กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-01-2012, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕

ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตนเองจ้ะ เพียงแต่ว่าตั้งตัวให้ตรงไว้ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราชอบและเคยทำมา ใครเคยทำของเก่ามาอย่างไรให้ปฏิบัติตามนั้น เพราะว่าถ้าเราเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย ๆ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็มีน้อย เนื่องจากการปฏิบัติไม่ต่อเนื่องกัน

สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกและครั้งแรกของปีใหม่นี้ ขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง เราก็มักจะมีความตั้งใจว่า จะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ อย่างเช่นบรรดาคนทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะคิดว่า ปีใหม่เราจะเลิกกินเหล้า บางท่านก็ว่าปีใหม่จะเลิกเล่นหวย เป็นต้น นี่คือความตั้งใจของคนทั่วไป

ขณะเดียวกันนักปฏิบัติอย่างพวกเราก็อาจจะตั้งกำลังใจไว้ว่า ปีใหม่นี้เราจะตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ท่านใดที่รักษาศีลบริสุทธิ์อยู่แล้วก็อาจจะตั้งความหวังว่า เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาละเมิดศีล และจะไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นเขาละเมิดศีล หรือบางท่านตั้งเป้าไว้ว่า เราจะต้องทำสมาธิให้ทรงฌานให้ได้ในระดับใดระดับหนึ่ง เป็นต้น

เพียงแต่ว่าความตั้งใจของเรานั้น มักจะล้มเหลวเสียเกือบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมทั่วไปหรือว่านักปฏิบัติธรรม การที่เราล้มเหลวนั้น ต้องมาดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไร สมมติว่าเราตั้งใจว่า จะภาวนาให้ทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ภายในปีนี้ แต่ที่ล้มเหลวไม่เป็นไปตามนั้นก็เพราะว่า การปฏิบัติของเราไม่ต่อเนื่องตามกัน ทำแล้วมีเวลาเว้นว่างในแต่ละวันมากจนเกินไป ไม่ได้ประคับประคองกำลังใจของตนเองให้อยู่กับการภาวนาให้ต่อเนื่อง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะทรงฌานตามความตั้งใจได้

ลำดับต่อไปก็คือความบกพร่องในบารมี เนื่องจากกำลังใจของเราไม่เข้มแข็งเด็ดขาดพอ แปลว่าขาดสัจบารมี คือความจริงจังจริงใจของเรา ไม่ได้เข้มแข็งเด็ดขาด มุ่งมั่นอย่างที่ต้องการ ทำให้เมื่อถึงเวลาก็คลายจากความตั้งใจนั้น ๆ

ขาดอธิษฐานบารมี คือความมุ่งมั่นปักมั่นต่อเป้าหมายของตนเอง ในเมื่อจุดนี้บกพร่อง พอระยะเวลาทอดยาวไปนิดหนึ่ง ความตั้งใจนั้นก็จะเลือนหายไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2012 เมื่อ 14:17
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-01-2012, 21:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขาดวิริยบารมี คือความพากเพียรไม่เพียงพอ ลำบากหน่อยหนึ่งก็ท้อเสียแล้ว หลายท่านที่บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญามา พอความดีเริ่มทรงตัว กิเลสก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าสภาพจิตของเราเหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียว ถ้าความดีเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน

ในเมื่อเราเอาความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เข้ามาในจิตใจของเรา กิเลสที่เป็นความชั่วต่าง ๆ อันเป็นต้นกำเนิดของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อยู่ไม่ได้ ในเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนประท้วง

การทำความดีของเรานั้น ถ้าหากว่าเรียกกันตามประสาพระก็คือการบำเพ็ญตบะ คำว่า ตบะ ก็คือ ความร้อนที่จะเผาผลาญกิเลสให้สิ้นไป ในเมื่อเกิดตบะขึ้นมาเผาผลาญกิเลส ทำให้กิเลสเดือดร้อนก็ดิ้นรน แสดงออกในลักษณะที่ไม่ยินดี ไม่พอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะที่หลอกลวงเราว่าจะตายแล้ว เมื่อเป็นดังนั้น เราก็มักจะไปรามือให้กิเลส เพราะคิดว่าเราจะตายแล้ว แต่ความจริงนั่นเป็นอาการที่กิเลสจะตายต่างหาก

ในเมื่อขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง เรามีความตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วมักจะล้มเหลว ก็ต้องรู้จักทบทวนดูว่าเราบกพร่องตรงไหน จึงทำไม่สำเร็จตามที่ต้องการ โดยใช้อิทธิบาท ๔

อิทธิบาท คือ คุณเครื่องอันยังความสำเร็จมาให้ มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะกระทำให้สิ่งนั้น ๆ ถ้าหากว่ายินดีที่จะทำ เราก็จะทำได้ทนทำได้นาน แต่หากว่าเราไม่ยินดีที่จะทำ ทำเพราะอยากดี ถึงเวลาความดียังไม่ตอบกลับมา เราก็อาจจะท้อถอยหมดกำลังใจเสียก่อน

ข้อที่สองคือวิริยะ พากเพียรทำไปไม่ย่อท้อ ยากลำบากแค่ไหนก็จะต้องต่อสู้ฟันฝ่าไปให้ได้ บุคคลอื่นทำสำเร็จมามากต่อมากแล้ว เขาก็มี ๑๐ นิ้วเหมือนกับเรา มีอาการ ๓๒ เหมือนกับเรา เขาทำได้สำเร็จ เราก็ต้องทำได้สำเร็จได้เช่นกัน ถ้าเขาทำสำเร็จแล้วเราทำได้ไม่สำเร็จ ก็ต้องดูว่าเราบกพร่องตรงไหน โดยเฉพาะถ้าความเพียรไม่เพียงพอ โอกาสที่จะกระทำสิ่งใดสำเร็จก็เป็นไปโดยยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 02:54
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-01-2012, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต่อไปก็คือจิตตะ กำลังใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่คลอนแคลนเด็ดขาด จนกว่าจะสำเร็จสมความประสงค์ของตน ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามุ่งมั่น สมมติว่าตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ แล้วเราก็มุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาทำไป

ไม่ว่าจะมีสิ่งมาล่อใจน่าสนใจขนาดไหนเราก็ไม่ไปใส่ใจ กิเลสจะชวนเราไปดูหนังดูละคร จะไปเที่ยวจะไปกินที่ไหนเราไม่ไป เพราะกำลังใจของเราปักมั่นอยู่กับเป้าหมายว่าต้องทำให้สำเร็จ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ โอกาสที่เราจะกระทำได้สำเร็จก็มีมาก

ข้อสุดท้ายคือวิมังสา ต้องไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำอะไร ตอนนี้เราทำไปถึงไหน สิ่งที่ทำได้มีมากน้อยเท่าไร ปัจจุบันนี้เรายังมุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้นหรือไม่ เหลือระยะหรือว่าเหลือสิ่งที่จะต้องทำอีกมากน้อยเท่าไร ถ้ามีการทบทวนตนเองอย่างนี้ไว้เสมอ เราก็จะไม่หลงทิศ หลงทาง หลงเป้าหมาย

เมื่อมีความพอใจที่จะทำ มีความพากเพียรที่จะทำ จิตใจปักมั่นไม่ย่อท้อ ทบทวนอยู่เสมอว่าทำอะไร เพื่ออะไร ทำไปถึงไหน เหลืออีกมากน้อยเท่าไรดังนี้ โอกาสที่ความตั้งใจรับปีใหม่ของแต่ละคนก็สามารถที่จะสำเร็จได้สมประสงค์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความตั้งใจของเราที่ไม่สำเร็จนั้น เกิดจากการขาดหลักธรรมสำคัญคืออิทธิบาท ๔ และโดยเฉพาะว่าเมื่อทำไปแล้ว ไม่ได้รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ก็คือขาดตัวจิตตะที่ปักมั่นต่อเป้าหมาย ขาดตัววิริยะ คือความพากเพียรที่จะกระทำไปโดยไม่ย่อท้อ

ดังนั้นในวันนี้ ฉวยโอกาสที่เรามาปฏิบัติธรรมครั้งแรกในปีใหม่ ปี ๒๕๕๕ นี้ ถ้าหากว่าทุกท่านตั้งเป้าหมายในชีวิต ว่าปีนี้เราจะทำอะไรให้สำเร็จ ก็จะได้ถือโอกาสนี้ยึดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นแนวทาง ว่าเราต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของตนได้สมกับความตั้งใจ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ได้ สิ่งอื่น ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งความหวังเอาไว้ ก็จะพลอยสำเร็จไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 13:13
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-01-2012, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเราสามารถกระทำได้สำเร็จสมความปรารถนาบ่อย ๆ เข้า ปีติก็คือความยินดีอิ่มเอิบใจที่ประสบความสำเร็จในการกระทำความดีนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา ทำให้เราไม่เบื่อไม่หน่ายในการกระทำความดี เพราะว่าทำแล้วเห็นผลจริง ๆ

ดังนั้น..ในปีใหม่นี้ ญาติโยมทั้งหลายไม่ต้องไปรอของขวัญปีใหม่จากใคร เราสามารถให้ของขวัญปีใหม่แก่ตนเองได้ และเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุด ก็คือการตั้งเป้าหมายว่าจะปฏิบัติ ในศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ของขวัญปีใหม่ชิ้นนี้ สามารถนำเราหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์นี้อีกต่อไป จึงขอให้ทุกคนตั้งเป้าเอาไว้สำหรับปีใหม่ของเรา เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติตลอดปี ๒๕๕๕ นี้

ลำดับต่อไปนี้ ให้ทุกคนดูลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำภาวนา อยู่กับภาพพระหรือการพิจารณาของเราตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 13:14
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-02-2012, 14:52
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-01-06

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว