|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒
ในเรื่องของภาษา หลวงพ่อเล็กบอกว่า "สมัยพุทธกาลถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณที่สามารถใช้ภาษาใจได้แล้ว การเผยแผ่พุทธศาสนาจะเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะสมัยนั้นมีหลายภาษามาก ในปัจจุบันอินเดียประเทศเดียวก็มีสามร้อยกว่าภาษาแล้ว
หลวงพ่อฤๅษีเคยเล่าเรื่องหลวงปู่สร้อยให้ฟัง ใครพูดภาษาอะไรหลวงปู่สร้อยพูดได้หมด หลวงพ่อก็เลยไปลองดู เอาคนพูดภาษาอังกฤษไปคุยด้วย เอาคนพูดภาษาเยอรมันไปคุยด้วย เอาคนญี่ปุ่นไปคุยด้วย ปรากฏว่าหลวงปู่พูดได้หมดทุกภาษา พอหลวงพ่อถามว่า "หลวงปู่พูดภาษาเขาได้ยังไง ?" หลวงปู่บอกว่า "ไม่รู้ ได้ยินเป็นภาษาไทยและตอบเป็นภาษาไทย" เอากับเขาสิ ! ได้ยินเป็นภาษาไทย ตอบเขาเป็นภาษาไทย แต่คนฟังกลับฟังเป็นภาษาตัวเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:00 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
นอกจากนี้ หลวงพ่อเล็กยังเล่าถึงความสามารถทางด้านภาษาของหลวงพ่อฤๅษีให้ฟังว่า
มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่อาตมายังไม่ได้บวช วันนั้นอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีที่บ้านสายลม ก็มีคุณยายคนหนึ่งมาจากสุรินทร์ เดินทางมาทั้งคืน มาถามหาหลวงพ่อ เนื่องจากคุณยายคนนี้พูดภาษาอีสานปนส่วยปนเขมร คนทั่วไปจะฟังไม่รู้เรื่อง โชคดีที่อาตมาไปอยู่ชายแดนเขมรมาก่อน ก็เลยพอจะฟังได้ พอยายเจอหลวงพ่อก็เลยขอถามปัญหา เนื่องจากยายแกพูดไม่รู้เรื่อง หลวงพ่อเลยหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่า "เฮ้ย ใครฟังรู้เรื่องแปลให้ที" อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมพอฟังได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะแปลได้หมด" หลวงพ่อก็บอกว่า "เออ..ช่วยเป็นล่ามให้หน่อยลูก" คุณยายถามหลายปัญหามาก แต่ปัญหาใหญ่ที่ยายถามคือ ยายบ้าไปหรือเปล่า? เพราะยายถือศีลปฏิบัติธรรมในขณะที่คนทั้งหมู่บ้านไม่ทำกัน เขาเลยหาว่ายายเป็นผีบ้า หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วบอกว่า "ยายน่ะปกติ แต่พวกนั้นบ้าทั้งหมู่บ้าน" บอกไปแบบนี้ ยายแกจะได้สบายใจ เพราะยายเขาเครียดมาก ต้องชมกำลังใจของยายว่าสุดยอด โดนชาวบ้านเขาด่าเป็นยายผีบ้าทุกวัน แต่ยายก็ยังคิดที่จะทำอยู่ ถ้าเป็นเรา...มีคนเดียวแล้วทั้งหมู่บ้านเขาด่า เราจะสู้ไหวหรือไม่ ? ยายเขาสุดยอดกำลังใจ พอรู้ว่ามีพระดี ก็ดั้นด้นมาจากสุรินทร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดค่ารถไปเท่าไร พออาตมาแปลไปแล้วชักเหนื่อย บางคำคิดไม่ทันก็หยุดนึกเป็นภาษาไทย ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านตอบไปก่อน ตรงเป๊ะเลย ถึงได้รู้จริง ๆ ว่าท่านฟังออกหมดทุกภาษา ส่วนที่ให้เราแปล เพราะจะได้ไม่ผิดปกติ คนอื่นก็จะไม่รู้ คิดว่าท่านตอบตามที่เราแปล ก็เลยโยงกลับมาจุดที่ว่า ในสมัยพุทธกาล ความสามารถเหล่านี้เป็นสาธารณะ บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ มีหลายคนทำได้ ขณะเดียวกันพระสงฆ์ของเราที่สำเร็จมรรคผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณก็ทำได้เยอะ เลยกลายเป็นของไม่แปลก ในขณะเดียวกัน ที่ท่านพูดกับเขาได้ เขาไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาคิดว่าท่านพูดภาษาของเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:02 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : พระอรหันต์สมัยพุทธกาลท่านแสดงปาฏิหาริย์เป็นปกติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถาม : แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าท่านแสดงปาฏิหาริย์ได้ ? ตอบ : พระปิณโฑลภารทวาช ไปแสดงให้เขาเห็น ถาม : แล้วท่านพูดได้หมดทุกภาษาหรือเปล่า ? ตอบ : เมื่อวานก็แปลภาษาเทวนาครี แทบตายกว่าจะได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 26-03-2013 เมื่อ 12:25 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกว่า "เวลาท่านปู่นายบัญชี มาสำรวจตอนที่เรากำลังทำกรรมฐาน ท่านจดตอนที่กำลังใจเราสูงสุด ตอนที่กำลังใจห่วยแตกเขาไม่จดหรอก เสียเวลาเปล่า เช่น ช่วงแรกเราได้อุปจารสมาธิ สักพักเราได้ปฐมฌานซึ่งนับว่าเป็นกำลังใจสูงสุดในช่วงนั้น เครื่องของเขาก็จดโดยอัตโนมัติ จดตอนกำลังใจสูงสุดอย่างเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:03 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในเรื่องฌานใช้งาน พระอาจารย์บอกว่า "เวลาที่สมาธิมันขึ้นสูงสุด กำลังใจจะทรงตัวอยู่ระดับนั้น เมื่อกำลังมันถอยเป็นปฐมฌานหรืออุปจารสมาธิ ก็เลยกลายเป็นฌานใช้งาน
ฌานใช้งานจะบังคับให้เราเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างได้ ๆ แต่ความสงบของใจมันเท่ากับกำลังสูงสุดที่เราทำได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:04 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
|||
|
|||
มีตอนหนึ่งในช่วงของการเจริญกรรมฐานในคืนวันเสาร์ ที่หลวงพี่ท่านกล่าวถึงความสำคัญในการระลึกถึงลมหายใจเข้า-ออก ช่วงหนึ่งท่านกล่าวไว้ประมาณนี้ว่า
"การนึกถึงลมหายใจมีความสำคัญไม่ต่างจากการที่เรานึกถึงความดี" ทำให้มีวิธีที่จะได้บอกกับใจของตัวเองตลอดเวลาที่นึกได้ว่า ตอนนี้ "เรานึกถึงความดีแล้วหรือยัง?" เก็บตกเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกันครับ
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑ ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
|
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ในเรื่องเด็ก ๆ พระอาจารย์สอนว่า "เราจะเห็นได้ว่าเด็ก ๆ เขาก็มีสักกายทิฏฐิกันแล้ว สิ่งที่เขาแสดงออกไม่ว่าจะเป็น ต้องการให้คนอื่นสนใจ ต้องการให้คนอื่นใส่ใจ ต้องการให้ตนเองเป็นคนสำคัญ ทั้งหลายเหล่านี้เขาจะไม่รู้ตัว มันเป็นสังโยชน์ชัด ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:04 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
พระอาจารย์พูดถึงเรื่องการเมืองว่า "ปัจจุบันความแตกแยกในบ้านเมืองของเราเหมือนกับตกอยู่ในความมืด ตกอยู่ในวังวนของผลประโยชน์ มีปรัชญาการเมืองว่า การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ จึงไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร
แม้ว่าเปลือกนอกเหมือนว่ารัฐบาลได้เปรียบ แต่ทักษิณเขามีฤทธิ์มากกว่าที่คิด ขอให้รู้ว่าในขณะนี้เขากำลังเจรจากันอยู่ เขาเจรจาในลักษณะที่ว่าทำอย่างไรจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในความมืด ความมืดคือผลประโยชน์ที่เกิดจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากมีความสมประโยชน์ คือได้กันทั้งสองฝ่าย เรื่องจะจบ ถ้าหากไม่ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างไรเรื่องก็ไม่จบ ดังนั้น..เวลาทำกรรมฐานก็ขอให้อธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย ทำอย่างไรที่จะทำให้พวกเขามีกำลังใจเกาะในด้านคุณความดี เพื่อที่แสงของธรรมะจะได้ฉายเข้าไปขับไล่ความมืดในใจของเขาออกไปได้บ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:06 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกว่า "ธรรมะหมวดที่มนุษย์รู้เรื่องน้อยที่สุดก็คือพระอภิธรรม เพราะพระพุทธเจ้าท่านเอาไว้สอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญู ฉะนั้น..ใครเรียนอภิธรรมต้องบอกว่าเก่งพอกับเทวดา
เมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในสัปดาห์ที่ ๔ เสวยวิมุตติสุขอยู่ สุดยอดอัจฉริยะมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้า ทรงใช้เวลาพิจารณาพระอภิธรรม ขนาดคิดตรองในใจโดยไม่ได้กล่าวออกมา ใช้เวลา ๗ วันเต็ม ๆ แล้วพระพุทธเจ้าทรงขึ้นไปสอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญู ฟังแต่หัวข้อก็เข้าใจเลยโดยไม่ต้องอธิบาย ขนาดนั้นยังใช้เวลาเท่ากับสามเดือนของมนุษย์ แล้วคิดดูว่าถ้าไปเทศน์สอนคนธรรมดา จะฟังได้ครบหรือไม่? ดังนั้น..ปัจจุบันที่เรียนอภิธรรมกัน บางทีก็ทำให้เกิดมานะว่ารู้มากกว่าคนอื่นเขา ซึ่งเป็นการรู้ในแบบตำรา แล้วเป็นการรู้ในแบบส่วนหยาบ ๆ ด้วย ไม่สามารถอธิบายในส่วนที่ละเอียดได้ เลยกลายเป็นว่า ไปศึกษาส่วนประกอบของอาหารว่ามีอะไรบ้าง ทั้งที่อาหารวางอยู่ตรงหน้าแล้วไม่กินสักที ที่ทองผาภูมิมีอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุ ๘๓ ชื่อโยมไล ชอบสนทนาธรรมกับพระ โยมคนนี้ถ้าหากว่าเรารู้ธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นจากตำราหรือการปฏิบัติก็ตาม ถ้ารู้ไม่มากพอ แกจะไม่นับถือ โยมคนนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ และนับถือหลวงปู่อุตตมะด้วย โยมเขาเรียนอภิธรรม หลวงปู่อุตตมะเตือนไว้แล้ว บอกว่า "โยมไล..เรียนอภิธรรมแล้วเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ" เพราะจะคิดว่าตนเองรู้มากกว่า เมื่อคิดว่ารู้มากกว่าก็เกิดมานะและสักกายทิฏฐิ ทำให้พลาดผลที่จะพึงได้ไปอย่างน่าเสียดาย ทุกวันนี้โยมคนนี้เรียกอาตมาว่าหลวงปู่ โยมเขาถือว่าอาตมาแก่เพราะรู้มากกว่า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 19-04-2015 เมื่อ 22:16 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"ในธรรมะแปดหมื่นพระธรรมขันธ์ มีหลายส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเฉพาะ
อย่างพระมหาสติปัฏฐาน ท่านก็สอนแต่เฉพาะชาวกุรุ ชาวกุรุมีพื้นฐานมาจากอุตรกุรุทวีป ซึ่งมาจากต่างดาว พวกเขามีความฉลาดมาก ซึ่งถ้าใครไปศึกษาในมหาสติปัฏฐาน หมวดท้าย ๆ ที่ว่า เห็นจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาอย่างช่ำชอง จะปฏิบัติได้ยากมาก เรียกได้ว่าเกาะไม่ติดเลย แสดงว่าเราฉลาดสู้มนุษย์ต่างดาวไม่ได้ ในโลกเราสมัยที่มีพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์ท่านต้องปราบได้ทั้งสี่ทวีป คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยาน บุพวิเทหทวีป และชมพูทวีป เนื่องจากพระเจ้าจักรพรรดิท่านจะเกิดได้เฉพาะในชมพูทวีป เวลาไปปราบท่านก็ไปกวาดต้อนประชาชนมาส่วนหนึ่งเพื่อแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ ชาวอุตรกุรุทวีปก็เอาไว้ที่แคว้นกุรุ ชาวอมรทวีปก็ไว้ที่แคว้นอมรปุระ พวกบุพวิเทหทวีปก็อยู่ที่เทวทหะ คราวนี้รู้หรือยังว่าชื่อเมืองมาจากไหน? ก็มาจากบ้านเขา แปลว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเชื้อสายมาจากมนุษย์ต่างดาว เพราะเทวทหะเป็นเมืองแม่ของท่าน ในเมื่อเขามีความฉลาดมากพระพุทธเจ้าก็เทศน์ธรรมะที่เหมาะแก่จริต เหมาะแก่อัธยาศัยที่เขามีอยู่ในช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาในระดับที่เข้าใจในจุดนั้น ปฏิบัติไปก็ไม่รู้เรื่อง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:09 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
"ในเรื่องมหาสติปัฏฐาน ให้พวกเรารู้จักดูกำลังใจของเราว่า เวลาที่เราไปไหนในแต่ละงาน แต่ละสถานที่ กำลังใจของเรายินดียินร้ายอย่างไร? ให้รู้เท่าทันและระวังป้องกันมัน พยายามให้มันเป็นอุเบกขารมณ์ ก็คือวางเฉยให้ได้ทุกสถานการณ์ จิตใจจะได้ไม่ปรุงแต่งไปกับรัก โลภ โกรธ หลง
ตรงจุดนี้มันเป็นการดูจิตในจิตของเรา เกือบจะเป็นหมวดสุดท้ายแล้วในมหาสติปัฏฐาน แล้วถ้าหากดูได้มาก ๆ จะเห็นธรรมไปอีกส่วนหนึ่ง จะเป็นเห็นธรรมในธรรม เสียดายมหาสติปัฏฐาน บางทีเราจะศึกษามัน ก็จะพาให้เนิ่นช้า เพราะยากสำหรับพวกเรา เราก็ทำเฉพาะบรรพต้น ๆ อานาปานบรรพ สัมปชัญญะบรรพ อิริยาบถบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ก็คืออสุภกรรมฐาน พอทำกันได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า จงอย่ายึดอะไร ๆ แม้แต่น้อยหนึ่งในโลกนี้ มันจบตรงนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ตอนหนึ่งถ้าทำจริงได้ก็จบแล้ว อาตมาก็เลยอ่านมหาสติปัฏฐานไม่จบสักที พออ่านแล้วชอบใจจะลงมือทำเลย จนกระทั่งต้องบนตัวเอง คำว่าบนตัวเอง คือทำอย่างไรเราจะอ่านให้จบ ต้องบังคับตัวเองให้ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2015 เมื่อ 13:06 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
"ตอนเรียนนักธรรมเอกอาตมาป่วยหนัก มาลาเรียกิน ไม่มีแรงจะดูหนังสือ วัน ๆ เอาแต่นอนซม พอดีได้เวลาต้องไปสอบ สมัยนั้นข้อสอบมันยาก หนังสือกองเป็นตั้ง บางอย่างอ่านทั้งเล่มยังไม่ออกเลย ก็เลยต้องบน
บนว่าถ้าสอบนักธรรมเอกได้จะเขียนมหาสติปัฏฐานด้วยลายมือตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ ปรากฏว่าดวงมันต้องยากเข็ญ เลยต้องมานั่งเขียนหลังจากสอบได้ ถ้าไม่บังคับตัวเองก็อ่านไม่จบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:11 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ถาม : จักรวาลอื่นมีพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือมีแค่จักรวาลนี้ ?
ตอบ : เหตุที่โลกนี้เรียกว่ามงคล เพราะว่าเป็นจักรวาลที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ ที่เขาว่าจักรวาลอื่นมีพระพุทธเจ้าเพราะเอามาจากมหายาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:12 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ในเรื่องของความเชื่อ พระอาจารย์บอกว่า "ความเชื่อ ๔ ประการ คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง และท้ายสุดตถาคตโพธิศรัทธา คือ ความศรัทธาเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีตรงนั้น มันจะขาดศรัทธาปสาทะที่เกิดขึ้นในใจของเรา
ดังนั้น..ในศาสนาทุกศาสนา ในการปฏิบัติทุกระดับชั้น ต้องเริ่มด้วยศรัทธาก่อน ไม่มีศรัทธาไม่มาทำแน่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:13 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ในเรื่องของมหายาน พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสังฆปรินายก ๖ องค์แรกของจีน มรณภาพในท่านั่งสมาธิและไม่เน่าสักราย เราจะเห็นได้ว่ามหายานเขาผ่อนปรนเยอะในเรื่องของศีล จริง ๆ เขาถือว่าธรรมะสำคัญกว่าศีล ถ้าหากปฏิบัติธรรมได้ ศีลจะมาเองโดยอัตโนมัติ
ส่วนเถรวาทของเราถือว่าศีลสำคัญมาก เพราะศีลจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่ความชั่ว จะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมได้ มองคนละมุม ปฏิบัติคนละแบบกัน เราจะไปว่าของเขาผิดก็ไม่ได้ เหมือนกับเรามาอนุสาวรีย์ ก็มาจากเส้นพหลโยธินได้ มาจากเส้นวิภาวดีก็ถึง ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะเดินสายไหน แรก ๆ ศาสนิกชนที่เข้ามา หลักปฏิบัติต้องมีอะไรที่ดูว่าไม่ยากเกินกำลังของเขา เมื่อเขาเข้ามาและเกิดศรัทธาแล้ว เราจะให้อะไรเขา ถึงเวลานั้นสิ่งสำคัญก็อยู่ที่เราแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2015 เมื่อ 13:18 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกว่า "ความดีหรือความชั่วเมื่อมันเข้ามาในใจ เราจะรับมันได้ทีละอย่าง ให้เราเร่งความดีใส่ในใจของเราเสีย ความชั่วก็เข้ามาแย่งไม่ได้
เปรียบเหมือนเก้าอี้มันมีอยู่ตัวเดียว ในเมื่อเก้าอี้มีคนนั่งแล้ว ก็คือมีความดีนั่งอยู่แล้ว ความชั่วมันก็เข้ามาแย่งไม่ได้ ดังนั้น..ในแต่ละวันให้รีบหาความดีเข้ามานั่งเสียก่อน ต่อให้ความชั่วมันมาเยอะขนาดปิดล้อมอนุสาวรีย์ มันก็มาแย่งที่นั่งไม่ได้หรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:15 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : โรคไข้หวัดหมู เป็นอย่างไร ?
ตอบ : ก็เป็นหวัด..! เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากกรรมเก่าที่สร้างไว้ ถ้าหากเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำกรรมไว้ อย่างไรก็ไม่เป็น แต่ถ้าสร้างกรรมไว้ ก็ยึดพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง สิ่งที่ควรจะเป็นก็ปลาสไปด้วยพุทธบารมี ถาม : ขอบารมีท่านปกปักรักษาผมตลอดไปนะครับ ตอบ : เอาสัก ๕ นาทีได้หรือเปล่า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 20-01-2019 เมื่อ 18:15 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : เดี๋ยวนี้พวกทหารยังนับถือพระมหากษัตริย์กันอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : จางไปเยอะ รุ่นหลัง ๆ สายตามันแคบ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะจอมทัพไทย ท่านเอาเวลาไปสู้รบกับความยากจนของชาวบ้าน โอกาสที่จะนำทัพออกรบให้เขาเห็นฝีมือเลยมีน้อย พวกคนหลัง ๆ ที่สายตาแคบก็มองว่าจะไปนับถือกันทำไมมากมาย หารู้ไม่ว่าการรบกับความยากจนของชาวบ้านมันยากกว่าไหน ๆ แถมระยะหลัง ๆ พอทุนนิยมเข้ามาเขาก็เห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเป็นสิ่งแปลกประหลาด ถ้าเราปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่ท่านบอกมา ป่านนี้เราไม่ลำบากหรอก ยืนด้วยตัวเองได้อย่างสบายแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:16 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกว่า "ศาสนาพุทธที่สูญหายไปจากอินเดียระยะหนึ่งนั้น จริง ๆ ไม่ได้สูญ อยู่ครบถ้วนเลย มันสูญแต่รูปแบบแต่หลักการปฏิบัติยังอยู่
ช่วงที่ศังกราจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ทางฮินดู (ที่เขียนนารายณ์สิบปาง) เขาเขียนให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นปางที่เก้า ปางอวตารของพระนารายณ์ นอกจากนั้นแล้วเขายังศึกษาธรรมะตามพระไตรปิฎกจนกระทั่งเอาไปเขียนเป็นปรัชญาเวทานตะ ซึ่งปรัชญาเวทานตะนี้เป็นหลักของศาสนาพุทธเต็ม ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อแพร่หลายในฮินดู แสดงว่าแก่นแท้ของพุทธศาสนาจริง ๆ ยังอยู่ เพียงแต่ว่าหมดรูปแบบไป ที่หมดไปเพราะว่า ประการแรก คนฮินดูเห็นว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าเป็นปางอวตาร ไม่นับถือพระพุทธเจ้าก็ได้ มานับถือพระนารายณ์ก็เหมือน ๆ กัน ประการที่สอง พวกตันตระเข้ามาเยอะ มัวแต่ไปเล่นคาถา ปลุกเสกเลขยันต์เพลิดเพลินเจริญใจ และประการสุดท้าย กองทัพอิสลามเข้ามาถล่มอินเดีย มีคำถามว่า แล้วทำไมพุทธศาสนาจึงสูญไปจากอินเดีย แต่ฮินดูจึงไม่สูญบ้าง ทั้งที่โดนอิสลามเล่นงานเหมือนกัน? ก็เพราะว่าศาสนาพุทธของเราเป็นเป้าที่เด่นชัด แต่งตัวอย่างนี้ไปไหนรู้เลยว่าเป็นพระ แต่ฮินดูเขาอยู่กับฆราวาสทั้งหมด พวกพราหมณ์เขาก็มีครอบครัวเวลามีพิธีจึงค่อยแต่งตัวให้ดูโก้ ของพวกเขาจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นผู้นำใครเป็นนักบวช แต่ของเราจะแยกออกได้ ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธสูญไปจากอินเดีย มันสูญแต่รูปแบบและนักบวช แต่ปรัชญาและหลักการก็อยู่ในเวทานตะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2015 เมื่อ 16:30 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกว่า "งานอะไรก็ตามที่เป็นงานของพุทธศาสนาจะเป็นงานที่พระท่านช่วยสงเคราะห์ ดังนั้น..จะเป็นงานง่ายกว่าที่คิด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 12:19 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|