กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-07-2011, 09:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตนจ้ะ หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมดก่อน แล้วหลังจากนั้นปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามปกติตามความต้องการของร่างกาย

เพียงแต่กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้า...ลมหายใจเข้าผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก...ออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..ไปสุดที่ปลายจมูก ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่แค่ตรงนี้ ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกทันที

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการเจริญกรรมฐานวันที่สองของพวกเรา

เมื่อครู่นี้ก่อนที่ลงมา คุณหมอนพพรได้ทำการรักษาด้วยการฝังเข็มให้ ทำให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ อย่างที่บาลีท่านบอกว่า สงฺขารํ โรคนิทฺธํ สังขารทั้งหลายเป็นรังของโรค ปภํ คุณํ มีแต่จะเน่าเปื่อยไปเป็นธรรมดา

การที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องประคับประคองรักษาสภาพจิตใจของเราให้มีความผ่องใสอยู่เป็นปกติ อย่าไปเศร้าหมอง อย่าไปคร่ำครวญ อย่าไปจมอยู่กับความทุกข์ของการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น

การที่เราจะทำเช่นนั้นได้ ก็สำคัญตรงอานาปานสติต้องมีความคล่องตัว คือการกำหนดลมหายใจเข้าออก จนสามารถเข้าสู่ระดับอัปปนาสมาธิ ทรงเป็นฌานตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดเป็นต้นไป แล้วซักซ้อมการเข้าออกสมาธินั้นให้มีความคล่องตัว ชนิดที่ต้องการเข้าในระดับไหนก็ต้องได้ทันที

เมื่อสามารถทำอย่างนี้ได้ อันดับแรก เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายแทบจะไม่ปรากฏเลย เนื่องจากว่าสภาพจิตที่ทรงสมาธิในระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไปนั้น จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน จิตแทบจะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย ช่วยระงับกายสังขาร ช่วยระงับทุกขเวทนา ระงับความกระวนกระวายที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ดีมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2011 เมื่อ 13:16
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-07-2011, 07:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการที่ ๒ เมื่อเราเข้าสู่สมาธิ จิตที่สงบลง ปัญญาเกิด จะทำให้เราเห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้ ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา ก้าวเข้าไปสู่ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย และท้ายที่สุดก็ถึงแก่ความตาย

หลายต่อหลายท่านที่ยังหนุ่มยังสาวอยู่ เลือดลมยังดี การเจ็บไข้ได้ป่วยมีน้อย เพราะสภาพร่างกายยังแข็งแรง อาจจะเห็นตรงนี้ไม่ชัดเจน ก็ขอให้ดูผู้อื่นที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นตัวอย่าง โดยใช้สติและปัญญากำกับไปว่า เราก็จะเป็นเช่นเดียวกันอย่างนั้น

ลำดับสุดท้ายก็คือว่า เมื่อปัญญาเกิด เห็นทุกข์เห็นโทษของร่ายกายที่เต็มไปด้วยเจ็บไข้ได้ป่วยนี้แล้ว ก็จะทำให้เบื่อหน่าย ความเบื่อนั้นเรียกว่านิพพิทาญาณ เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าหลายต่อหลายคนจัดการกับความเบื่อไม่เป็น แทนที่จะเห็นธรรมดาแล้วปล่อยวาง กลับไปแบกเอาไว้ ซึ่งทำให้รู้สึกทุกข์ รู้สึกเครียดกับความเบื่อหน่ายต่าง ๆ เหล่านั้น

ความจริงเราแค่กำหนดรู้ว่า ธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ ธรรมดาของการเกิดมาต้องกระทบกระทั่งกับเหล่านี้ ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อรับรู้แล้ว เราก็ปล่อยวาง ในเมื่อเกิดมาต้องเป็นอย่างนี้ ก็จงเป็นไปเถิด เราจะแก้ไขเท่าที่แก้ไขได้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อมีสภาพเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป ถ้าหากว่าตายจากอัตภาพร่างกายนี้แล้ว ที่เดียวที่เราปรารถนาก็คือพระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:08
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-07-2011, 05:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ถ้าหากว่าผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ สามารถที่จะทรงสมาธิได้ ก็สามารถที่จะระงับอาการทุกขเวทนาได้ สามารถที่จะมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ได้ และท้ายสุด..ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว ก้าวถึงระดับจริง ๆ จิตใจก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากมีอยากได้ในร่างกายนี้

เมื่อหมดความอยากมีอยากได้ในร่างกายของตนเอง ก็จะหมดความอยากมีอยากได้ในร่างกายของคนอื่นด้วย หมดความอยากมีอยากได้ในโลกนี้ด้วย เพราะมองเห็นว่าร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อนอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป

เมื่อกำลังใจของเราตัดลงตรงจุดนี้ได้ ก็ส่งกำลังใจทั้งหมดของเราไปเกาะพระนิพพานแทน ถ้าหากว่าไม่สามารถจะส่งใจไปเกาะพระนิพพานได้ ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นเป็นพระพุทธนิมิต เป็นรูปเปรียบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน เอาจิตสุดท้ายจดจ่ออยู่ที่ตรงนี้

ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปดิ้นรนอยากหายใจใหม่ และอย่าไปผลักไสให้อาการทั้งหลายเหล่านั้นผ่านพ้นไป เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้เท่านั้น

ถ้าหากว่าวางกำลังใจได้ถูกต้อง สภาพจิตจะก้าวขึ้นสู่สมาธิระดับที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป และท้ายสุดจะไปนิ่งสนิท สว่างโพลงอยู่ภายใน ซึ่งเป็นกำลังเต็มที่ของสมาธิของเรา ก็ให้เราใช้กำลังจุดนั้นเกาะพระนิพพาน ลำดับนี้ก็ให้ทุกท่านภาวนา พิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญานบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-07-2011 เมื่อ 14:58
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว