กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-06-2016, 11:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องแปลก...พระขุนแผนเกราะเพชรคนกลับไม่นิยมที่ฝังตะกรุดเนื้อนาก ทั้ง ๆ ที่ตะกรุดเนื้อนากนอกจากจะทำยากที่สุดแล้ว ยังเป็นโลหะถอนอาถรรพ์ได้ เพราะสมัยก่อนเทคนิคการผสมโลหะยังไม่ค่อยดี บรรดาพวกคนที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ก็สร้างตัวคาถาขึ้นมาบ้าง วิชาบ้าง ที่สามารถป้องกันอาวุธได้ แต่คราวนี้อาวุธที่ป้องกันได้นั้นมักจะทำจากโลหะชนิดเดียว เขาก็เลยต้องมีการทำโลหะผสมขึ้นมา โลหะผสมที่ทำขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้แก้เรื่องการป้องกันพวกนี้แหละ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ในเรื่องของนากก็เหมือนกัน ที่สมัยก่อนเขาเล่นแร่แปรธาตุกันขึ้นมาจนได้โลหะนาก ซึ่งมีส่วนผสมของเงิน ทองแดง ทองคำ ฯลฯ ถ้าใช้ถอนอาถรรพ์ต้องจัดอยู่ในส่วนของตรีโลหะ คือ ผสม ๓ อย่าง แล้วก็มีปัญจโลหะ ผสม ๕ อย่าง สัตตโลหะ ผสม ๗ อย่าง นวโลหะ ผสม ๙ อย่าง อย่างหอกที่ใช้แทงชาละวัน พญาจระเข้หนังเหนียว อาวุธอะไรก็ทำไม่ได้ ต้องเล่นถึงสัตตโลหะ อยากกันได้หลายอย่างดีนัก ก็ล่อเสีย ๗ อย่างไปเลย

นวโลหะเป็นผลพลอยได้ของการเล่นแร่แปรธาตุ เขาอยากจะทำทองคำ แต่ปรากฏว่าทองคำจริง ๆ เป็นสัตตโลหะ ผสม ๗ อย่างก็ได้ทองคำ ส่วนนวโลหะ ผสม ๙ อย่างได้เป็นนาก อันนี้อุตส่าห์ผสมทำตะกรุดนาก ม้วนยากม้วนเย็น กลับจองกันมาหน่อยเดียว ดู ๆ แล้วก็ขำ ของที่ทำยากและมีอานุภาพแปลกประหลาดกว่าเพื่อน กลับไม่มีใครใส่ใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก....อย่างไรเสียอาตมาก็ไปเชิญ "ขุนแผน" มาเรียบร้อยแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 18:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 257 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-06-2016, 11:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทองคำเป็นโลหะผสม แต่พอผสมแล้วธาตุกลับเป็นของเฉพาะตน ก็เลยกลายเป็นว่าส่วนผสมเดิมป่านนี้ยังไม่มีใครแยกออกได้ วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมาบอกว่า สามารถแยกส่วนผสมของทองคำออกมาได้แล้ว อาตมาหัวเราะก๊ากเลย ส่วนที่เขาแยกออกมาก็คือโลหะผสมที่ทำให้ทองแข็งตัวขึ้นเพื่อทำเป็นทองรูปพรรณได้ แยกออกมาก็เหลือโลหะผสมกับเนื้อทองบริสุทธิ์แค่นั้นเอง ก็กลายเป็นทองคำ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าแยกส่วนที่ผสมแล้วเป็นทองคำออกมาได้เสียเมื่อไร

ส่วนทองคำขาวเป็นโลหะแพลทตินั่ม ความแกร่งมีมากกว่า จุดหลอมเหลวสูงกว่า ก็เลยเรียกทองคำขาว แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทองคำดำถึงเกี่ยวกัน ทองคำดำโบราณเรียกว่า สุวรรณขีด บางคนเรียกว่า เจ้าน้ำเงิน พวกเราที่ไม่รู้ว่าเจ้าน้ำเงินที่ผสมนวโลหะคืออะไร ก็คือ ทองคำดำ สมัยใหม่เขาเรียกว่า รูทีเนียม (Ruthenium) กระมัง ?

ต่อไปก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเสาะแสวงหาตามป่าตามเขา สั่งชาวต่างชาติทำให้เลย แพงหน่อย คือถ้าเขารู้ธาตุแน่ชัดแล้วก็ทำได้ ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดก็ทำไม่ได้ ทองคำดำนี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า แร่โคตรเศรษฐี คุณสมบัติเหมือนทองคำทุกอย่าง แต่เป็นสีดำเท่านั้น ไม่ค่อยนิยมเพราะไม่ค่อยมี ร้อยวันพันปีจะเจอสักหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นแม่ชีปทุมก็ถือว่าโชคดี น่าจะประมาณเทวดาเอามาให้ ก็เลยสร้างพระแร่โคตรเศรษฐีขึ้นมาชุดหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 06-06-2016, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยอาราธนาบารมีพระพุทธชินราชให้ฝนตก อยากทราบว่าท่านมีวิธีอาราธนาหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนให้ท่านสงเคราะห์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : วิธีอาราธนาที่หลวงพ่อท่านใช้ ก็คือ อาราธนาให้ถูกองค์ ไม่ใช่ว่าไปอาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชที่วัดใหญ่ พิษณุโลก และก็ไม่ใช่อาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชองค์อื่น ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่ว่าต้องเป็น องค์นั้น ของตอนนั้น ที่วัดบางนมโคเท่านั้น องค์อื่นก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น...อยากรู้วิธีก็ไม่ยากหรอก หาองค์นั้นให้เจอเท่านั้นแหละ...!

ถาม : แล้วปีนี้องค์ไหนละคะ ?
ตอบ : ก็นั่นน่ะสิ...! อาตมาย่องไปดูที่วัดบางนมโคหลายรอบแล้วแต่ไม่เจอ คาดว่าน่าจะโดนคนเอาไปชั่งกิโลขายหรือยกเอาไปอยู่วัดอื่นแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 06-06-2016, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การถวายอาหารพระพุทธรูป พระภูมิเจ้าที่ เทพเจ้าอื่น ๆ รวมทั้งสัมภเวสี ด้วยอาหารที่ยังอยู่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงด้วยหนังยางรัดไว้ หรืออยู่ในกล่องที่ปิดอยู่ หรือน้ำขวดที่ไม่ได้เปิดฝาจีบ หรือฝาหมุน นมกล่องที่ไม่ได้เจาะหลอด หรือขนมห่อใบตองที่ไม่ได้แกะไม้กลัดออก รวมทั้งผลไม้ที่ไม่ได้ปอกเปลือก และไม่ได้ถวายภาชนะ จะทำให้การถวายอาหารเหล่านั้น มีผลไปถึงท่านที่เราตั้งใจถวาย เหมือนกันหรือแตกต่างจากการถวายอาหารด้วยการจัดอาหารออกวางลงบนภาชนะ เปิดขวด ใส่หลอด รินน้ำลงแก้ว ปอกเปลือกผลไม้ และตัดแต่งให้พร้อมรับประทาน อย่างที่คนเราทำกันเพื่อรับประทานกันครับ ?
ตอบ : ถ้าหากถวายพระหรือถวายเทวดาอย่างไรก็ได้ จัดให้ดูเรียบร้อยงดงามหน่อยก็พอ จะอยู่ในภาชนะปิดกี่ร้อยชั้นก็ไม่ว่า แต่ถ้าตั้งใจจะเลี้ยงผีหรือสัมภเวสี โปรดกรุณาแกะออกให้เรียบร้อยด้วย เพราะเขามีกฎบังคับอยู่ว่า ถ้าเป็นของมีเจ้าของจะไปแตะของเขาไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้ายังไม่ได้แสดงอาการให้อย่างแท้จริง ยังอยู่ในหีบในห่อหรือยังอยู่ในถุงในไถ้นี่ เขาหมดสิทธิ์ที่จะแตะต้องเลย

ถาม : และถ้าเอาอาหารให้สัมภเวสีโดยการปักธูปให้กิน สามารถเรียกให้มารับได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียกประจำ เพราะผู้ใหญ่เขากลัว ส่งธูปให้กำหนึ่งให้ไปเรียกมา คนจีนเขาไหว้กันทุกปี เขาเรียก "ไป้ห่อเฮียตี๋" ใครเคยบ้างล่ะ ? อาตมาลองดูแล้ว เขามาทีเป็นหลักพันเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 06-06-2016, 14:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนรู้จักได้คลอดบุตรในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา แล้วตั้งชื่อลูกพยางค์เดียวว่า "พุทธ" ที่แปลว่าผู้รู้ ไม่มีอะไรต่อท้าย ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกสงสัยว่าจะเป็นการไม่สมควรหรือไม่ ที่ตั้งชื่อลูกออกมาพ้องกับพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ก็ตั้งไปแล้วนี่ มาสงสัยอะไรเล่า ? ตั้งไปเถอะ ชื่อเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น เจอหน้าลูกก็ยกมือไหว้ทุกครั้ง แล้วนึกถึงพระก็ใช้ได้แล้ว ...(หัวเราะ)...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 06-06-2016, 15:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่า "อิสสา" กับ "อรติ" คือสิ่งเดียวกันหรือไม่ ? มีลักษณะอย่างไร ? การเจริญมุทิตาสามารถกำจัดอารมณ์สองอย่างนี้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : อิสสา ภาษาไทยคือ อิจฉา ก็คือ ความริษยาในขณะที่เห็นคนอื่นเขาดีแล้วทนไม่ได้ ส่วน อรติ ก็คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ ลักษณะเป็นปฏิฆะ คือ การกระทบที่เกิดจากพื้นฐานของโทสะ

เป็นคนละอย่างกันแต่มาจากตัวปฏิฆะ คือ พื้นฐานของโทสะเหมือนกัน การแผ่เมตตาหรือเจริญเมตตาเป็นปกติ ถ้าหากกำลังถึงก็สามารถที่จะระงับทั้งสองตัวนี้ลงได้


ถาม : ตอนนี้ที่เป็นหลัก ๆ คือ อารมณ์โทสะ โกรธ น้อยใจ กับอีกอย่างคือความเศร้าใจหดหู่ ตอนตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการเศร้าอยู่ในใจเสมอ หรือบางครั้งก็จะมีความโกรธขึ้นมาเฉย ๆ เป็นมาเป็นปี ๆ แล้วครับ มีความทุกข์มาก ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับไป ถ้าภาวนาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา อารมณ์ใจจะเคว้งอยู่นิดหนึ่ง พอนึกได้ก็จะภาวนาต่อ หรือถ้าอารมณ์ใจละเอียด ตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอารมณ์ภาวนาต่อได้เลย ถ้าละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือรู้อยู่ตลอดว่าเราภาวนา ถ้าทำแบบนี้แก้ได้ทุกอารมณ์เลย ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น

ถาม : พยายามเจริญพรหมวิหาร ๔ แต่บางครั้งได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เหมือนกับว่าหมดกำลัง สู้ความโกรธหรือความอิจฉาไม่ได้ ในขณะนั้นต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็หนีก่อน ไปให้พ้นจากเหตุการณ์ตรงนั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยไปซักซ้อมภาวนาแผ่เมตตาของเรา

การแผ่เมตตาก็ให้คนที่เรารักก่อน เพราะจิตใจไม่ต่อต้าน สามารถให้ได้ง่าย หลังจากนั้นก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดมาก ถ้าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าจริง ๆ ตั้งแต่แรก ก็หงายท้องอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะกำลังของเราไม่พอ


ถาม : ขณะที่เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วไม่มีกำลังพอจะสู้กับความโกรธ จึงเปลี่ยนไปใช้วรรณกสิณแทน หรืออย่างบางทีมีราคะก็ใช้อสุภะ กับกายคตาสติแทน ทำอย่างนี้จะเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ก้าวหน้าแน่นอน เพราะเรื่องของกรรมฐานถ้าจะใช้งานต้องทำให้ได้จริง ๆ ก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงก็เท่ากับเราแค่รู้วิธีเท่านั้นว่าจะน็อกคู่ต่อสู้อย่างไร แต่การฝึกซ้อมตลอดจนกระทั่งกำลังไม่มี ก็มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้น็อกไปตลอด

ถาม : สำหรับโทสะจริต ที่ให้ใช้พรหมวิหาร ๔ กับ วรรณกสิน ๔ กรรมฐานสองอย่างนี้สามารถกำจัดโทสะให้หายขาดได้หรือไม่ ? หรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะกำจัดโทสะให้หายหรือเบาบางลง ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าทำถูกก็กำจัดได้เลย ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แค่ชั่วคราว คำว่าทำถูกในที่นี้ก็คือต้องต่อด้วยวิปัสสนาญาณ ท้ายที่สุดก็ปล่อยวางลงได้จนหมด เพราะไม่ว่าเขาหรือเราก็ตายหมดเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นสภาพจิตของเราก็จะปลดออกจากตรงจุดนั้นมา ตัวโกรธก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แต่ระงับชั่วคราวเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 06-06-2016, 15:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในขณะที่ตั้งใจเจริญพระกรรมฐาน จิตคิดว่าเราเป็นคนไม่มีศีล ทำผิดศีล ทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันเราตั้งใจรักษาศีล ๕ ไม่ได้ละเมิดเลยสักข้อเดียว จะห้ามเท่าไร ถึงขนาดบอกจิตตนเองว่าวันนี้ศีลบริสุทธิ์ จิตก็ไม่เชื่อ จิตคิดอย่างนี้จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไร บอกไปเถอะว่ากูทำดีแล้ว เพราะลักษณะอย่างนั้นแสดงว่ากิเลสมารเขามาหลอกเรา อาตมาเคยโดนกลั่นแกล้งมาเยอะแล้ว ถึงขนาดรัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลาย กลายเป็นคนชั่วช้าสารเลวชนิดหาข้อดีไม่ได้เลย แต่อาตมานั่งอยู่หน้าพระประธาน มึงมีปัญญามึงบอกไปสิ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ากูไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เสียอย่าง มึงมีปัญญาก็พากูไปชั่วให้ได้สิ

เป็นวิธีที่หน้าด้านหน่อย แต่ถ้ากำลังยังสู้ไม่ได้ก็ต้องอาศัยลูกตื๊อแบบนั้น ก็คือเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ เรื่องของกายและวาจา เราก็ไม่ทำชั่ว เราไม่พูดชั่วอยู่แล้ว เหลือแต่ใจให้คิดไป เราชนะสองในสาม อย่างไรเสียก็ได้เข้ารอบชิงแน่..!

ถาม : ช่วงนี้ไม่ทราบเป็นมาอย่างไร รู้สึกกังวลใจเรื่องการรักษาศีลอย่างมาก ทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าเป็นการละเมิดศีล ก็จะฟุ้งซ่านคิดว่าตนเองทำผิดศีลไปแล้ว อย่างผมเห็นว่าบ้านหลังนี้สวย อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เราไปถ่ายมาโดยไม่ได้ขอเจ้าของบ้าน จะถือว่าเป็นการผิดศีลข้อลักขโมยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แอบถ่ายแล้วได้บ้านหลังนั้นตกมาเป็นของเราไหม ? ถ้าได้มาก็เป็นการลักขโมย แต่เห็นว่าบ้านยังตั้งอยู่ที่เดิมนี่

ถาม : ถ้าไปถ่ายรูปคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกถ่าย ผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ไปถ่ายใต้กระโปรงของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 06-06-2016, 15:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้นำน้ำมันชาตรีไปสงเคราะห์รถยนต์โดยการเจิมที่ตัวรถได้ แต่ถ้าเรานำไปเจิมพระพุทธรูปที่ยังไม่ได้เข้าพิธีหรือวัตถุอื่น ๆ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาแนะนำให้แช่เลยดีกว่า แหม...ใช้คำว่าไปสงเคราะห์รถยนต์ ทำอย่างกับน้ำมันชาตรีเป็นช่างซ่อม...! จะเจิมอะไรก็เจิมไปเถอะ ถ้ามั่นใจในคุณพระก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่เหมือนกัน

ถาม : ถ้าเจิมที่พระพุทธรูปจะทำให้มีผลเหมือนพระพุทธรูปที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ยึดเกาะ จะเข้าพิธีหรือไม่เข้าพิธีก็แย่พอกัน

ถาม : น้ำมันชาตรี ผมนำไปผสมทั้งน้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ตั้งใจว่าจะกินวันละช้อน เผื่อไว้ไปมีเรื่องกับใครหรือถูกสิบล้อชนจะได้เป็นลูกเบาบ้าง แต่ไม่ไหวจริง ๆ ครับ กินไม่ได้ ถ้าผมจะนำไปผสมในกับข้าวหรืออาหารโดยการเททับหลังสุด อานุภาพจะเสียไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เสีย แต่ถ้ารังเกียจเสียตั้งแต่แรกก็คงกินไม่ได้อยู่ดี เอาไปใส่อะไรก็คงรู้สึกว่ารสชาติแย่พอกัน อาตมาไม่เห็นว่ากินยากตรงไหนเลย อร่อยเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ถ้าเปลี่ยนเป็นเจิมหัว เจิมหน้าผาก พอจะไหวไหมคะ ?
ตอบ : ปกติเขาก็เจิม นี่ทะลึ่งจะกิน ก็จะได้ความอ้วนมาโดยอัตโนมัติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 06-06-2016, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คุณแม่อ่านหนังสือไม่ได้ เมื่อไปบวชเนกขัมมะที่วัด ต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะต้องวางกำลังใจและปฏิบัติอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกคุณแม่ว่า "พุทโธ" คำเดียว ดีกว่าสวดมนต์ทั้งวัน ให้นั่งภาวนา "พุทโธ...พุทโธ" ไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 06-06-2016, 16:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่พระสงฆ์สามเณรต้องออกไปนอกวัดด้วยกิจต่าง ๆ เช่น ไปทำธุระของท่านเองคนเดียว เมื่อถึงเวลาเพล ต้องมีการฉันอาหาร แต่ไม่มีญาติโยมมาถวาย มีแต่ร้านอาหารที่เปิดขายตามข้างทาง ในกรณีนี้ พระสงฆ์สามเณรสามารถสั่งอาหารจากโยมร้านอาหารมาถวายได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งน้อยไม่ได้ ถ้าสั่งมาก ๆ ก็ได้...! โดยปกติพระเข้าร้านอาหารกัน สั่งอาหารมาไม่ต้องประเคน พระก็ฉันได้ เพราะไม่ใช่ของโยม แต่เป็นของเรา ฟังเข้าใจกันไหม ? ก็คือ ข้าวของที่ต้องประเคน คือข้าวของที่เป็นของโยมเอามาถวายพระ การประเคนคือการแสดงออกว่าให้อย่างแท้จริงแล้ว แต่ของที่เราซื้อ ไม่ว่าจะซื้อจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารก็ตาม...นั่นเป็นของเรา เพราะเราแลกเปลี่ยนมาด้วยเงิน ไม่จำเป็นต้องประเคนก็เป็นของเรา

แสดงว่ามีเยอะเลย ประเภทเข้าร้านแล้วให้โยมประเคนให้ แบบนี้ไปต่างประเทศอดฉันแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าประเคนคืออะไร..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 06-06-2016, 20:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมไปบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในวัดนั้นจะมีห้องสำหรับเก็บของสังฆทานที่ญาติโยมนำมาถวาย เช่น เครื่องดื่ม ตอนที่บวชเข้ามา หลวงพี่ที่ท่านทำหน้าที่ดูแลพระซึ่งมีอาวุโสรองจากเจ้าอาวาส ได้บอกว่า สิ่งใดที่พระเณรจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถไปหยิบจากห้องสังฆทานได้เลย ในส่วนที่ผมเป็นเณร ถ้าผมไปหยิบตามคำที่ท่านได้บอกไว้ ผมจะผิดศีลผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : สามเณรไม่มีอาบัติปาราชิก แต่ถ้าตั้งใจขโมยก็ศีลขาด แต่สามเณรดีตรงที่ว่าสามารถต่อศีล ก็คือรับศีลใหม่ได้ พูดแบบนี้เดี๋ยวขโมยกันใหญ่เลย...!

แต่ถ้าตั้งใจจะบวชเป็นพระต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าสิ่งใดไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าไปแตะต้อง เพราะถ้าเป็นพระเกิดมีเถยยจิตคิดต้องการขึ้นมา เจ้าของไม่ได้ให้ หยิบออกจากฐานก็เป็นอันขาดจากความเป็นพระไปเลย ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้ตั้งแต่แรกจะปลอดภัยกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 06-06-2016, 21:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ยันต์ครูและยันต์องค์พระ ที่อยู่ด้านหลังเหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ของทางวัด ยันต์ทั้งสองนี้มีอานุภาพด้านไหนบ้างครับ ?
ตอบ : แพง...! อานุภาพนี้เด่นชัดที่สุดของวัดท่าขนุน ไม่มีราคาถูกเลย ยันต์องค์พระก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ ใครจะไปบรรยายหมด อรรถกถาจารย์บอกว่าพระพุทธเจ้าสององค์มานั่งถามตอบกันถึงความดีความสามารถของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ถามตอบกันเป็นร้อยปี ยังตอบไม่หมดเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 06-06-2016, 22:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๙ มิถุนายน นาคโกนหัวเสร็จก็บวชเณรก่อน เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวง เพราะว่าในหลวงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีวันที่ ๙ มิถุนายนพอดี หลังจากนั้นวันที่ ๑๕ ค่อยบวชพระ เอาอานิสงส์บวชเณรถวายในหลวงก่อน เราเองก็ได้อานิสงส์ไปด้วย

วันที่ ๑๕ บวชพระ กะว่าฉันเช้าเสร็จ เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้ว ก็ว่ายาวไปยัน ๑๑ โมง ฉันเพลเสร็จพักเสียหน่อย แล้วก็น่าจะเริ่มประมาณเที่ยง คิดว่าไม่เกิน ๓ ทุ่มน่าจะจบ นั่งกันตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่มนี่สาหัสเหมือนกัน เพราะกะว่าชุดหนึ่งประมาณ ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งได้ ๓ ชุด ๓๐ ชุดก็ ๑๐ ชั่วโมง คราวนี้มี ๓๔ ชุด ก็อีกชั่วโมงกว่า ก็เท่ากับ ๑๑ ชั่วโมงกว่า ตีเสียว่า ๑๒ ชั่วโมง รวมเวลาเพลรวมอะไรด้วย ก็น่าจะประมาณ ๑๕ ชั่วโมง คาดว่า ๓ ทุ่มน่าจะเสร็จ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 07-06-2016, 15:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คาถาหัวใจหมี ใช้ด้านไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : หลวงพี่สมาน ตอนนี้ท่านสึกไปแล้ว ท่านได้คาถาหัวใจหมีมาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แล้วท่านก็ไปตีผึ้ง ปรากฏว่าเพื่อนโดนผึ้งต่อยจนหัวหูปูดหมดเลย ท่านบอกเพื่อนว่า "มึงปีนขึ้นไป เดี๋ยวกูท่องคาถาอยู่โคนต้นนี่เอง...! คนปีนก็เลยซวย

ความจริงคาถาหัวใจหมีเขาใช้ทางอยู่ยงคงกระพัน ลักษณะเหมือนกับลูกเบา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เวลาหมีตกใจจะทิ้งตัวลงพื้นเลย และหมีก็ไม่เคยเป็นอันตรายจากการตกจากที่สูง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 07-06-2016, 15:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเรียกภูตในตำราวิชาทางไสยศาสตร์นี้ ภูตในส่วนนี้คืออะไร ? แล้วการเรียกภูตนี้มีอันตรายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตอบแบบง่าย ๆ ภูตก็คือผีตายโหง ส่วนอันตรายนั้น ถ้าเขาอยู่ของเขาดี ๆ แล้วเราไปกวนเขา ถ้าเอาไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมัน...!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 07-06-2016, 15:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในการนำมีดหมอมาเข้าพิธี เช่น พิธีมีดหมอเพชราวุธที่ผ่านมา ถ้าบุคคลหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า แล้วอีกบุคคลหนึ่งเป็นคนทุศีล ของที่นำมาเข้าพิธีจากสองบุคคลนี้ จะมีอานุภาพต่างกันตามความบริสุทธิ์ของจิตไหมครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพเท่ากัน ของเข้าพิธีไม่ได้เกี่ยวกับตัวคน แต่ตอนเอาไปใช้กำลังใจ ของใครเข้มข้นและศรัทธามากกว่าก็มีอานุภาพมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 07-06-2016, 16:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วัตถุมงคลซึ่ง
๑. สำเร็จจากชนวนมวลสารของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เช่น พระผงอุณาโลมพิมพ์ทรงจิตรลดา พระผงนางพญา สก. เป็นต้น
๒. ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสก จากพระเถราจารย์หลายท่าน เช่น พระกริ่งนเรศวรวังจันทน์ พิธีจักรพรรดิ เป็นต้น จะสามารถกล่าวได้ไหมครับ ว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นวัตถุมงคลที่รวมกระแสญาณบารมีของครูบาอาจารย์ท่านทั้ง ๒ ข้อดังกล่าวข้างต้น ?
ตอบ : ถ้าเป็นผงก็ไม่แน่นัก เพราะผงบางทีก็เอามาจากว่านบ้าง เกสรดอกไม้บ้าง ดินในที่สำคัญบ้าง ยังไม่ได้ผ่านพิธีอะไร จะไปเรียกว่ามีกระแสญาณตามที่ว่ามาก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นการพุทธาภิเษกโดยพระเกจิต่าง ๆ อย่างน้อยก็มีกำลังที่ท่านตั้งใจจะบรรจุลงไปให้

ดังนั้น...ในส่วนของพระผงที่รวมมาจากของสำคัญต่าง ๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าพิธีก็ถือว่าไม่มีอะไร จะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นผงสำคัญที่ได้มาจากการเข้าพิธีไปแล้วก็เป็นอันว่าจบกันตั้งแต่ยกแรก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 07-06-2016, 16:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ลูกมีโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์และท่านเมตตาแก่คนที่ไปกราบท่าน พร้อมกับแจกของที่ระลึก ใจลูกอยากจะได้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ เมื่อพอได้อยู่ตรงหน้าหลวงปู่แล้ว พร้อมกับคนอื่นที่พากันแย่งชิง (กราบขอเมตตาหลวงพ่อ แย่งชิงอย่างหนักหน่วงเจ้าค่ะ) ของที่ระลึกจากหลวงปู่ ลูกก็มีอาการไม่ปกติเจ้าค่ะ

ในขณะที่ลูกนั่งตรงหน้าหลวงปู่ ลูกอยากจะถามเรื่องการภาวนา แต่ปากไม่ยอมอ้า พร้อมกับเห็นใจตัวเองมันนิ่ง เห็นแต่ข้างใน ไม่เห็นกาย นิ่งจ้องหลวงปู่อยู่อย่างนั้น เห็นอาการเข้าสมาธิ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วมันว้าบ กราบขออภัย ไม่ทราบจะใช้ถ้อยคำใดแสดงอาการ มีแสงพุ่งเข้าไปในช่องอก แต่ลูกไม่ได้นั่งหลับตาแน่นอนเจ้าค่ะ ลูกจ้องหลวงปู่ตาแป๋วเลย หลวงปู่ก็มองแล้วมองอีก ลูกก็ยิ้มหวานให้หลวงปู่ คนภายนอกจะเป็นอย่างไร ข้ามหัวห้ามหู มือไม้มาโดนลูกอย่างไร ลูกก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ เห็นภาพหลวงปู่องค์เดียวตรงหน้า

ลูกตกใจกับสิ่งที่ลูกเป็น เพราะใจลูกมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นร่างที่ไม่ใช่ร่างกายในปัจจุบัน มันรู้ตัวนะเจ้าคะ ไม่มีอารมณ์มึนงง เห็นอย่างชัด มันใส ขาว เรือง รูปร่างมันดีเกินกว่าปกติที่เป็น (คล้ายแปลงร่างก็ได้เจ้าค่ะ) แล้วเข้าไปพิจารณาอารมณ์ดูหลวงปู่ ดูอากัปกิริยา ดูอาการ พร้อมกับเปรียบเทียบอารมณ์ของผู้คนที่มารายล้อมหลวงปู่ แล้วคิดว่า ใจท่านทำไมทำได้ขนาดนี้ อดทนได้ขนาดนี้ นิ่งเย็นขนาดนี้ ทำอย่างไรหนอถึงจะทำได้แบบนี้ ต้องทำให้ได้แบบนี้ ตัวอย่างต้องทำแบบนี้ เราจะไปทางนี้ (ลูกต้องบ้าแน่ ได้มองตัวเองแบบประหลาดใจแท้) ลูกเหมือนมี ๒ คนในร่างเดียว คนหนึ่งบอกว่าให้ลุกไปเสีย (แต่เห็นเป็นคนใส่ชุดสวยยืนบอกให้ลุก ยืนบ่นว่าลูกกำลังปรามาสพระ) อีกคนหนึ่ง จับจ้องหลวงปู่อยู่เช่นนั้น หลวงปู่ก็พอทราบ มีลูกคนเดียวที่ท่านไม่ได้ถามว่าจะรับของที่ระลึกของท่านไหม สุดท้ายลูกสะกดจิตตัวเองลุกออกตรงนั้นได้ ด้วยอารมณ์อิ่มใจในความเมตตาของหลวงปู่

ลูกกำลังจะเป็นบ้าหรือไม่เจ้าคะ ทำไมลูกเพี้ยนไปได้แบบนี้ ? ตัวที่แปลงร่างได้ เป็นลูก หรือเป็นผีมาสิงลูกหรือไม่เจ้าคะ ?

ตอบ : ได้ตบปากตัวเองหรือยัง ? แล้วได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝาไหม ? ถ้ายังไม่ได้ตบปากตัวเอง และยังไม่ได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝา ก็แสดงว่ายังไม่บ้า สองตัวที่อยู่ข้างนอกเป็นเทวดานางฟ้าที่เขามาดูแลเรา ส่วนที่อยู่ข้างในคือตัวเราเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับสภาพจิตที่เข้าถึง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 07-06-2016, 16:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ประโยคที่ว่า ธรรมะเป็นของเย็น และรีบร้อนไม่ได้ ขอหลวงพ่อเมตตาอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ?
ตอบ : เราทุกคนเร่าร้อนด้วยไฟรัก โลภ โกรธ หลง ต้องดับด้วยธรรมะที่เป็นของเย็นเท่านั้น ส่วนการที่จะรีบร้อนทำเป็นความอยากจนเกินไป เอาตัณหานำหน้า ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน สมาธิเลยไม่ทรงตัว จึงต้องใจเย็น ๆ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 07-06-2016, 16:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในสมัยพุทธกาล พระนางปฏาจาราเถรี เมื่อประสบความทุกข์ขนาดนั้น ท่านสามารถทำใจได้เช่นไรครับ ?
ตอบ : ท่านเห็นชัด ๆ แล้วว่า สามีก็ตาย ลูกก็ตาย พี่ก็ตาย พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเสียใจเพราะญาติพี่น้องตายในแต่ละชาติที่ผ่านมา รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ ท่านก็เลยได้สติ พอได้สติก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน

คนที่เห็นทุกข์ขนาดนั้นคงไม่มีใครคิดว่าโลกนี้ดี และก็คงไม่มีใครคิดว่าร่างกายนี้ดี ในเมื่อไม่เห็นความดีในร่างกายของตนเอง ก็แปลว่าไม่เห็นความดีในร่างกายของคนอื่น และไม่เห็นความดีในโลกนี้ ในเมื่อสภาพจิตปลดลงได้ วางลงได้ ก็เป็นอันว่าหลุดพ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว