กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 17-06-2009, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญที่จะได้อานิสงส์เต็ม ก็คือ

๑) เจตนาบริสุทธิ์
๒) ผู้ให้บริสุทธิ์
๓) วัตถุทานบริสุทธิ์
๔) ผู้รับบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น..เวลาจิตว่างจากรัก โลภ โกรธ หลงจริง ๆ ก็แปลว่าเป็นผู้ให้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นอานิสงส์ทางด้านนี้เต็ม ๒๕ เปอร์เซ็นต์แน่นอน ยิ่งถ้าบริสุทธิ์ได้ครบ ๔ อย่าง อานิสงส์ยิ่งเยอะ

แต่ปัจจุบันนี้ เจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ แต่ไปสงสัยว่าผู้รับจะบริสุทธิ์หรือเปล่า? เขาจึงต้องเลือกเนื้อนา ถ้าเลือกไม่ได้ก็ถวายเป็นสังฆทานไปเลย

สังฆทานทั้งหมดมี ๗ ประเภทด้วยกัน
สังฆทานประเภทที่ ๑ ถวายต่อหมู่พระภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
สังฆทานประเภทที่ ๒ ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
สังฆทานประเภทที่ ๓ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
สังฆทานประเภทที่ ๔ ถวายต่อหมู่ภิกษุที่นิมนต์มา
สังฆทานประเภทที่ ๕ ถวายต่อหมู่ภิกษุณีที่นิมนต์มา
สังฆทานประเภทที่ ๖ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีที่นิมนต์มา
สังฆทานประเภทที่ ๗ ถวายโดยไม่เจาะจงบุคคล ขอให้ครบ ๔ รูปเป็นใช้ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-04-2011 เมื่อ 11:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 17-06-2009, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผู้ที่กำลังจะหมดอายุขัยแล้วเราไปบอกให้เขานึกถึงพระนิพพานหรือพระพุทธเจ้า?
ตอบ : ถ้าไปนึกเอาตอนที่หมดอายุขัย ไม่ทันรับประทานหรอก ถ้าเป็นไปได้ต้องนึกถึงตั้งแต่ตอนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนป่วยใกล้ตายแล้วเราไปแนะนำเขา ถ้ากำลังบุญเดิมไม่มีจริง ๆ เขานึกไม่ได้หรอก เพราะมัวแต่ไปโอดโอยอยู่กับความเจ็บความป่วย

เขาถึงได้มีคำพูดว่า จะเดินเข้าวัดเองดี ๆ หรือจะรอเขาหามเข้าวัด ถ้ารอเขาหามเข้ามาโอกาสที่จะทำอะไรก็ไม่มี ยกเว้นรอเผาเท่านั้น..!

ดังนั้น เรื่องของความดีจึงประมาทไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ทำสั่งสมไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..ใครเขาว่าบ้าหรือเปล่าเข้าวัดตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ไม่บ้าหรอก เดินไปเองดีกว่า ไปรอตอนเขาหามเข้าไปมันไม่ทันแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-04-2011 เมื่อ 11:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 17-06-2009, 01:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีหรือไม่ ฆราวาสที่ปกติไม่ได้นึกถึงนิพพาน แต่พอก่อนตายนึกถึงพระนิพพานแล้วเข้าสู่พระนิพพานเลย ?
ตอบ : มีเยอะ ถ้าสิ่งที่สั่งสมมาแต่เดิมมีเพียงพอ เราต้องดูผู้ที่ไปพระนิพพานว่า เป็นผู้ที่มีจิตสะอาดปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีความปรารถนาที่จะเกิดอีก อย่างคนป่วยใกล้ตายจะไปรักใครไหว ถ้าไปโกรธเขา บอกเขาหามไปตีกับเขาที จะไปตีไหวไหม? ป่วยขนาดนั้นย่อมเห็นว่าร่างกายไม่ดี ก็ไม่หลงในร่างกาย ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วรัก โลภ โกรธ หลง นั้นขาดไปโดยอัตโนมัติแล้ว

เพียงแต่ว่าคิดให้เป็นว่า สภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยแบบนี้ เราไม่ต้องการอีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาบนโลกนี้หรือเกิดมามีร่างกาย เราไม่ต้องการอีก ถ้าจิตเราตัดออกถอนออกจริง ๆ ไปพระนิพพานได้

กลัวอยู่อย่างเดียว การที่จิตไม่เคยทำความดีมาก่อนก็จะไม่นึกถึงตรงนี้ จะไปเกาะกรรมเก่า ๆ ที่ตนเองเคยทำเอาไว้

หลวงพ่อวัดปากคลอง ท่านเล่าไว้ว่า โยมเขามีอาชีพหาปลามาทั้งชีวิต ถึงเวลาใกล้ตายก็ไปแนะนำเขา ให้ภาวนาว่า อะระหัง ๆ ปรากฏว่าเขาพูดไม่ได้ พูดได้แต่ "ไอ้โด" (ปลาชะโด) ก็บอกอีกว่าถ้าอย่างนั้นพุทโธนะพ่อ เขาก็พูดว่า "ไอ้ช่อน" เขาได้แค่นั้นจริง ๆ ถ้าสภาพอย่างนั้นรับรองว่าไม่พลาดแน่ ต้องบอกว่าเป็นนิยตบุคคล ผู้มีคติอันแน่นอน แต่ไม่ได้แน่นอนข้างบน แน่นอนข้างล่าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-04-2011 เมื่อ 11:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 17-06-2009, 18:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์สอนว่า "การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเรียนรู้ การที่เราเรียนรู้อยู่ในชั้นนี้ เราไม่รู้หรอกว่าดีจริงไหม แต่พอก้าวพ้นไปแล้วมองกลับมา จากประสบการณ์ที่เราเรียนรู้จากชั้นที่สูงกว่า จะทำให้เรารู้ข้อบกพร่อง เราก็สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้ ถ้าหากจะให้รู้ครบจริง ๆ แน่ใจจริง ๆ นั่นก็ต้องจบไปเลย

แรก ๆ จะไม่มีใครดีพร้อมหมดทุกอย่างหรอก แต่จะค่อย ๆ ปรับไปเอง การปฏิบัติจะช่วยปรับเราไปเรื่อย ๆ จนรู้แจ้งเห็นจริงไปเอง"

ถาม : หลายวันมานี่ หนูทรงอารมณ์ให้ต่อเนื่องติดกัน แต่พอเป็นแบบนี้ทีไรจะต้องมีเรื่องเข้ามากระทบใจทุกที
ตอบ : ตั้งท่าจะดี มารก็จะตีเรา ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง เขามีหน้าที่ขวาง...ก็ขวางไป เรามีหน้าที่หนี...ก็หนีไป ใครทำหน้าที่ตัวเองได้ดีกว่ากันก็ไปเห็นผลตอนท้าย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2020 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 17-06-2009, 18:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาปฏิบัติไปจะมีความรู้สึกอยากผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง ก็เลยผ่อนคลายด้วยการปล่อยให้ฟุ้ง ให้คิดไปเองแต่ว่าก็พยายามตามดูไปด้วย
ตอบ : เปลี่ยนสภาพแวดล้อมดีกว่า ถ้าหากว่าปล่อยแล้วจะพลาดได้ง่าย ไม่ต้องปล่อยแต่เปลี่ยนสภาพแวดล้อม จิตก็จะคลายลง ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับสะสมความเครียด อย่างพระก็ไปธุดงค์ พอเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เปลี่ยนสภาพจิตก็เหมือนกับว่าเปลี่ยนสิ่งที่เสพเสวยเข้าไป โดยเฉพาะทางตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ว่า เออ..ไม่ซ้ำเหมือนเดิม แล้วหลังจากนั้นพอได้ผ่อนคลาย อารมณ์ปฏิบัติก็จะดีขึ้น อย่าไปปล่อย ถ้าปล่อยเดี๋ยวหงายท้อง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2020 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 17-06-2009, 18:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์เกลียดกับอารมณ์กลัว ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร?
ตอบ : ลักษณะอารมณ์คล้ายคลึงกัน แต่ว่าจริง ๆ แล้ว อารมณ์กลัวจะเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม กลัวภัยที่จะมาถึงตัว โดยเฉพาะกลัวตาย อารมณ์กลัวทุกอย่างลงท้ายสุดก็คือกลัวตาย

ส่วนอารมณ์เกลียดจริง ๆ แล้วเป็นพื้นฐานมาจากโทสะ เกิดแรงกระทบแล้วเกิดความรู้สึกว่า เลือกที่จะรัก หรือไม่รัก ? ถ้าหากว่ารักก็มาทางราคะ ถ้าหากไม่รัก ไม่ชอบใจก็มาทางโทสะ แต่ว่าไม่ได้หนักเท่ากับโทสะ

จะว่าไปก็เหมือนกับไฟสุมขอนอย่างหนึ่ง เห็นหน้าก็ไม่สบายใจ เห็นสิ่งนั้นเมื่อไรก็ไม่สบายใจ พูดง่าย ๆ ว่าเก็บไว้เมื่อไรก็เป็นโทษแก่ตัวเอง ให้รีบไล่ออกไปเร็ว ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2020 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 17-06-2009, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สังโยชน์ข้อไหนยากที่สุด?
ตอบ : ความยากง่ายขึ้นอยู่กับว่าใครทำ ถ้าเป็นอาตมาคือข้อต้นกับข้อท้าย สักกายทิฏฐิและอวิชชา สักกายทิฏฐิที่ว่ายากเพราะว่าฝังรากอยู่กับเรา ส่วนอวิชชานั้นเบาบางมาก แต่ว่าเป็นจุดก่อกำเนิดกิเลสตัณหาทุกอย่าง เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นอาตมาเองหัวกับท้ายจะยากที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2020 เมื่อ 10:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 17-06-2009, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การุณยฆาต คือ ?
ตอบ : คำว่า การุณยฆาต หมายถึง การฆ่าที่มีใจกรุณา เช่น ในกรณีที่คนป่วย อาการอยู่ในขั้นโคม่า แล้วเราไปเอาสายยางออก เพื่อให้เขาตายจะได้ไม่ต้องทรมาน อย่าไปทำเชียวนะ ถ้าคิดจะรักษาก็ให้หาทางรักษาให้หาย แต่ถ้าจะให้ตายก็ปล่อยให้เขาตายของเขาไปเองเลย เราอย่าไปร่วมมือให้เขาตาย

ถาม : ถ้าทำแบบนั้น จะผิดไหม?
ตอบ : ผิดแน่นอน เพราะคำว่าฆ่าสัตว์ คือทำชีวิตให้ตกล่วง แล้วเราไปทำให้เขาตาย แม้กระทั่งการพรรณนาคุณของความตายให้เขาเห็นชอบเพื่อให้เขาฆ่าตัวตาย เรายังมีโทษเลย การุณยฆาตนี่อย่างไรก็ผิดแน่นอน ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่มีสิทธิ์อนันตริยกรรม

ถาม : คนที่อยู่ในสภาพที่มีเครื่องหายใจช่วยประคองชีวิตอยู่ สภาพแบบนั้นเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?
ตอบ : บางคนเขาไปนานแล้ว แต่ว่าร่างกายยังอยู่เพราะสภาพเครื่องมือแพทย์ชะลอไว้ แต่คราวนี้เราไม่ได้รู้ชัดขนาดนั้น อย่าไปแตะ

คนที่ตายในลักษณะอย่างนั้นโอกาสไปดีมีน้อยมาก เพราะว่าถ้าเขาทุกข์ทรมานจากโรคภัยถึงขนาดต้องร้องขอให้ผู้อื่นเขามอบความตายให้ แสดงว่าจิตของเขาประกอบไปด้วยความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือแนะนำเขาให้เห็นสภาพเป็นจริงของร่างกายว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราคบหาสมาคมกับมันชาตินี้แค่ชาติเดียวเราก็ไม่ต้องไปคบกับมันอีก ชี้ทางออกให้เขา

เมื่อสองปีก่อนได้ทำรายงานวิชาธรรมประยุกต์ เรื่องการุณยฆาต เขาตั้งหัวข้อเอาไว้ว่า "ในความคิดของท่านเห็นว่าสมควรหรือไม่อย่างไร?" ในการสรุปตอนท้ายบอกว่า ถ้าในสภาพของเรา ที่เป็นพระอยู่ อย่างไรก็ต้องคัดค้านสุดชีวิต เพราะว่ามันไม่ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม กฏหมายบ้านเรายังไม่ได้เปิดกว้างอนุญาตให้ทำอย่างนั้น

ต่อให้ตัวกฎหมายเปิดกว้างให้ทำอย่างนั้นก็ตาม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้นั้นยินดีให้เราทำ ต่อให้ผู้นั้นยินดีให้เราทำอย่างนั้น ถ้าสภาพจิตที่ประกอบไปด้วยความเศร้าหมองตายไปแล้วเขาลงอบายภูมิ ก็เท่ากับว่าเราเองไปซ้ำเติมเขาอีก

และโดยเฉพาะคนเรา ถ้าหากว่ากันโดยธรรมแล้ว ก็คือ คนทุกคนมีสิทธิ์ในการที่จะบรรลุธรรม พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ถ้าหากฆ่าบุคคลที่มีคุณใหญ่ โทษจะหนักกว่าบุคคลทั่วไป เพราะฉะนั้น..ถ้าบุคคลที่มีโอกาสบรรลุธรรมแล้วเราไปทำให้เขาพลาดจากโอกาสนั้น เท่ากับว่าเราสร้างกรรมใหญ่นั่นเอง

โดยเฉพาะตอนท้าย ๆ ของชีวิต จะให้รักก็ไม่ไหว จะให้โลภก็ไม่ไหว จะให้หลงกับสภาพร่างกายแบบนี้ก็ไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้ามีใครไปต่อท้ายไปได้เลย ชี้ทางให้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-04-2011 เมื่อ 11:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 17-06-2009, 20:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ได้อธิบายถึงเรื่องความตายว่า "สภาพร่างกายของเรามันไม่ใช่เราจริง ๆ ยกตัวอย่างว่ามันเหมือนรถยนต์กับคนขับรถ คุณกำลังจะเปลี่ยนรถคันใหม่ ในเมื่อรถคันเก่าของคุณจะพังก็พังไป เราก็เปิดประตูลงไปหารถคันใหม่ ถ้าหากจิตของเราตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา เราก็จะได้รถคันใหม่ที่ดีกว่านี้

เพราะฉะนั้น..จริง ๆ ความตายมันไม่ใช่ของน่ากลัว เพียงแต่ว่าความไม่รู้ก็เลยทำให้เรากลัว ถึงได้ชอบใจภาษาจีน คนตายเขาใช้คำว่า "เปลี่ยนร่างหรือข้ามร่าง" เขาไม่ได้บอกว่าตายอย่างบ้านเรา บาลีเขาบอกว่า กาลัง กัตตะวา วาระที่ต้องไป


เหตุที่กลัวตายก็เพราะไม่รู้ ที่ไม่รู้ก็เพราะอวิชชามันบัง ขาดความรู้ ขาดความมั่นใจ ก็ย่อมเกิดความกลัว แม้กระทั่งเราขับรถ ขับอยู่ทุกวันนี่แหละ ลองไปที่ ๆ ไม่เคยรู้จัก เราก็กลัว ท้ายสุดมาลงตรงคำว่าตาย เพียงแต่ว่ามันฝังจนเราไม่รู้

ลองไล่ดูสิ ขับรถไปก็กลัวหลง ถ้าหลงก็กลัวว่าจะนาน ถ้าหากมันนานจนกระทั่งสิ่งสนับสนุนทั้งหมดไม่มีเหลือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน เงิน อาหารการกิน อะไรก็ตามเหล่านี้ ถ้ามันหมดก็คือกลัวว่าจะตาย ไม่ไปไหนหรอกลงตรงตายหมด เพียงแต่ว่ามันไปอ้อม ไกลหน่อย

ตามดูอยู่เป็นปี ๆ คำเดียว ว่ากลัวอะไร? สรุปแล้วมาลงตรงคำว่าตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-04-2011 เมื่อ 11:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 17-06-2009, 21:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ได้สอนว่า "ทุกอย่างเวลาประดังเข้ามา ถ้าเรามีสติ เราจะแยกแยะได้ก่อนว่าอันไหนมาก่อน อันไหนมาทีหลัง ถึงแม้ว่าจะมาห่างกันเพียงแค่วินาทีหรือครึ่งวินาที ก็ยังมีความก่อนหลัง

มาก่อนก็แก้ไขก่อน เราค่อย ๆ แก้ไขทีละอย่าง แต่ถ้าหากเราไปปล่อยให้ประดังเข้ามา แล้วขาดสติไปคิดว่ามาพร้อมกัน ก็จะกลายเป็นปัญหาเดียวกัน ซึ่งใหญ่และหนักมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2020 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 17-06-2009, 21:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์ที่เข้ามากระทบใจ ?

ตอบ : ถ้าหากว่าจิตทรงการภาวนาได้อัตโนมัติ พวกนี้จะกระทบไม่ได้ มีมาเหมือนกันแต่ใจไม่รับ ถึงรับก็รับในลักษณะใส่เกราะไว้ แต่ว่าจะให้ดีที่สุด ก็คือไม่มีอะไรเหลือเลย ถ้าหากว่าไม่มีอะไรเหลือเลยก็กระทบไม่ได้หรอก

ให้เห็นว่าทุกอย่างปกติธรรมดา ในเมื่อปกติเป็นอย่างนั้น เราเองรับเข้ามาก็เดือดร้อนเสียเปล่า

เปรียบกับบ้านว่าง ๆ ไม่มีข้างฝา ไม่มีกำแพง ใครขว้างอะไรเข้ามาก็ผ่านเลยไป เพราะเราไม่รับ แต่ว่าถ้าอยู่ในบ้านที่มีข้างฝาก็จะกระทบ ขาดสติโดยอัตโนมัติ ทำอย่างไรจะอยู่ในบ้านว่าง ไร้ข้างฝา ไร้กำแพง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2020 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 17-06-2009, 21:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่สิงห์ตอนก้าวขึ้นบ้าน พอเห็นผู้หญิงเข้า ถึงกับเข่าอ่อนอยู่ตรงบันได ฝ่ายผู้หญิงก็เป็นลม แสดงว่าต่างคนต่างรู้กัน"

ถาม : ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ตอบ : เขาผูกพันกันมานาน บุคคลที่มีความสัมพันธ์เกิดร่วมชาติกันมามากมันจะรู้สึกแรง ถ้าเกิดร่วมกันมาน้อยก็สะกิดสะเกานิดหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-04-2011 เมื่อ 11:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 18-06-2009, 17:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์มีคำถามว่า "ถ้าเอ่ยถึงพราหมณ์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่ว น่าจะมีใครบ้าง?

เรื่องของวัสสการพราหมณ์ปรากฏอยู่ในหลายพระสูตรด้วยกัน แต่ว่าเนื้อหาที่พวกเรารู้จักกันดี ก็เป็นตอนที่ทำลายแคว้นวัชชี อยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งกล่าวถึงช่วงท้ายพระชนม์ชีพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความจริงแคว้นวัชชีกับแคว้นมคธมีอาณาเขตติดต่อกัน แต่ว่ามันมีหุบเขาเป็นรอยต่อระหว่างสองแคว้น เขาบอกว่าในหุบเขานั้นมีทรัพย์มาก มีเงินทองแก้วแหวนมาก

แคว้นวัชชีกับแคว้นมคธมีระบอบการปกครองต่างกัน แคว้นมคธปกครองโดยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สิทธิ์ขาดทั้งหมดอยู่ที่พระราชา แต่แคว้นวัชชีปกครองด้วยระบอบสามัคคีธรรม มีตัวแทนเข้าไปอยู่ในสภา ชาวบ้านจะคัดเลือกตัวแทนของตัวเองเจ็ดพันคน ตัวแทนเจ็ดพันคนนั้นจะคัดเลือกผู้ที่มาทำหน้าที่ร่วมกับตนอีกเจ็ดร้อยคน ตัวแทนอีกเจ็ดร้อยคนจะคัดเลือกอีกเจ็ดคน รวมแล้วแคว้นวัชชีจะมีคณะปกครองที่เปรียบเหมือนกษัตริย์เจ็ดพันเจ็ดร้อยกับเจ็ดคน ฟังดูแล้วน่าปวดหัว

ในเมืองรอยต่อชายแดนมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง บาลีเขาใช้คำว่ามีทรัพย์ตกลงจากเขามาเนือง ๆ คาดว่าน่าจะเป็นพวกเพชรพวกพลอย เวลาฝนตกหรือดินถล่ม พวกเพชรพวกพลอยก็จะโผล่มา ปรากฏว่าทางแคว้นมคธไม่เคยทันเขาเสียที แคว้นวัชชีกวาดไปหมด เพราะว่าแคว้นวัชชีเขาปฏิบัติตามอปริหานิยธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ไว้

อปริหานิยธรรม คือธรรมที่ผู้ปฏิบัติแล้วจะพบกับความเสื่อมได้ยาก หรือพบกับความไม่เสื่อม ท่านบอกว่า
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
๕. คุ้มครองรักษากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
๖. เคารพสักการะบูชาเจดีย์ของวัชชีทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้นที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-06-2015 เมื่อ 14:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 18-06-2009, 17:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คราวนี้เมื่อกษัตริย์แคว้นวัชชีประชุมกันเป็นปกติ ถึงเวลามีข่าวคราวอะไรก็แจ้งกันอย่างรวดเร็ว เวลาไปเก็บกวาดทรัพย์ทั้งหลายบนหุบเขา ก็เลยได้ก่อนพวกแคว้นมคธ ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูโกรธ อยากไปทำลายแคว้นวัชชี อยากไปยึดเมืองเป็นของตัวเอง ถึงแม้แคว้นวัชชีจะเล็กกว่า แต่ผู้ปกครองนอกจากจะสมานสามัคคีกันแล้วยังเป็นสุดยอดฝีมือ เขาบอกว่ากษัตริย์แคว้นวัชชีมีฤทธิ์มาก อาจแผลงศรลอดดาลประตูได้ แสดงว่าแม่นมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ยิงปืนตอกหัวตะปูได้

พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมายังที่นั้น พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยใช้วิธีส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ ก็คือวัสสการพราหมณ์ไปถาม ถามคนอื่นไม่ได้เรื่องแน่ ถามพระพุทธเจ้าต้องได้เรื่องแน่นอน วัสสการพราหมณ์พอรับคำสั่งก็ไปกราบพระพุทธเจ้า ปฏิสันถารตามสมควรแล้ว ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลองทายซิว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกหรือไม่บอก? ถ้าเราเป็นพระแล้วลูกศิษย์มาถามถึงวิธีตีเมือง เราจะบอกไหม?

พระพุทธเจ้าท่านไม่บอก แต่หันไปถามพระอานนท์ว่า "เหล่าแคว้นวัชชียังปฏิบัติอยู่ในอปริหานิยธรรม ๗ อยู่หรือไม่?" พระอานนท์ก็บอกว่ายังปฏิบัติอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่แคว้นวัชชียังปฏิบัติในอปริหานิยธรรมตามที่ตถาคตกล่าวไว้ ตราบนั้นแคว้นวัชชีจะไม่ประสบกับความเสื่อม"

วัสสการพราหมณ์ก็สงสัย ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอปริหานิยธรรมมีอะไรบ้าง? พระพุทธเจ้าก็แสดงให้ฟัง ๗ ประการ วัสสการพราหมณ์พอได้ยิน ก็พูดว่า "อย่าว่าแต่ ๗ ประการเลย เพียงประการเดียวก็ไม่มีใครสามารถทำลายแคว้นวัชชีได้" เพราะว่าเขาสามัคคีพร้อมเพรียงกันมาก

บางข้อนี่เรานึกไม่ถึง อย่างเช่นว่าให้คุ้มครองพระอรหันต์ที่มาในแว่นแคว้น เมื่อพระอรหันต์ไปที่ไหนพรหมเทวดาจะตามไปให้การสงเคราะห์ ตราบใดที่พรหมเทวดายังให้การสงเคราะห์ สถานที่นั้นจะไม่ประสบภัยพิบัติ

วัสสการพราหมณ์ก็กราบลาพระุพุทธเจ้ากลับไป แล้วไปกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูถามว่าท่านอาจารย์มีช่องทางใดบ้าง? วัสสการพราหมณ์ก็บอกว่า "มีทางเดียว ต้องทำลายความสามัคคีของแคว้นวัชชีให้ได้" เมื่อเป็นดังนั้น ก็เลยตกลงกับพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ถ้าถึงเวลาพระเจ้าอชาตศัตรูเสนอขึ้นกลางที่ประชุมว่าให้ไปตีแคว้นวัชชี วัสสการพราหมณ์จะคัดค้าน พอคัดค้านแล้วให้พระเจ้าอชาตศัตรูลงโทษตนให้หนัก แล้วขับไล่ออกจากแว่นแคว้นไป เพื่อที่ตนจะได้หาทางเข้าไปยังแคว้นวัชชีแล้วจัดการ

พระเจ้าอชาตศัตรูก็ตกลง เป็นอันว่ารู้กันสองคน พอถึงเวลาออกมหาสมาคมประชุมข้าราชการ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ปรารภเรื่องนี้ ว่าแคว้นวัชชีมันเอาเปรียบเราทุกที พื้นที่ส่วนเกินเป็นของทั้งสองฝ่าย แต่ทรัพย์เกิดขึ้นเมื่อไรทางแคว้นวัชชีเอาไปหมด ต้องสั่งสอนให้มันรู้เรื่องเสียบ้าง จะยกทัพไปตีมัน วัสสการพราหมณ์ก็ค้านขึ้นกลางที่ประชุม บอกว่าไม่สมควร เพราะว่าแคว้นวัชชีมีความสามัคคีกันมาก มีฤทธิ์มาก เรายกทัพไปไม่แน่ว่าจะชนะ เสียชีวิต สูญเสียทรัพยากรเปล่า ๆ พระเจ้าอชาตศัตรูก็แกล้งทำเป็นโกรธ สั่งราชบุรุษจับวัสสการพราหมณ์โบย

สมัยก่อนการโกนหัวเขาถือเป็นกาลกิณีไม่มีใครคบด้วย พระเจ้าอชาตศัตรูก็ให้จับวัสสการพราหมณ์โกนหัวและเฆี่ยนจนหลังลาย แล้วขับไล่ออกจากเมืองไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-04-2011 เมื่อ 11:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 18-06-2009, 17:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"วัสสการพราหมณ์ก็ข้ามออกไปยังแคว้นวัชชี ข่าวไปถึงแคว้นวัชชีเร็วมาก แสดงว่าเขามีจารบุรุษหรือจารชนอยู่ เมื่อข่าวไปถึง เสียงส่วนใหญ่ก็บอกว่าอาจเป็นกลลวงของแคว้นมคธ แต่ว่าบรรดากษัตริย์แคว้นวัชชีมีความมั่นใจในความสามัคคีของตนเอง ต่อให้เป็นกลลวงก็ไม่น่าจะทำอะไรได้ วัสสการพราหมณ์เป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่ มีความรู้มาก เรารับเขาไว้ดีกว่า เสียดายความรู้เขา เอามาสอนบรรดาราชกุมารของเราจะดีกว่า

จริง ๆ เขาคิดถูก แต่เขาไม่รู้ฤทธิ์วัสสการพราหมณ์

เมื่อวัสสการพราหมณ์ไปสอนบรรดาราชกุมาร แรก ๆ เขาก็สอนตามปกติ พอผ่านไประยะหนึ่ง เขาเริ่มไว้ใจ แกก็ออกลาย เมื่อเลิกเรียนแล้วก็ปล่อยบรรดาราชกุมารกลับ วัสสการพราหมณ์ก็จะเรียกราชกุมารไว้คนหนึ่ง พาเข้าไปในห้องกันสองต่อสอง หายเงียบไปนานเลย แล้วก็ส่งกลับ เมื่อทำแบบนี้เข้า เพื่อน ๆ ราชกุมารก็ถามว่าอาจารย์เรียกไปสอนอะไร กุมารที่เข้าไปก็บอกไม่มีอะไรนี่ ก็เลยสงสัยกันว่าอาจารย์อาจให้วิชาการอะไรดี ๆ ถ่ายทอดให้อีกคน

วันรุ่งขึ้นก็เรียกไปอีกคนในลักษณะเดียวกัน ท้ายสุดทุกคนก็หวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะได้ความรู้มากกว่า ก็เอาเรื่องไปบอกพ่อของตน บรรดากษัตริย์ทั้งหมดก็ระแวงกัน ว่าลูกคนนี้มันเก่งกว่าลูกเรา เดี๋ยวมันจะได้ครองเมืองคนเดียว ทีนี้ก็ไปกันใหญ่ เมื่อหวาดระแวงถึงที่สุด ไม่อยากจะมองหน้ากัน ก็เริ่มขาดประชุม แรก ๆ ก็ขาดไม่กี่คน หลัง ๆ ก็ขาดเยอะ วัสสการพราหมณ์ใช้เวลาปฏิบัติการนี้อยู่สามปีเต็ม ๆ ท้ายสุดก็ใช้วิธีตีกลองประชุมปรากฏว่าไม่มีกษัตริย์มาเข้าประชุมเลย วัสสการพราหมณ์ก็ส่งข่าวไปบอกพระเจ้าอชาตศัตรูให้ยกทัพมา

ไม่ทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูแค้นมากหรือกลัวฝีมือแคว้นวัชชี ท่านเล่นยกทัพมาทำลายแคว้นวัชชีจนไม่เหลือซากเลย เรื่องก็จบลงตรงนี้ เรารู้จักวัสสการพราหมณ์ในฐานะตัวแสบที่คอยยุแหย่ให้เขาแตกกัน

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปปลงสังขาร ที่ปาวาลเจดีย์ พระอานนท์ก็กราบทูลถามว่า "วัสสการพราหมณ์เมื่อรู้จุดแข็งจุดอ่อน ย่อมหาทางทำลายแคว้นวัชชีได้ แล้วทำไมพระองค์จึงได้ตรัสบอกไปเช่นนั้น?" พระพุทธเจ้าบอกว่า ที่ท่านตรัสเช่นนั้นด้วยความเมตตาเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าไม่กล่าวเช่นนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปตีแคว้นวัชชีภายในวันนั้นเลย เมื่อแข็งกับแข็งปะทะกันเลือดก็นองเป็นท้องธาร แต่ถ้าหากว่าบอกแบบนั้นไป วัสสการพราหมณ์จะใช้เวลาถึงสามปี จึงจะสร้างความแตกแยกในหมู่ภายในได้ อย่างน้อยแคว้นวัชชีจะดำรงอยู่ได้ถึงสามปี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-06-2015 เมื่อ 14:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 18-06-2009, 17:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มันน่าแปลก การที่พระเจ้าอชาตศัตรูส่งวัสสการพราหมณ์ไปเป็นไส้ศึกที่แคว้นวัชชี ก็เหมือนกับที่จิวยี่ส่งอุยกายไปเป็นไส้ศึก (ในเรื่องสามก๊ก) ทำในลักษณะเดียวกัน ระยะเวลาใกล้เคียงกัน

ต้องบอกว่า อัจฉริยะมักจะมีความเห็นใกล้เคียง หรือไม่ก็นักปราชญ์ความคิดหรือการกระทำใกล้เคียงกัน อยู่กันคนละประเทศ อยู่คนละวัฒนธรรม แต่กลับมีความประพฤติที่คล้าย ๆ กัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2019 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 18-06-2009, 22:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มาดูเรื่องของโทณพราหมณ์ เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๗ เมือง มาล้อมกรุงกุสินารา ขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ มีคำพูดติดปลายนวมมาว่าถ้าไม่ให้...ก็รบ ยกทัพมาลักษณะนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ ยังดีที่ว่าโทณพราหมณ์อยู่ในที่เกิดเหตุ

ชื่อเสียงของโทณพราหมณ์ก็พอเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพของบรรดากษัตริย์ทั้ง ๗ เมือง พอโทณพราหมณ์กล่าวขึ้นทุกคนก็ต้องฟัง ท่านบอกว่าการรบราฆ่าฟันกันไม่ใช่วิสัยของพุทธศาสนิกชน เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนพวกเราไม่ให้ทำปาณาติบาต พระบรมสารีริกธาตุก็มีมากพอที่จะแบ่งปันให้ได้

ทีนี้เขาก็สงสัยอย่างเดียวว่าใครจะเป็นคนแบ่ง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ยุติธรรม โทณพราหมณ์ก็เลยรับอาสาเป็นคนแบ่ง ท้ายสุดพระบรมสารีริกธาตุก็กระจายไปทั้ง ๗ เมือง เมื่อแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว โทณพราหมณ์ก็ขอทะนานทองที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุเป็นที่ระลึก ซึ่งคณะมัลลกษัตริย์ของกรุงกุสินาราก็พระราชทานให้ โทณพราหมณ์พอรับทะนานทองไป เขากล่าวว่าเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดตัวเองแล้วก็สร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุทะนานที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเครื่องบูชา

มันน่าแปลกที่ว่าประวัติศาสตร์มาอยู่ที่เมืองไทย พระประโทณเจดีย์ในเขตนครปฐม เขาเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่โทณพราหมณ์บรรจุทะนานทองเอาไว้ ถ้าถามว่ามีเค้าความจริงที่พอเป็นไปได้หรือไม่ ก็เป็นไปได้อยู่ เพราะสมัยนั้นทางด้านชมพูทวีปก็ค้าขายกับทางสุวรรณภูมิเป็นปกติ ค้าขายมาก่อนสมัยพุทธกาลอีก

อย่างเช่นยุคพระมหาชนก ซึ่งเป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า มีมาก่อนพระพุทธเจ้านานมาก สมัยนั้นมีการค้าขายกับสุวรรณภูมิแล้ว แสดงว่ามีการติดต่อเป็นปกติ โดยเฉพาะทางเรือ สมัยนั้นนครปฐมติดชายทะเล พอมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระโสณะเถระและพระอุตตระเถระที่เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิก็มาขึ้นที่นครปฐมเช่นกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-06-2015 เมื่อ 14:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 20-06-2009, 09:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีที่เอาของ ๆ วัดมา ถ้านำไปคืนวัดจะได้หรือไม่?
ตอบ : ถ้าคืนไม่เป็นไร หยิบจากไหนให้กลับไปคืนที่ตรงนั้น หมายความว่าถ้าหยิบออกจากวัดไหนให้คืนวัดนั้น อย่าไปคืนคนละวัด แต่ถ้าหากเราชำระเป็นหนี้สงฆ์ ชำระวัดไหนก็ได้ ดังนั้นจะคืนของ ให้คืนวัดเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-06-2015 เมื่อ 15:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 20-06-2009, 09:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ให้โอวาทแก่คนเป็นพ่อแม่ว่า "เคยสังเกตไหมตั้งแต่เช้าจนค่ำ รักษาอารมณ์ไม่ให้โกรธลูกได้นานสักกี่ชั่วโมง ?

ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าดูอารมณ์ตัวเองไม่เป็น รู้อารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก็แก้ไขไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติ ท้ายสุดก็จะเป็นมหาสติปัฏฐาน ในส่วนของจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าเราดูไม่เป็น ดูไม่รู้ เราก็แก้ไขไม่ได้

ต้องหมั่นสังเกตอารมณ์ใจ เมื่อสังเกตแล้วก็มีวิธีเดียว ก็คือว่าทำอย่างไรที่เราจะยืนระยะได้นาน? คราวนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวดี รู้ระมัดระวัง ก็ยืนระยะได้นาน ถ้าสมาธิไม่ดี ขาดสติก็พังเร็ว

เพราะฉะนั้น..ต้องพยายามซ้อมให้คล่องตัวและระวังไว้ตลอด โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาโกรธก็อย่าอาละวาด เพราะว่าถ้าโกรธแล้วอาละวาด เด็กก็จะขาดความนับถือเรา ต่อไปเขาก็จะเหมือนกับเราเลย โกรธอย่างไรเราก็ต้องว่าด้วยเหตุผล เช่น อธิบายไปตีไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2020 เมื่อ 20:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 20-06-2009, 14:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเด็ก ๆ ว่า "อย่าไปตั้งความหวังกับเด็ก ว่าจะต้องนั่ง จะต้องนิ่ง จริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาของเด็กที่จะต้องซนแบบนั้น แต่เราไปคาดหวังว่าเด็กจะต้องดี จะต้องเรียบร้อย"

"เด็กเขาก็มีสักกายทิฏฐิและมานะ เขาต้องการให้เราสนใจ นั่นแหละ..ชัดเลย แต่ว่าก็จำเป็น อย่าไปบังคับเขาทีเดียว ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะว่าเราจะได้ดึงเขาเข้ามาทางดีทีหลังได้ ถ้าไปบังคับแล้วมักจะเตลิดไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2020 เมื่อ 20:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว