจจุบันบ้านเราไม่มีแล้ว วงศ์ของภิกษุณีขาดสูญไปนานแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ถ้าพระพุทธศาสนานี้มีภิกษุณีอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2018 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 02-06-2018, 23:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าญาติโยมดูข่าวคราวในปัจจุบันนี้ก็จะเห็นว่า บรรดาญาติโยมผู้หญิงทั้งหลายอยู่กับบ้านแท้ ๆ ก็ยังโดนลากเข้ากุฏิไปเสียเยอะ เป็นข่าวเป็นคราวไม่ดีไม่งามออกมาอยู่เรื่อย ๆ แล้วภิกษุณีนั้นมีกติกาบังคับว่า ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับพระภิกษุ โอกาสที่ปุถุชนทั้งหลายจะกระทำเรื่องผิดเรื่องพลาดให้ศาสนามัวหมองเสียหาย จนคนหมดความเลื่อมใสแล้วศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้ก็จะมีอยู่มาก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า

อันดับแรก ผู้ที่จะบวชภิกษุณีต้องรับครุธรรม ๘ ประการ ประการหนึ่งก็คือ เมื่ออุปสมบทในส่วนของภิกษุณีแล้วต้องมาญัตติซ้ำในส่วนของภิกษุสงฆ์

ประการที่สอง ปวัตตินี ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของภิกษุณีนั้นต้องได้ ๒๐ พรรษาขึ้นไป ถึงจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ภิกษุณีได้ ในขณะที่ฝ่ายสงฆ์นั้น ถ้าได้ ๑๐ พรรษา รู้พระวินัยครบถ้วน ก็สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ได้

พระอุปัชฌาย์ฝ่ายปวัตตินีนั้น จะบวชภิกษุณีได้แค่ปีละ ๑ รูป เมื่อบวชแล้วต้องเว้นไปอีกปีหนึ่ง ถึงจะบวชได้ใหม่ ก็แปลว่า ๒ ปีบวชภิกษุณีได้ ๑ รูป

ส่วนผู้ที่จะเป็นภิกษุณีนั้นต้องมาเป็นสิกขมานา ถือศีลข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๖ ในศีล ๘ อย่างเคร่งครัดเป็นระยะเวลา ๒ ปี ถ้าศีลไม่ขาดถึงอนุญาตให้บวชได้ ถ้าศีลขาดเมื่อไร ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2018 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 02-06-2018, 23:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีการทั้งหลายเหล่านี้จะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าป้องกันไม่ให้มีวงศ์ภิกษุณีสืบต่อกันไปเบื้องหน้า แต่ปัจจุบันนี้มีบางท่านที่พยายามจะประกาศตนเป็นภิกษุณี เมื่อทางด้านคณะสงฆ์บ้านเราไม่อนุญาตให้บวช ก็ไปบวชจากต่างประเทศมา โดยอ้างว่าที่โน่นมีการสืบสายกันมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งในเรื่องของพระธรรมวินัยย่อมไม่ใช่เรื่องของกฎหมายบ้านเมือง ย่อมไม่ใช่เรื่องของสิทธิเสรีภาพทั่วไป แต่ปัจจุบันนี้มีการอ้างว่าเป็นสิทธิของสตรีที่จะออกบวช ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้คัดค้าน แต่ว่าบวชแล้วไปประกาศตนเป็นภิกษุณี ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าสังกัดที่ไหน บวชมาได้อย่างไร

อาตมายังสงสัยว่าเมื่อถึงเวลาถ้าญาติโยมตั้งใจถวายของให้กับพระ พระในที่นี่คือพระผู้หญิง อาตมาก็ยังสงสัยว่า ถ้าหากว่าท่านไปกินไปใช้แล้วจะติดหนี้สงฆ์หัวโตหรือไม่ ? เพราะว่าโดยเพศภาวะแล้วท่านแค่โกนศีรษะ นุ่งห่มตามแบบ แต่ว่าเรื่องของการยกขึ้นเป็นอุปสัมบันคือเป็นภิกษุณีนั้นไม่สมบูรณ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2018 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 05-06-2018, 19:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นในบ้านเราเมืองเราเป็นจำนวนมาก ก็เพราะเกิดจากการแกล้งโง่อย่างหนึ่ง กับ ไม่รู้จริงอย่างหนึ่ง

การแกล้งโง่ อย่างเช่นว่า ศีลของพระนั้นขาดทันทีที่ล่วงละเมิด อย่างเช่นว่าถ้าฉ้อโกงเงินโยมตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ขาดจากความเป็นพระทันที แต่สมัยนี้ไม่ยอม บอกว่าต้องรอให้ศาลตัดสินเสียก่อน โดยการดึงเอาเรื่องทางโลกมาปะปนกับทางธรรม ซึ่งเป็นคนละสาเหตุ คนละประเด็นกัน เนื่องจากว่าพระวินัยคือศีลพระนั้น ขาดทันทีที่ทำสำเร็จ ไม่สามารถที่จะต่อติดได้ใหม่ แต่ปัจจุบันนี้มีลักษณะที่ว่า ถึงเวลาคืนเงินไปก็จบ ถึงเวลาถ้าศาลยังไม่ตัดสิน ผมก็ไม่ยอมรับ เป็นต้น

เราจะเห็นได้ว่าพวกเราหลงประเด็นไปไกลมากเกินไปเสียแล้ว ครูบาอาจารย์สมัยนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาเรียนรู้ ให้รู้จริงทั้งทางโลกทางธรรม ถึงเวลาจะได้ชี้แจงแสดงเหตุให้แก่พระภิกษุสามเณรได้รู้ชัดแจ้ง และถ้าญาติโยมสงสัยก็จะได้ชี้แจงให้โยมเข้าใจได้ถูกต้อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 05-06-2018, 19:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเดือนที่แล้ว อาตมาได้รับคำขอร้องจากหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ บอกว่า "อาจารย์พระครู ช่วยไปตัดสินความที่วัดหนองเจริญให้หน่อย เจ้าอาวาสเขาตัดสินว่าพระผิด แต่พระไม่ยอมรับ" อาตมาก็ถามวันเวลา แล้วก็นัดแนะทั้งโจทก์ทั้งจำเลย ก็คือฝ่ายของอาตมาที่ไป มีเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลในพื้นที่และเจ้าอาวาส โดยมีตัวอาตมาที่เรียนจบปริญญาเอก มีคำว่า ดร. ต่อท้ายเอาไว้ขู่เขา

เมื่อถึงเวลาก็ให้จำเลย คือพระรูปนั้นท่านเล่ามาว่าอะไรเป็นอะไร ท่านก็บอกว่า ท่านทำด้วยความหวังดี ปรารถนาดีทุกอย่าง แต่ทำไมเจ้าอาวาสไปว่าท่านผิด แล้วจะไล่ท่านออกจากวัดด้วย ท่านเล่าตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว อาตมาจึงได้บอกว่า เท่าที่ผมฟังมา ผมมั่นใจว่าท่านไม่เคยศึกษาพระวินัยเลย สิ่งที่ท่านทำผิด ผมจะบรรยายให้ฟังทีละข้อ

ข้อที่หนึ่ง ท่านเห็นว่าหน้าวัดรก เพราะว่ามีต้นไม้ใหญ่บังหน้าวัด ท่านก็ไปตัดเสียราบเลยเพื่อให้เขาเห็นหน้าวัดตัวเอง ต้นไม้เหล่านั้นอยู่ในเขตทางหลวง คุณทำผิดกฎหมาย ถ้าทางหลวงเขาฟ้องเมื่อไร ก็ติดคุกหัวโตเมื่อนั้น

ข้อที่สอง เจ้าอาวาสเลี้ยงเณรเอาไว้มาก ถึงเวลาหลังจากการเรียนแล้ว เณรก็วิ่งเล่นบ้าง บังคับรถวิทยุเล่นบ้าง ท่านก็เที่ยวไปไล่ต้อนเณรมานั่งสมาธิ เจ้าอาวาสบอกว่าคุณไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น ผมมอบหมายให้รองเจ้าอาวาสเขาดูแลเณร คุณจะไปยุ่งกับเขาทำไม ? แต่ท่านก็ยังบอกว่า ท่านทำไปด้วยความหวังดี ซึ่งเป็นความหวังดีที่แท้จริง แต่ว่าเจ้าอาวาสนั้นโดยตำแหน่งแล้ว เป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย ถึงเวลาสั่งความอะไรไป ถ้าหากว่าเราไม่ทำตาม คือเรากำลังฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ฉะนั้น...ในส่วนนี้ก็แปลว่าท่านไม่ได้ศึกษาทั้งทางโลกทั้งทางธรรมเลย

โดยเฉพาะธรรมชาติของเด็กก็ต้องมีสนุกบ้าง แล้วเขาเองก็ไม่ได้ไปเล่นข้างนอก เล่นกันอยู่ในศาลาที่ปิดมิดชิด ญาติโยมไม่ได้เห็น ไม่ทำให้เสื่อมศรัทธา จะไปบังคับให้เด็กนั่งกรรมฐานทั้งวัน อย่าว่าแต่เด็กเลย คุณเองก็ทำไม่ได้

นี่คือสิ่งที่พระของเราไม่เข้าใจว่า ในบางส่วนนั้นเป็นอย่างไร แล้วนึกอยากจะเข้าบ้านก็เข้า โดยที่ไม่ได้ดูว่าศีลพระนั้น ถ้าจะเข้าบ้านต้องบอกลาก่อน เมื่อเจ้าอาวาสเตือนก็ไม่ฟัง เพราะคิดว่าตัวเองสามารถไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยได้ เป็นเรื่องที่สมควร นี่คือการที่คิดว่าคาดว่าโดยสามัญสำนึก โดยไม่ได้ดูพระวินัยที่เป็นตัวบทกฎหมายควบคุมพระ

เมื่อชี้แจงให้ท่านทราบเป็นข้อ ๆ ว่าข้อนี้ผิดกฎหมายบ้านเมือง ข้อนี้ผิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ข้อนี้ผิดพระวินัย ในเมื่อเตือนแล้วไม่ทำตาม เป็นการว่ายากสอนยาก เจ้าอาวาสท่านให้ออกไปก็ถือว่าท่านทำถูกต้อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 05-06-2018, 19:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางอย่างอยากให้ทุกท่านได้รู้ไว้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรที่เราคิดว่า คาดว่า เห็นว่า แสดงว่า หมายความว่า ซึ่งใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเรื่องของพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอริยสัจ คือความเป็นจริงที่ท้าพิสูจน์ได้ อย่าไปคิดว่า คาดว่า อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์หลายสาย ที่นอกลู่นอกทาง ก็มีการคิดว่าคาดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ มีการวิพากษ์ถึงพระนิพพานต้องเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ แม้แต่มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาสอนอยู่ทั้ง ๓ แห่ง ก็ยังมีการวิเคราะห์ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องนี้ ในขณะนั้นพระองค์ท่านคิดอะไรอยู่ ต้องบอกว่าเก่งเกินไป ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "เจียะป้าบ่อสื่อ" ภาษาไทยว่า แดกอิ่มแล้วไม่มีอะไรจะทำ...!

พระพุทธเจ้าท่านเป็นอัจฉริยะมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ท่านรู้คือใบไม้ทั้งป่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระองค์ท่านสอนมาคือใบไม้กำมือเดียว ก็ยังมีพวกหิ่งห้อย ไม่ได้สนใจว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่ไหน พยายามจะพินิจพิจารณา และคิดว่าพระอาทิตย์สว่างเท่ากับหิ่งห้อยเท่านั้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ถ้าเราทำไป ก็เป็นการสร้างกรรมเสียเปล่า ๆ ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราจึงควรที่จะศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ชี้แจ้งให้แก่ญาติโยมได้ ทั้งประเด็นทางโลกและประเด็นทางธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 05-06-2018, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อวานซืนอาตมาไปประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง ๒๕ สำนัก ​ก็มีบางสำนักบอกว่า ยึดหลักสูตรการปฏิบัติตามหลักสติปัฎฐานสี่ ๑๖ ขั้น สติปัฎฐานสี่ ๑๖ ขั้นนี้ ขั้นไหนอยู่ในกายในกาย ขั้นไหนอยู่ในเวทนาในเวทนา ขั้นไหนอยู่ในจิตในจิต ขั้นไหนอยู่ในธรรมในธรรม ต้องทำไปตามลำดับถึงจะถูกต้อง อาตมาฟังแล้วก็กลุ้มใจ

เพราะเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น แค่คุณตั้งใจบังคับลมหายใจเข้าออกก็ผิดแล้ว เพราะว่าลมหายใจนั้น จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เขาอ้างบาลีว่า ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง เป็นต้น

ก็คือ หายใจเข้ายาวรู้ว่าหายใจเข้ายาวเป็นขั้นหนึ่ง หายใจออกยาวรู้ว่าหายใจออกยาวเป็นขั้นหนึ่ง หายใจเข้าสั้นรู้ว่าหายใจเข้าสั้นเป็นขั้นหนึ่ง หายใจออกสั้นรู้ว่าหายใจออกสั้นเป็นขั้นหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น สลับกันไป สลับกันมา

ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เราทำนั้น แค่ข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ถ้าร่างกายต้องการหายใจยาว เราก็ตามรู้ว่าตอนนี้หายใจยาว ถ้าร่างกายหายใจสั้น เราก็ตามรู้ว่าร่างกายหายใจสั้น ไม่ใช่บังคับให้เป็นไปทีละขั้น ๆ ตามนั้น สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นก็คืออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด

ฉะนั้น เราจะเห็นว่าแม้แต่สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ที่ได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งโดยมหาเถรสมาคม ก็ยังมีการเข้าใจผิดไปไกลขนาดนั้น โดยอ้างว่าท่านพุทธทาสภิกขุเป็นคนบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านพุทธทาสภิกขุบอกกล่าวเช่นนั้น อาตมาก็ฟันธงว่าท่านพุทธทาสภิกขุไม่เคยปฏิบัติจริงเลย นอกจากว่าตามตำรามั่วไปเอง เพราะคนที่ปฏิบัติจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ไปจับแพะชนแกะในลักษณะอย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-06-2018 เมื่อ 09:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 05-06-2018, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของการสร้างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทที่ทำนั้น เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน

สาเหตุแรกก็คือ หลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านปรารภไว้ว่าจะทำ แต่ก็ไม่มีโอกาสทำจนท่านมรณภาพไป เจ้าอาวาส ๒ รูปถัดมา ศักยภาพก็ไม่เพียงพอที่จะทำ ญาติโยมในยุคนั้นก็ล้มหายตายจากไปหลายคน ที่เหลืออยู่อยากจะเห็น อาตมาก็เลยต้องรีบทำ

ประการที่สองคือ พอทำแล้วจะกลายเป็นแหล่งเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิ ถ้ามีคนมาเที่ยว ก็แปลว่าการกินการอยู่ที่หลับที่นอนอะไรต่าง ๆ ก็จะต้องมาอาศัยในพื้นที่ เม็ดเงินต่าง ๆ ก็จะตกแก่ญาติโยมในพื้นที่ของเรา เศรษฐกิจก็จะได้เจริญขึ้น อาตมาถึงได้ยอมลงทุนไป ๑๒​ ล้าน ๘ แสนบาท

แต่ปรากฏว่าพอทำเสร็จแล้ว ทางผู้รับเหมาบ่น เนื่องจากว่าต้องแบกเหล็กขึ้นไปทีละท่อน เฉพาะค่าแรงแบกเหล็กอย่างเดียว เดือนหนึ่งประมาณ ๔ แสนบาท สรุปว่าค่าแรงแบกเหล็กอย่างเดียวเกือบ ๖ ล้านบาท ถ้าโยมสงสัยว่าเหล็กอะไร ? เป็น I-BEAMS ตัวหนึ่ง ๘ คนแบกหลังแอ่นเลย ถ้าไม่ทำแข็งแรงขนาดนั้นเดี๋ยวก็พัง แล้วที่จำเป็นต้องใช้เหล็กเพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นไฟไหม้บ่อย เนื่องจากมีคนมือบอนชอบจุดไฟ ก็เลยลงทุนไปทั้งหมด ๑๒ ล้าน ๘ แสนบาท ผู้รับเหมาบอกว่าเกือบจะไม่เหลือเงินติดกระเป๋า ของานหลวงพ่อเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง อาตมาเลยให้ทำบันไดขึ้นพระเจดีย์ทางฝั่งนี้ ปีนี้ถ้าหากว่าใครมาตักบาตรเทโวฯ จะมีบันไดใหม่ให้ขึ้นสะดวก ๆ

ในส่วนที่กล่าวมาถึงนี่จะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว พระภิกษุสงฆ์ของเราทำประโยชน์ให้กับพระศาสนาและประเทศชาติมากมายมหาศาล แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทำดีเท่าไรไม่มีคนเห็น แต่ถ้าทำผิดเมื่อไรมีแต่คนรุมด่า เรื่องที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องพึงสังวรเอาไว้ว่า บางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจที่จะช่วยกันทำลายพุทธศาสนา จึงออกแต่ข่าวที่ไม่ดีไม่งามเท่านั้น ข่าวที่ดีไม่มีเลยที่จะช่วยออกให้ จนกระทั่งเขากล่าวกันว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน

ดังนั้น ในส่วนนี้ที่พวกเราทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา และขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เกิดผลจริง เมื่อถึงวาระถึงเวลาแล้ว เราจะได้สามารถบอกกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ บอกกล่าวได้อย่างถูกต้องแบบคนที่เรียนรู้มาจริง ๆ ไม่ใช่เชื่อตาม ๆ กันไป แล้วก็หลงทางเตลิดเปิดเปิง เอาความรู้ที่ผิด ๆ พลาด ๆ ไปนั่งเถียงกัน แล้วทำให้เกิดการแตกแยกในศาสนาของเรามากขึ้นไปทุกที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 05-06-2018, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนนี้ผ้ายันต์เกราะเพชร ทั้งรุ่น ๑ รุ่น ๒ ที่สร้างมา ต้องบอกว่าหลายหมื่นผืน หมดเกลี้ยงไปแล้ว คงต้องรอรุ่น ๓ ที่ทำใหม่ จะได้ติดตัวเอาไว้ เผื่อว่าละเมิดศีล อย่างน้อย ๆ ยันต์เกราะเพชรในตัวสูญหาย ที่ติดตัวก็ยังอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 05-06-2018, 20:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในเรื่องของการรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรามียันต์เกราะเพชรติดตัวอยู่จริง ? เขามีวิธีพิสูจน์อยู่ ๒ อย่างด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าพิสูจน์เท่าไร อันดับแรกก็คือหาสาว ๆ ที่ท้องครั้งแรกมาเข้าพิธี ถ้าคลอดลูกคนแรกออกมาเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวออกมาด้วย ซึ่งตั้งแต่อาตมาจัดพิธีไป มีเด็กหลายคนแล้วที่มียันต์ติดตัวมาลักษณะอย่างนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไปภูเก็ต ยังถามโยมที่ลูกมียันต์เกราะเพชรติดตัวมาว่ายังอยู่ไหม ? เขาบอกว่าหายไปภายใน ๗ วันแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตำราว่าไว้

ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือสำหรับผู้ใหญ่ ไปพิสูจน์ได้ตอนตาย ซึ่งไม่มีใครอยากพิสูจน์ เพราะว่าเผาแล้วจะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก ลูกศิษย์สายวัดบางนมโคหรือสายวัดท่าซุงหลายท่าน เผาแล้วมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก ล่าสุดนี้ที่เขาส่งข่าวมา เขาถ่ายรูปมาให้ดูด้วย มียันต์ติดอยู่ที่กะโหลกศีรษะ แต่ว่าลูกศิษย์วัดท่าขนุนที่รับยันต์ไปยังไม่มีใครตาย พิสูจน์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครเต็มใจให้เขาพิสูจน์ก็รีบตาย อาตมาจะเผาให้ฟรี...!

ในส่วนนี้ถ้าหากว่าพิสูจน์ยากก็มีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือหางูพิษที่ร้าย ๆ หน่อยมาลองกัดเราดู ถ้าไม่ตายก็แปลว่ายันต์เกราะเพชรยังอยู่กับท่าน เป็นวิธีที่น่าจะพิสูจน์ได้ง่ายที่สุด แต่ก็คาดว่าไม่มีใครยอมพิสูจน์อีกตามเคย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 20:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 06-06-2018, 18:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผ้ายันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้แต่ที่บ้านเติมบุญเขาก็ขนมาหมดเกลี้ยงแล้ว เดี๋ยวรอรุ่น ๓ จะทำยันต์เกราะเพชรเป็นแผ่นโลหะ มีขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก เผื่อเขาไปม้วนทำตะกรุด ขนาด ๓X๕ เซนติเมตร กับ ๕X๘ เซนติเมตร น่าจะกำลังสวย


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2018 เมื่อ 18:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว