กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 25-03-2012, 11:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกนักสัตววิทยารุ่นหลัง ๆ ไปจากนี้ ถ้ามาขุดเจอโครงกระดูกสัตว์คงกลุ้มใจมากเลยว่าตัวอะไรกันแน่ อย่างขุดได้กระโหลกหมาปั๊ก คงงงมากว่าเป็นตัวอะไร หน้าตาประหลาด ๆ สมัยก่อนเขาเจอโครงกระดูกตัวลีเมอร์ ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร ระยะหลังพอไปเจอตัวจริงเข้า เอามาเพาะเลี้ยงจนมีมากขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นพวกแมวกระรอกนี่เอง แมวก็ไม่ใช่ กระรอกก็ไม่ใช่ ก็เลยเรียกว่าแมวกระรอก

ส่วนที่มีข่าวว่าหมาพิทบูลกัดคนตาย ต้องบอกว่าเขาตั้งใจผสมพันธุ์มาให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเขาผสมพันธุ์จนได้พันธุ์หมาที่เวลางับแล้วปากจะล็อกเลย เพราะสมัยก่อนเขาให้หมาช่วยล่าวัว บูลก็แปลว่าวัวอยู่แล้ว คราวนี้ถ้างับไม่แน่น เวลาวัวสลัดออกอาจจะโดนเหยียบโดนขวิดได้ ฉะนั้น..ตัวไหนปากเหนียวแน่นงับติด ถึงเวลาเจ้านายล่าวัวได้หมาตัวนั้นก็ได้รางวัลเยอะหน่อย ท้ายสุดเขาก็เลยผสมมาเรื่อย ๆ ตัวไหนเก่งก็เอาตัวนั้นเป็นพ่อพันธุ์

ระยะหลัง ๆ พอผสมเป็นพิทบูล ก็เลยกลายเป็นหมาล่าวัวที่เวลางับแล้วปากล็อกเลย อย่างไรก็ไม่ปล่อย ที่งับเจ้าของติดแล้วดึงไปเรื่อย เพราะปากอ้าไม่ออก ถ้าไม่คายซะเองก็ไม่หลุดหรอก อย่างที่เขาบอกว่าถ้าเต่ากัดแล้วฟ้าไม่ร้องก็ไม่ปล่อย อาตมาไม่เชื่อใครหรอก ถ้าอาตมามีไฟแช็กอยู่ก็จุดลนคาง ดูซิว่าจะปล่อยไหม ?

เคยเจอหมาปั๊กอยู่ตัวหนึ่ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ากล้ามเนื้อลิ้นไม่ทำงาน เจ้าของซื้อไปเพราะเห็นว่าน่ารัก เห็นแลบลิ้นแฮ่ก ๆ อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเป็นหมาป่วย ซื้อไปแล้วก็ข้องใจว่าทำไมแลบลิ้นได้ทั้งวัน ไม่หดซะที เอาไปให้หมอตรวจจึงรู้ว่ากล้ามเนื้อไม่รั้ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอด เลยกลายเป็นหมาน่าสงสารไป ตอนแรกเป็นลูกหมาน่ารักเชียว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2012 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 25-03-2012, 11:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่าลืมว่าสัตว์ทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากสัตว์ป่า ถึงเวลาสัญชาตญาณป่าก็คืนมา อย่างแถว ๆ ชายแดนไทย - พม่า พวกวัวพวกควายเจอหน้าคนนี่ตื่นครืนเหมือนกับพวกวัวป่าควายป่าเลย เพราะว่าถึงเวลาเขาก็ปล่อยให้ไปหากินในป่า พอต้องการถึงไปต้อนคืน จึงแทบจะกลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว

เวลาเลี้ยงสัตว์ที่เราเห็นชัดที่สุดก็ตอนติดสัด ช่วงฤดูจะผสมพันธุ์ ขนาดนางอายที่ว่าน่ารัก ๆ ต้วมเตี้ยม ๆ ยังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกมาแล้ว เพราะว่าสัตว์เขามีกติกาของเขา เราไม่เข้าใจกติกาเขาหรอก โยมถาวร สองเมือง อยู่ที่ศูนย์ฯ ต้นน้ำ แมวกัดกันแล้วเข้าไปห้าม ตัวเองต้องโดนเย็บ ๒๐ กว่าเข็ม ตอนที่จะเอาแพ้เอาชนะกันพวกเขาฟังเสียเมื่อไรเล่า เข้าไปผิดจังหวะก็เจอลูกหลง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2012 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 25-03-2012, 11:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนเราพัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีมโนธรรม ก็คือจิตใต้สำนึกที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่าไม่มีข้อห้ามอยู่ก็รู้ว่าควรหรือไม่ควร เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นได้ว่า ต่อให้เด็ก ๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนผิดศีล แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้ว เขาเองก็มานั่งโศกเศร้าเสียใจเพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน

อย่างเช่น เด็กไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์แล้วเป็นบาป แต่ถ้าตัวเองเผลอพลั้งฆ่าสัตว์ไป เด็กบางคนช็อกไปเลย ทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าเขามีมโนธรรมอยู่ ถ้าหากว่าได้รับการขัดเกลาก็จะหันเข้าหาเรื่องของศีลของธรรมได้ง่าย แต่สัตว์เขาไม่มีตรงนี้ มีแต่สัญชาตญาณมากกว่า ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณมากกว่าก็ต้องปล่อยตามแรงขับของรัก โลภ โกรธ หลงไป

ถาม : มโนธรรมเสื่อมไปเรื่อย ๆ
ตอบ : เสื่อมไปเรื่อย พอถึงเวลาท้าย ๆ พระศาสนาก็กลายเป็นมิคสัญญี มิคคะ แปลว่า เนื้อ สัตว์ป่านั่นแหละ มิคสัญญี คือ สำคัญว่าเป็นสัตว์เนื้อที่ล่าได้ ถึงเวลาก็เข่นฆ่าทำลายกัน ปัจจุบันนี้ยังไม่ทันจะถึงปลายพระศาสนาเลย แค่กลาง ๆ เท่านั้นยังเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2012 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 25-03-2012, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีพระรูปหนึ่งมาบ้านวิริยบารมี

หลวงพ่อเล็ก : หลวงพี่หนู..นิมนต์ครับ พวกเรารุ่นหลังน่าจะรู้จักหลวงพ่อศักดิ์พิชัย ธมฺมวโร (หลวงพ่อหนู) ลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านมาตลอด

ก่อนหน้านั้นเวลาออกกิจนิมนต์นั่งชนกัน อาตมาก็นั่งบ่น "ไอ้อาหารที่เขาทำซะสวย แต่รสไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าเขาตั้งไว้ตั้งแต่ ๘ โมง กว่าจะถวายพระก็ ๑๐ โมงครึ่ง " บอกหลวงพี่หนูว่า "เราออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินกันข้างนอกเถอะ.." หลวงพี่ท่านบอกว่า “กินไปเถอะ ตามสังคม” เข้าสังคมก็ต้องว่าตามเขา สมัยก่อนหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาไปไหนมาไหนก็มีหลวงพี่หนูนี่แหละ ท่านคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อหนู : ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านเอาไปเป็นไม้เท้า ไม้เท้าไม่ได้หายใจ ไม้เท้าไม่ดื้อ ไม้เท้าไม่เกี่ยงงอน ไม้เท้าที่ไหนเกี่ยงงอนได้ ไม้เท้ากันล้มได้

หลวงพ่อเล็ก : ที่บาลีท่านว่า “ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” พราหมณ์พอแบ่งสมบัติไปแล้วลูก ๆ ทิ้งหมด พอลูกทิ้งตัวเองก็ต้องขอทานเร่ร่อนไปเจอพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ตรัสว่า “พราหมณ์เคยเป็นที่นับถือของหมู่ชนมาก่อน ให้ไปเล่าประวัติให้เขาฟังในท่ามกลางที่ชุมชนนั่นแหละ แล้วอย่าลืมประโยคทีเด็ดว่า ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” แล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?

พราหมณ์ก็ไปเล่าให้ฟัง พอชาวบ้านไปได้ยินก็รวมหัวกันคว่ำบาตรพวกลูก ๆ ไม่มีใครคบด้วย ท้ายสุดก็ต้องมาขอขมาแล้วก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงตามเดิม ความจริงถ้าพ่อไม่แบ่งสมบัติให้ แกก็เป็นมหาเศรษฐีนะ แต่คราวนี้พอแบ่งสมบัติให้ลูกทั้ง ๗ คนหมดแล้วลูกก็ทิ้งไปเลย ไม่มีใครเลี้ยงพ่อ เพราะฉะนั้น..ไม้เท้านี่ต้องกตัญญูมากกว่า ๒ เท่า ใช้งานได้ทุกอย่าง ไม่มีบ่น ไม่มีเกี่ยง

หลวงพ่อหนู : ถ้าจะบอกว่าเป็นพินัยกรรมก็ไม่ชัดเพราะว่าพ่อยังไม่เสีย พ่อบอกว่า “พ่อแก่แล้ว หลวงปู่แก่กว่าพ่อ พ่อเคยช่วยเหลือหลวงปู่ เพราะฉะนั้น..ไปบวชแล้วอยู่รับใช้หลวงปู่แทนพ่อ ” ก็เลยต้องทำ ตอนนั้นเรียนบริหารธุรกิจอยู่

หลวงพ่อเล็ก : นี่กตัญญูยังไม่พอ ต้องกตเวทีด้วย พอโยมพ่อบอกก็บวชเลย อยู่รับใช้หลวงปู่จนกระทั่งหลวงปู่สมเด็จฯ สิ้น ก็ยังครองสมณเพศยาวมาจนบัดนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2012 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 25-03-2012, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อเล็ก : รู้จักหลวงพี่หนูมาเกิน ๒๐ ปีแล้วนะ เพียงแต่ว่าโอกาสที่เจอกันน้อย เพราะว่าท่านอยู่วัดสามพระยา ส่วนอาตมาตะลอนทั่วประเทศไทย ถึงเวลาไปเจอที่วัดสามพระยากันทีก็ดีอกดีใจ นาน ๆ เจอกันที บางทีเจอหน้าท่านแล้วยืนคุยกันจนหลวงพี่หนูท่านลืมเลยว่าจะไปธุระอะไร แล้วก็ถามว่า “เอ๊ะ..นี่ผมมาทำอะไร ?”

วันก่อน วัดเขาวงของหลวงตาวัชรชัยเขารวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อ ขาดหลวงพี่เจ้าคุณชุบไปรูปหนึ่ง ท่านไปอยู่ที่คลองสะท้อนที่โคราช นิมนต์ไปแล้วแต่ว่าท่านไม่ได้ให้เบอร์โทรไว้ ท่านบอกเดี๋ยวมาเอง พอถึงวันก็รอท่านจนเลยเวลา จึงต้องเริ่มพิธี ไม่สามารถจะสอบถามได้ว่าติดธุระอะไร น่าเสียดายว่าตอนนั้นก็มีเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี มีท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธีหรือหลวงพี่มหาดำ แล้วก็มหาวิจิตร สามท่านเป็นมือเป็นไม้ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่

หลวงพ่อหนู : ตอนนั้นพอเจอท่านแล้วลืมหมดเลยว่าจะไปทำอะไร เพราะว่าสิ่งที่วางแผนไว้ไม่สำคัญแล้ว ทำไมไม่สำคัญ ? เพราะว่าความหยาบถูกกลบไปด้วยความละเอียด ที่เล่านี่คือความรู้สึกตรงนั้น ตอนนั้นได้อะไรเยอะ แค่ไม่กี่นาทีตรงนั้น

จริง ๆ ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอก หาก็ไม่เจอ ถึงเจอก็ไม่ตรง อย่างที่หลวงพี่เคยไปซักไซ้ไล่เลียงเขาว่าทำไมเอานี่มาถวาย ของมีตั้งหลากหลายทำไมต้องเป็นอันนี้

หลวงพ่อเล็ก : จะว่าไปแล้วในพระพุทธศาสนา คำว่าบังเอิญไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรมทั้งนั้น หลวงพี่หนูท่านสร้างบุญอย่างนั้น ต้องการแบบนั้นถึงเวลาก็ได้อย่างนั้น เขาทำขายตั้งเยอะแยะแต่เขาเอาแบบนี้มาถวาย แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านชอบพอดี

เราชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อกรรม ต้องเชื่อการส่งผลของกรรม ท้ายที่สุดก็เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าท่านตรัสรู้จริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเชื่อก็ทำให้เราสรุปลงได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่คราวนี้เราเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทำก็มีดีชั่วสลับกันมา บางคนอาจจะเห็นว่าทำไมคนที่ทำไม่ดี แต่ปัจจุบันนี่ฐานะชื่อเสียงเกียรติยศเขาเยอะแยะ อันนั้นกินบุญเก่าอยู่ หมดเมื่อไรสาหัสแน่นอน

เพียงแต่ว่าเราไม่เข้าใจ สายตายาวไปไม่ถึง เราก็ไปคิดว่า ทำไมคนนั้นทำชั่วได้ดี ไม่จริงหรอก..ทำชั่วได้ชั่วนั้นแหละ เพียงแต่ว่าความชั่วที่ทำยังไม่ปรากฏ ปรากฏเมื่อไรดีเอาไม่อยู่ก็เรียบร้อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2012 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 26-03-2012, 08:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อเล็ก : หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่หาได้ยาก ที่หาได้ยากเพราะว่าอันดับแรกท่านอยู่กรุงเทพฯ พระกรุงเทพฯ จะปฏิบัติดีปฏิบัติให้เข้าถึงได้จริง ๆ นั้นยาก เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่อำนวยเลย ต้องทุ่มเทหนักหน่วงกว่าคนอื่นหลายเท่า

ประการที่ ๒ ท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง โดยเฉพาะเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นกรรมการมหาเถรมหาคม เป็นสมเด็จพระราชาคณะ งานหนักมหาศาล แต่ความที่เอาจริงเอาจังและไม่ทิ้งในการปฏิบัติ ทำให้ท่านสามารถทำได้

ฉะนั้น..ก็มาเปรียบกับพวกเราว่า เราเองส่วนใหญ่ก็ทำมาหากินอยู่กรุงเทพฯ อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงเวลาเราก็มาปฏิบัติธรรมกัน เราก็มีหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเป็นผู้เดินนำไปแล้ว เราก็ตามรอยเท้าท่านไป อย่างไรเสียก็ทำตามแล้วไม่ผิดทางแน่ ในเมื่อไม่ผิดทาง ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เราก็จะมีความหวังว่าทำแล้วจะได้ดีอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเหมือนกัน

ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ บุคคลใดที่ประกอบไปด้วยความเพียรเป็นปกติ ย่อมได้ดื่มซึ่งอมตรสแห่งพระนิพพานนั้น อันนี้เป็นบาลีที่เป็นพุทธวจนะ พระองค์ท่านยืนยันกับเรา

พวกเรายังเกิดทันในสมัยที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสกับสุภัททะปริพาชกว่า “ศาสนาใดก็ตาม ถ้าหากประกอบไปด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นปกติ” ก็คือย่อมมีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นปกติ พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าศาสนาพุทธจะมีอย่างนี้ แล้วไม่ได้บอกว่าศาสนาอื่นจะไม่มีอย่างนี้ แต่พระองค์ท่านบอกว่าศาสนาใดถ้าหากว่าประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ ศาสนานั้นย่อมมีสมณะทั้ง ๔ ที่ว่ามาสมบูรณ์บริบูรณ์

หลวงพ่อหนู : ขอเสริมสักนิดหนึ่งว่า สถานที่ ๆ จะปฏิบัติธรรมเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่องค์ประกอบหลัก หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเคยบอกว่า ท่านอยู่กลางบางลำพู กระแสโลกียะครอบเหมือนฝาชี ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งแกร่งจริง ๆ ถึงจะสามารถพลิกได้ ผ่านได้ เชื่อมโยงได้กับอารมณ์พระนิพพานก็ดี หรือสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป

สถานที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลัก และหน้าที่การงานก็ไม่เสีย คำว่าปลีกวิเวกที่เราเข้าใจกันไม่ใช่การอยู่คนเดียว หรืออยู่ในป่า ไม่เสมอไป สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ได้ไปเดินธุดงค์ ไม่ใช่ว่าธุดงค์ไม่ดี ไม่ได้พูดกดฝ่ายหนึ่ง เจริญอีกฝ่ายหนึ่ง..เปล่า ที่เดิมตั้งแต่หนุ่มท่านก็อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งท่านชราภาพ งานเสียอีกที่มากขึ้น ๆ รับผิดชอบ ๒๓ จังหวัด ก่อนนั้นทั่วประเทศ แล้วค่อยมาแบ่ง ๆ กันไป ๒๓ จังหวัดของหนกลาง

สถานที่ไม่ใช่ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องเดินธุดงค์ แต่ศึกษาจนกระทั่งเป็นครูบาอาจารย์สอนเขา ออกข้อสอบเขา ตรวจเขา ให้เขาได้ผ่านประโยค ๙ ทฤษฎีนี่เข้มแน่นอนสำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ท่านก็พลิกทฤษฏีนั่นแหละ เอาหลักเขามาใช้งานจริง

สถานที่ไม่ต้องอยู่ในป่าก็ได้ แล้วก็ยังทำธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ด้วย กลางกรุงนั่นแหละ ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ ไม่ได้ฉันในบาตร ฉันในจาน มีช้อนมีส้อม บางทีเขาก็มีตะเกียบมาให้ด้วย แต่ท่านทำอารมณ์จิตที่ธุดงควัตรกำหนดไว้

เพราะฉะนั้น..ไม่แปลกเลยที่ท่านไม่ได้ผ่านการไปอยู่ป่า อยู่โคนไม้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในเรือน เป็นคามวาสี ท่านก็สามารถที่รักษาหรือประคองจิต ด้วยอารมณ์อุกฤษฏ์ของธุดงควัตร ๑๓ ได้ด้วย คือให้เห็นว่าการงานไม่เสีย ทำไปด้วย และจิตก็ได้พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2012 เมื่อ 10:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 26-03-2012, 08:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อหนู : สถานที่อาจจะสำคัญสำหรับพวกเรา เพราะเรายังมีความแกร่งยังไม่พอ แต่สมเด็จฯ ท่านพลิกจากทฤษฎี ถ้าภาษาอย่างคุณโยมก็คือ “ทฤษฏีจ๋า” ที่ช่ำชองมาก ความจำแตกฉาน เรื่องบัญญัติ เรื่องภาษา ท่านพลิกมาจับต้องไม่ได้แล้ว เป็นนามธรรมละเอียด แต่สภาวะนั้นเชื่อมกันในดวงจิตของท่าน งานก็สำเร็จ สภาวะจิตท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ

จึงเป็นตัวอย่างให้ว่า ไม่ต้องหนีไปไหน หลักการมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะออกจากสิ่งใด ต้องอยู่ในสิ่งนั้นก่อน อย่างคุณโยมนั่งอยู่ในพรม จะออกจากพรม โยมต้องนั่งอยู่ในนั้นก่อน แล้วจะมาบอกว่าอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาออกมาจากพรมที่โยมนั่ง นั่นเป็นไปไม่ได้ ยังไม่ได้ไปนั่งที่พรมเลยแล้วบอกว่าออกจากสิ่งนั้นไปแล้ว เป็นไม่ไปได้ แล้วก็ไม่เห็นทางว่าจะเป็นได้

ทุกคนจะออกจากห้องนี้ต้องผ่านประตู แปลว่าทุกคนต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน จิตของทุกคนจะออกจากกิเลสก็ต้องแช่ในกิเลสนั้นก่อน แล้วรู้ว่ากำลังแช่อยู่ เห็นบันไดขั้นตอนของกิเลส เห็นกิเลสว่ากำลังแช่อยู่กับตัวไหน เริ่มเห็นชัดแล้วว่ามีเยอะแยะหลากหลาย เห็นว่าเรามีตรงนี้อยู่ จะกิเลสเข้มข้นหรือเจือจางก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ความละเอียดของสติปัญญาแล้ว จะออกไปอย่างไร ก็คือรู้เท่านั้นแหละ

อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) เจ้าของนามปากกา "ปิยโสภณ" ท่านพูดไว้ว่า “ฟอร์แมตจิต ดีลีทกรรม” นั่นคือศัพท์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุบายก็มีแค่เพียง “รู้” เท่านั้นแหละ รู้ว่ากำลังมีอะไรอยู่ จะไม่ให้เกิดหรือพัฒนาไปในทางที่เสื่อมมากกว่านี้ ก็เพียง “รู้” แล้วก็จบการรู้เท่านั้นแหละ รู้ว่ามีอะไรอยู่ จะคิดอะไรก็ช่างมันเถอะ แล้วก็จบการรู้ เพราะทุกอย่างก็อยู่ไม่ได้ทั้งการรู้และถูกรู้

หลวงพ่อเล็ก : สรุปลงตรงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้เสมอว่า “เรียนให้รู้ ดูให้จำ แล้วทำให้จริง” ถ้าทำจริงได้ผลทุกคน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้ พอพวกเราลำบากนิดหนึ่งเราก็ท้อแล้ว อันนั้นยังเรียกว่าทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริงเราต้องได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-03-2012 เมื่อ 20:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 26-03-2012, 10:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อเล็ก : อย่างที่เคยบอกว่า มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากที่เข้าใจผิด อะไร ๆ ก็จะเอาแต่อนัตตา สุญญตา ถ้าไม่มีอัตตาก็เป็นอนัตตาไม่ได้หรอก ที่หลวงพ่อหนูของเราว่ามาก็เหมือนกัน คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในกิเลส แล้วเราจะไปออกจากกิเลสได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่มีอัตตาก็ไม่สามารถที่จะเป็นอนัตตาได้

การที่จะก้าวขึ้นไปสู่เบื้องสูงต้องค่อย ๆ ไต่ผ่านจากเบื้องต่ำไป หลายต่อหลายคนที่จะเอาแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ขอยืนยันว่าคนพูดไม่เคยทำอย่างแน่นอน ถ้าคนพูดเคยทำจะรู้ว่าเราจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่า “สมมติ” ก็เป็นสัจจะ “ปรมัตถธรรม” ก็เป็นสัจจะ คือสมมุติก็เป็นจริงโดยสมมติ คือตัวเราชื่อนี้ นี่เป็นสมมุติ

แต่ขณะเดียวกันคำว่าตัวเราจริง ๆ ไม่มี ถ้าในสภาวะของปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว นี่เป็นปรมัตถสัจจะ คือความจริงแท้ เถียงไม่ได้ คราวนี้ที่ว่าตัวเราเป็นสมมติสัจจะ ก็คือจริงเฉพาะตอนนี้

ดังนั้น..บุคคลที่เข้าถึงธรรมะจริง ๆ จะไม่ปฏิเสธสมมติทางโลก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจของท่านก็อยู่กับปรมัตถสัจจะ ก็คือความจริงแท้ตลอดเวลา ท่านก็เลยอยู่กับโลกแบบน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คืออยู่กับโลก แต่ไม่ได้ติดในโลกเลย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ สถานที่ อากาศ อาหาร ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ถามว่าขาดได้ไหม? ได้...การเข้าถึงธรรมยังมีอยู่ แต่ต้องใช้ความเพียรพยายามที่มากขึ้น

ฉะนั้น..จึงไปลงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านย้ำเอาไว้ตอนท้ายว่า “ทำให้จริง” ในเมื่อทำจริงผลต้องได้แน่ ท่านบอกให้หวังเป้าสูงสุดไว้ก่อน ก็คือพระนิพพาน พอตะเกียกตะกายเต็มที่ ต่อให้ไม่ถึงนิพพาน ก็ไปได้ไกลเต็มสติเต็มกำลังของเรา แต่ถ้าเราไปตั้งความหวังไว้ต่ำ ถึงเวลาก็ไปได้น้อย ระยะทางที่เราจะหลุดพ้นก็ยาวไกลออกไปอีก

ดังนั้น..เมื่อได้ยินหลวงพ่อหนูบอกพวกเราแล้ว หลายท่านที่ปฏิบัติธรรม แล้วรู้สึกว่าทำไม รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับแรงขึ้น ขอยืนยันว่าไม่ได้แรงขึ้นหรอก เท่าเดิมนั่นแหละ แต่กำลังใจของเราละเอียดขึ้น สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น จงดีใจเถอะที่มีกิเลส เพราะจะทำให้เราเบื่อหน่าย และอยากจะไปให้พ้น ถ้าไม่มีกิเลส...เราไม่เบื่อ เราก็อาจจะอยากเกิดอีก

ถึงได้ว่าถ้าต้องการจะหลุดพ้น ก็ต้องคลุกคลีอยู่ในสถานที่นั้น แล้วก็ก้าวล่วงออกมา ไม่ใช่ว่าเราอยู่ข้างนอกแล้วเราก็บอกว่าเราอยากจะพ้น ๆ นั่นไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2012 เมื่อ 17:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 26-03-2012, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อหนู : หลวงพี่ช่วยย้ำประโยคสักครู่อีกทีครับ
หลวงพ่อเล็ก : การจะหลุดพ้นจากกิเลส คือเราคลุกคลีอยู่กับกองกิเลสเป็นปกติ เพราะว่ากรรมนำมาให้เราเกิดในกองกิเลสนี้ ในเมื่อเราก้าวล่วงพ้นออกไป ถึงจะกล่าวได้ว่าเราพ้นจากกิเลส ถ้าเราไม่ได้อยู่ในกองกิเลส แล้วไปบอกว่าเราก้าวพ้นจากกองกิเลสมา ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้

กิเลสชัดเจนขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่ามีมากขึ้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มากขึ้นหรอก มีเท่าเดิม เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง อย่าถอยเสียก่อนนะ..!

วันนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เราได้บุคคลรุ่นที่ทันหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านได้มาบอกกล่าวในสิ่งที่ท่านได้รับไปจากหลวงปู่หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์ ได้ทำความเข้าใจในสิ่งนั้น แล้วนำมาบอกพวกเรา ทำให้พวกเรารู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ชัดเจนขึ้น แล้วการที่เราจะก้าวเดินต่อไปในเบื้องหน้าก็จะง่ายและสะดวกขึ้น เรียกว่าพอวาระบุญมาถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็มาบรรจบกัน

เพราะว่าปกติแล้วหลวงพ่อหนูของเราท่านมาตรงนี้ไม่ถูกหรอก ท่านไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอกจากไปเรียนแล้วท่านก็กลับกุฏิ มีแค่นั้นจริง ๆ ยังดีว่าวันนี้ ดร.เอ อุตส่าห์พาท่านมา คนเยอะ ๆ แบบนี้ปกติท่านเผ่นแน่บไปแล้ว ไม่เอาหรอก เข้ากุฏิดีกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2012 เมื่อ 16:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 26-03-2012, 11:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,052 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว