กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 17-10-2014, 15:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงปู่ไวยว่า "คนสมัยก่อนศึกษาอะไรเขาศึกษาจริงจัง แพทย์แผนโบราณก็เป็นกรรมฐานดี ๆ นี่เอง ต้องใช้ทั้งคาถา น้ำมนต์ ทั้งอำนาจจิตเข้าไปช่วย สมัยนี้เขาเรียนไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวของสมัยโน้น สมัยนี้ได้แต่ตัวยา ตัวยาบางอย่างถ้าไม่ประกอบคุณพระก็รักษาโรคไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งถอยหลัง

มีคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ท่านมีศักดิ์เป็นน้าของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาคนไข้มาหา ท่านก็เสกหมากให้กิน นั่นหมอสมัยใหม่นะ เสกหมากให้กิน เป็นถึงเจ้ากรมแพทย์เลยนะ ถ้าสมัยนี้ก็ระดับอธิบดีอะไรสักกรมหนึ่ง ท่านเป็นน้าของหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอยู่กับท่านยายที่วัดเรไร (ตลิ่งชัน) ตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อท่านเลยเข้านอกออกในกรมอู่ทหารเรือเป็นว่าเล่น มีโอกาสพบปะผู้ใหญ่สมัยนั้นอย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพร เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นปกติ

คนไม่เข้าใจมักจะเขียนเป็น “สุวิชาญ” สุวิชานของท่านใช้ น.หนู มาจากสุวิชานในภาษาบาลี สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว

เสียดาย..พอท่านสิ้นไปคนหนึ่งคนป่วยมาอาตมาไม่รู้ว่าจะส่งไปไหน ไม่มีหลวงปู่ธรรมชัย ไม่มีหลวงปู่ไวย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไม่รู้ว่าจะส่งไปหาใคร หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านเป็นหมอโดยหน้าที่ ส่วนหลวงปู่ไวยท่านเป็นหมอเพราะรู้จริง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2014 เมื่อ 15:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 17-10-2014, 15:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปเนปาลเห็นฝรั่งเขาไปกราบ ไปสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิกัน พวกเขาทุ่มเทกันจริง ๆ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปครึ่งค่อนโลก ต้องบอกว่าถ้าไม่สนใจจริง ๆ ก็คงไม่ไปอย่างนั้นหรอก โดยสภาพเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะของการทำอะไรต้องทำจริง ส่วนพวกเรานี่ส่วนใหญ่ยังทำเล่น ๆ กันอยู่

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านถึงได้บอกว่า ต่อไปเราอาจจะต้องไปขอเรียนพระพุทธศาสนากับทางตะวันตก ถึงเวลาเขารับช่วงเอาแก่นแท้ไป เพราะว่าเขาเบื่อความเจริญทางโลกแล้ว ส่วนเราไปวิ่งไล่ไขว่คว้าหาเจริญทางโลก
เราเจริญจิตใจอยู่วิ่งไปหาทางวัตถุ เขาเจริญทางวัตถุอยู่ทิ้งไปหาจิตใจ กลายเป็นงูกินหางไล่ตามกันไป เราอยากจะเจริญทางด้านวัตถุ ส่วนเขาอยากจะเจริญทางจิตใจ "

ถาม : แสดงว่าเราโง่ขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : ก็น่าจะประมาณนั้น แต่ว่าจะว่าไปแล้วเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องปกติ เขาอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี พวกฝรั่งเดินทางไปเนปาล ไปทิเบต ไปอินเดียเพื่อศึกษาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ปกติแล้วพวกหลักโยคะหรือปราณายามะต่าง ๆ นั้น ไม่เหมาะกับคนตะวันตก สภาพร่างกายกระดูกกล้ามเนื้อของเขาไม่เคยชินมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนกับเราพวกเราที่เกิดมาก็เตะเป็น ส่วนเขาต้องหัดกันแทบตาย เพราะสภาพร่างกายไม่ให้

อย่างพวกเรานั่งส้วมเรานั่งยอง ๆ ได้ ฝรั่งเขานั่งได้ที่ไหนกัน ไม่มีโถชักโครกก็ไปไหนไม่เป็นแล้ว ไปนึกถึงรูปในสมัยสงครามโลกที่สร้างทางรถไฟสายมรณะ ถึงเวลาพวกเขาต้องตอกหลัก เอากระบอกไม้ไผ่พาด แล้วขึ้นไปนั่งถ่ายอยู่บนนั้น ไม่อย่างนั้นเขานั่งพื้นกันไม่เป็น เส้นยึดจนนั่งไม่ลง ส่วนพวกเรานั่งอยู่ทุกวันก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ฝรั่งเขาเรียนอะไรแล้วเขาสนใจจริง ๆ เขาก็ทุ่มเทฝึกโยคะ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกันหลายต่อหลายคน แต่ว่าได้แค่รูปแบบทางร่างกายเท่านั้น เรื่องของปราณ เรื่องของสภาพจิต เขามีความเข้าใจน้อยมาก


ถาม : ถ้าเขาตั้งใจ เขาจะได้ก็ในลักษณะการเรียนรู้อยู่ดี
ตอบ : ได้แค่เบื้องต้น จะเอาสูงกว่านั้นเขาก็ไปกันไม่ค่อยเป็น เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ เรื่องของสมาธิไม่ใช่อ่านแล้วจะเข้าใจ แต่ต้องทำ ถ้าทำไปแล้วติดขัดต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ สอบถามแล้วตอบปัญหาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2014 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 17-10-2014, 21:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่คนกำลังจะตายแล้วจิตกำลังจะแยกออกจากร่างกายนี่เจ็บใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้ามีกรรมเก่ามา ก็จะต้องทนทุกขเวทนามากหน่อย

ถาม : เหมือนกับเวลาที่เขาบอกว่า จิตเขาออกไปเพราะว่าทนไม่ไหวแล้ว ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือร่างกายเสื่อมสภาพ หมดสภาพไปเอง บางคนเขาบอกว่าหมดกำลัง ส่วนอีกอย่างก็คือทุกขเวทนาบีบบังคับ การเสื่อมสภาพหมดสภาพ ท้ายสุดเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องไป ทุกขเวทนาบีบบังคับร่างกายทนไม่ไหว ก็ต้องไปเช่นกัน

ทางด้านทิเบตเขาศึกษาเรื่องนี้ลึกซึ้งกว่าพวกเรา ถึงเวลาก่อนตายก็มีการไปนำทางให้ ว่าตอนนี้สภาพร่างกายอยู่ไม่ได้แล้วนะ ไม่ต้องไปห่วงใยไปกังวลอะไร ขอให้เดินไปตามเส้นทางนี้ ๆ แต่ว่าเขาอยู่จนเคยชินกับความเชื่อนั้นแล้ว เห็นว่าร่างกายเหมือนกับเสื้อผ้าเก่า ๆ ชุดหนึ่ง หมดสภาพก็ต้องไปเปลี่ยนหาเสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อเขาเคยชิน พอถึงเวลามีคนมาบอกทางให้ก็สบายใจ ส่วนเราไม่เคยชิน ไปบอกเขาดีไม่ดีโดนด่ากลับมาเลย


ถาม : เขามีปัญญาในระดับหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องบอกว่าศาสนาอยู่ในหัวจิตหัวใจของเขา ของเราเองส่วนใหญ่ศาสนาอยู่ในทะเบียนบ้าน โอกาสที่จะปฏิบัติให้เห็นผลไม่ค่อยมี เหมือนหลวงปู่ปานตอนเด็ก คนกำลังกินข้าวอยู่ท่านก็ “พุทโธ พุทโธ” ขึ้นมา โดนแม่จับโยนไปนอกชาน เด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาถือ สอนให้ภาวนาพุทโธ ท่านชอบท่านก็พุทโธขึ้นมาตอนกำลังกินข้าว เพราะสบายใจ ปรากฏว่าโดนแม่จับโยนไปนอกชาน กลายเป็นว่าพุทโธเอาไว้สำหรับบอกทางคนตาย เขาเชื่อกันอย่างนั้น

แบบเดียวกับสมัยก่อน เขาถือว่าพระอภิธรรม ๗ บท เป็นพระธรรมที่ทำให้มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ขนาด เทวดา นางฟ้า พรหม บรรลุทีตั้ง ๘๐ โกฏิ ถือเป็นมงคลใหญ่ จึงใช้สวดใช้ในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหญ่ งานทำบุญอายุ คราวนี้พอในงานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เขาสวดพระอภิธรรมถวายท่าน คนก็เลยไปนิยมว่าสวดในงานศพ ตั้งแต่นั้นมาพอขึ้น “กุสลา ธัมมาฯ” เมื่อไรก็นึกถึงงานศพอย่างเดียวเลย ไม่ได้นึกถึงความเป็นมงคลด้านอื่น

คราวนี้คนเรามักกลัวตาย ในเมื่อกลัวตาย พอได้ยิน "กุสลา ธัมมาฯ" ก็ไปนึกถึงว่าผูกพันกับความตายจึงกลัวกัน ของที่ดีที่สุดก็เลยไม่เอา เพราะกลัวตายมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2014 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 18-10-2014, 22:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่ตัดสินใจทำความชั่ว เป็นผลจากอกุศลกรรมหรือเป็นเพราะเขาขาดปัญญาคะ ?
ตอบ : กิเลสสอน เรียกว่าโดนกระแสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ชักนำ ซึ่งมีผลมาจากการทำอกุศลกรรมมากว่ากุศลกรรม ต้องบอกว่าเชื่อกิเลสมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2014 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 18-10-2014, 22:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปราสาทนอยชวานชไตน์ที่เขาเรียกปราสาทซินเดอเรล่า เขาสร้างได้สวยมาก ๆ เป็นปราสาทที่สวยทุกฤดู ขนาดหิมะตกจนท่วมก็ยังสวย ไว้มีโอกาสก็ว่าจะไปดูเหมือนกัน แต่เงินเยอรมันแพง ค่ากินค่าอยู่ได้ยินแต่ละทีแทบสะดุ้งเฮือก อยากไปชื่นชมกับความละเมียดละไมของจิตรกรโบราณ ภาพวาดแต่ละภาพ และฝีมือก่อสร้างที่ละเอียดลออขนาดนั้น"

ถาม : เขาใช้สมองในการสร้าง ?
ตอบ : เขามีสมาธิจากงาน ได้สมาธิใช้งานเลย พอถึงเวลาก็ตั้งใจวาดภาพไป ตั้งนั่งร้านนอนวาดได้เป็นเดือนเป็นปีเลย

ถาม : จินตนาการ ออกแบบหรือการลากเส้นอะไรของเขาก็ตาม..?
ตอบ : เป็นไปตามความเชื่อและจารีตประเพณีเขา ถ้าเขามีหลักธรรมแบบของเราคงจะไปได้ไกลกว่านั้นมาก อาตมาเอารูปไปลงเพาเวอร์พ้อยต์ให้ลูกศิษย์ดู เขาติดใจกันมากว่าปราสาทที่ไหนสวยขนาดนี้ บอกลูกศิษย์เขาว่า สมัยก่อนเขากลัวการเบียดเบียนกัน ก็เลยต้องไปสร้างไว้บนยอดเขา ถึงเวลาใครจะมาโจมตีก็มีแค่ทางแคบ ๆ เส้นเดียว ซึ่งเฝ้าได้ง่าย ความกลัวของมนุษย์ทำให้ต้องหนีไปถึงขนาดนั้น เห็นโทษของการเกิดจริง ๆ พอมาถึงสมัยที่ทุกอย่างสะดวกสบาย จึงกลายเป็นที่สวยงามซึ่งคนแห่กันไปชม

ไปนึกถึง คุณถวัลย์ ดัชนี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป เจ้าของปราสาทที่เยอรมันจ้างให้ไปวาดรูป พอวาดเสร็จเขาตีเช็คเปล่าให้ บอกว่าเขาไม่สามารถที่จะประเมินราคาฝีมือได้ คุณไปกรอกตัวเลขเอาเองก็แล้วกัน ช่วงนี้เราสูญเสียศิลปินยอดฝีมือไปติด ๆ กันเลย จากอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีก็มา ศ.ประหยัด พงษ์ดำ แล้วก็มาคุณสุนทรี ณ เวียงกาญจน์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2014 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 18-10-2014, 23:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์อ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง เห็นที่บกพร่อง จึงกล่าวว่า "เอกะ บวกกับ อยนะ เป็น เอกายนะ หรือ เอกายโน เขาไปแปลว่า ทางสายเดียว ถ้าทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าจะเทศน์ไว้ทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ? คนแปลก็แปลไปเรื่อย แปลแล้วพอความหมายผิด คนอ่านก็เข้าใจผิดกันไปเรื่อย

เอกะ + อยนะ แปลว่า ทางสายหนึ่ง คือเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ เขาดันไปแปลว่าทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้ว พระพุทธเจ้าจะเทศน์ไปตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ให้เหนื่อยทำไม ? จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีนักวิชาการจำนวนมากที่เข้าใจ
ไปอย่างนั้น บอกว่า “ต้องปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น อย่างอื่นบรรลุมรรคผลไม่ได้” บรรลัยเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2014 เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 18-10-2014, 23:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำพูดของครูบาอาจารย์ บางทีเป็นเรื่องเดิมพอได้ฟังอีกครั้งถึงจะสะดุด เข้าใจ ?
ตอบ : สภาพจิตละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

ถาม : บางที คำพูดเหมือนของเดิมเลย และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นบางทีก็ตรงข้ามกันแต่ก็ว่าไม่ผิดทั้งคู่ ในความเป็นจริง เป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกันแน่ ?
ตอบ : เรื่องเดียวกัน แต่ความเข้าใจละเอียดขึ้น ตอนแรกไปติดที่ทิฐิคือความเห็น ความยึดมั่น ว่าเป็นอย่างนั้น ใช่อย่างนั้น ถูกแบบนั้น แต่พอสภาพจิตละเอียดขึ้นก็เห็นว่า ที่ถูกกว่านั้นยังมีอีก ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ พัฒนาไปเรื่อย ๆ แล้วพอขยับขึ้นไปได้ก็ “ตรงนี้ถูกกว่า” แล้วไปยึดตรงนั้นอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-10-2014 เมื่อ 08:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 18-10-2014, 23:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีเราคิดไปเรื่อย แต่เราไม่ได้เรียนรู้อะไร ก็เลยแค่เห็น ?
ตอบ : เป็น สุตมยปัญญา “ฟัง” แล้วเกิดความรู้ จากนั้นก็ไปเป็น จินตามยปัญญา “คิด” จนเกิดความเข้าใจ แล้วก็เป็น ภาวนามยปัญญา เห็นจริงตามนั้น จิตยอมรับในความจริงนั้น ๆ จึงเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา แล้วปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ก็สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2014 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 18-10-2014, 23:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ดูไปดูมาก็เหลือแต่ไม่สนใจ เราจะทำให้ไม่สนใจกับเรื่องที่มากระทบให้เป็นปกติได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องมีสติสมบูรณ์พร้อม ถ้าสติไม่สมบูรณ์พร้อมถึงเวลา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เผลอก็ไปแล้ว ฉะนั้น..การฝึกสติจึงสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสเป็นบาลีว่า อตฺตาหิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าตนนี้ฝึกได้ยากจริงหนอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-10-2014 เมื่อ 08:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 20-10-2014, 18:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงท่าเดินที่ไม่ธรรมดาของโยมคนหนึ่งว่า "เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด ภาษาโบราณเขาพูดไว้สวยมาก แต่ภาษาไทยแท้เขาว่าสันดานเป็นอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็ร่อนไปเรื่อย พอโยมเขาเห็นเยอะ ๆ เขาก็ว่า “อ๋อ..อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์ได้แค่นี้เอง” เสียหายไปยันครูบาอาจารย์เลย ทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด..! ถ้ารู้จักใช้ป่านนี้ไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

โยมบางคนก็โชคดี ไปวัดครั้งแรกก็เจออาตมากำลังด่าพระด่าเณรอยู่ บางคนก็ไม่กล้าโผล่ไปอีกเลย ถ้าไม่มีเหตุมีผลครูบาอาจารย์จะไปด่าลูกศิษย์ทำไม ? แต่อารามที่เขาได้ยินข่าวลือมาว่าอาจารย์เล็กดุ ไปถึงเจอด่าอยู่พอดีก็หมดกันเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 20-10-2014, 18:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : โดนด่าแต่ไม่ถอย
ตอบ : สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนสู้หรอก หนีกันหมด ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ถ้าไม่มีเหตุมีผลจะด่าไปให้เหนื่อยทำไม ? ขนาดประเภทเกินบาทอย่างทิดอู๋ยังรู้เลย ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอาจารย์เล็กเลย ท่านกำลังอยู่ในวัยทอง..!” ต้องบอกว่าขนาดคนเกินบาทยังรู้เหตุผล คนประเภทครบบาทพอดีดันไม่รู้เรื่อง

บางอย่างเวลาท่านทำผิดขึ้นมา อยากจะขอบคุณท่านนะ เพราะเราได้อาศัยท่านเป็นตัวอย่าง แล้วก็ด่าไปก่อน คนอื่นมาเห็นตัวอย่างเขาก็ไม่ทำอีก แต่ว่าคนพลาดนี่บางทีเฉาไปเป็นเดือนเลย อย่างที่เคยเล่าให้ฟังสมัยอยู่วัดท่าซุงว่า ทางคณะกรรมการสงฆ์ตั้งใจส่งอาตมาไปขึ้นเขียงแท้ ๆ แต่บังเอิญอาตมามีความรู้สึกว่า "ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าต้องมีเหตุผล" ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง จนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง หาเหตุผลตั้งแต่ต้นยันปลาย ก็ยังหาไม่ได้ว่าทำไมตัวเองโดนด่า ? ท้ายสุดก็สรุปว่าเพราะเอ็งเสือกโง่เกิดมาเอง ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนด่าแบบนี้..!

จนกระทั่งมาตอนหลังรู้ว่า ทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่ามา ถ้าเรามาปรับปรุงแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์แก่เราเองทั้งนั้น ก็ไม่ไปหาเหตุผล ถ้าโดนด่า..อาตมาจะหาว่าผิดตรงไหน จะได้แก้ไขตรงนั้น ที่ขำที่สุดคือพอปลงใจลงได้ว่าผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยังไม่ทันจะถึง ๒ นาที หลวงพี่อนันต์ท่านก็โทรมา ท่านบอกว่า “เล็ก..หลวงพ่อฝากบอกด้วยว่า ที่ด่าไปเมื่อกลางวันนั่น ท่านย่าฝากด่ามา ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าโดนด่าแล้วจะระวังตัว คนอื่นจะเล่นงานไม่ได้ ท่านก็เลยฝากด่า”

ปล่อยให้อาตมาคิดหัวจะระเบิดอยู่เป็นวัน ไปคิดหาเหตุผลว่า "ผิดตรงไหนวะ ทำไมอยู่ ๆ ถึงโดน ?" คนอื่นเขาหนีกันเตลิดเปิดเปิงหมด หลวงพี่ชัยวัฒน์หนีไปอยู่สวนไผ่ คนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุดคือหลวงพี่ไพบูลย์ ที่หลวงพี่ไพบูลย์อยู่ได้นานเพราะไม่เคยเจอหลวงพ่อตอนกลางวัน ท่านเข้าเวรเฉพาะกลางคืน คือท่านจะเหมาตลอดตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า บ่ายโมงหลวงพ่อลงรับแขกเสร็จก็กลับเข้าที่พัก จะมาอีกทีก็ เจ็ดโมงครึ่ง หลวงพี่ไพบูลย์ก็ออกเวรนอนหลับไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 20-10-2014, 18:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คิดถึงพระเก่าสมัยอยู่วัดท่าซุงด้วยกันมา ตายไปบ้าง ไปอยู่ที่อื่นบ้าง สึกบ้าง ไม่ทราบว่ากลับไปนี่จะเหลือสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เวลาไปวัด อาตมาก็จะไปกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่หลวงพ่อแล้วก็กลับ ตอนที่อยู่รวมกันนี่หลวงตาเจริญจะอายุกาลพรรษามากที่สุด บวชปี ๒๕๑๓ มรณภาพไปแล้ว ถัดมาก็หลวงพี่โอ บวชปี ๒๕๑๔ ยังอยู่ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถัดมาก็หลวงพี่อนันต์ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมล บวชปี ๒๕๑๖ ถัดมาก็เป็นหลวงพี่สุรจิตร บวชปี ๒๕๑๘ แต่ต้องญัตติใหม่ เพราะว่าท่านบวชเป็นธรรมยุติ บวชไปจากวัดอาวุธฯ ที่กรุงเทพฯ

ถัดมาก็หลวงพี่ทีป บวชปี ๒๕๑๙ มรณภาพแล้ว ถัดมาก็เป็นหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงพี่บรรจง หลวงตาสมชาย หลวงพี่ไพบูลย์ ชุดนี้บวชปี ๒๕๒๐ ฉลองโบสถ์กัน หลวงตาสมชายมรณภาพแล้ว ปี ๒๕๒๑ หลวงพี่ยงยุทธสึกไปแล้ว ส่วนหลวงพี่อาจินต์ตอนนี้ไปดูแลวัดอยู่ที่เยอรมัน

หลวงตาชลออยู่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ บวชปี ๒๕๒๓ หลวงพี่วิรัช ตอนนี้อยู่วัดธรรมยานที่เพชรบูรณ์ บวชปี ๒๕๒๔ หลวงตาวัชรชัยอยู่เขาวง บวชปี ๒๕๒๕ ก่อนหน้านั้นมีหลายรูป ที่สึกล่าสุดก็เป็นหลวงพี่สมาน บวชปี ๒๕๒๖ ไม่ทราบว่าหลวงพี่ละอองยังอยู่ไหม ? (ยังอยู่ครับ) ถ้าอย่างนั้นยังเหลือคนหนึ่ง บวชปี ๒๕๒๗

ถ้าหลวงพี่ขวัญเมืองไม่อยู่ ท่านที่บวชปี ๒๕๒๘ ก็หมดเหมือนกัน ส่วนที่บวชปี ๒๕๒๙ ก็เหลือหลวงพี่ตี๋กับอาตมา อาตมาบวชก่อน เป็นรุ่นพิเศษก่อนเข้าพรรษานาน หลวงพี่ตี๋บวช ๒๕๒๙ เหมือนกัน แต่บวชรุ่นเข้าพรรษา มารุ่น ๒๕๓๐ ก็สูญพันธุ์ เพราะว่าท้ายสุดเหลือท่านโกวิท แต่ก็ก็สึกไปแล้ว ที่บวชปี ๒๕๓๑ ก็มีท่านจิตโต ปี ๒๕๓๒ก็เหลือ หลวงน้าสุนทร ซึ่งก็ชักจะเดินไม่ไหวแล้ว อายุ ๘๐ กว่าแล้ว รุ่น ๒๕๓๓ ก็มีท่านสมนึกกับท่านสำออย

ถัดไปก็เป็นท่านพิษณุกับท่านรำพึงไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? ต่อจากนั้นไปไม่รู้จักใครแล้ว ออกจากวัดมาแล้ว จะมีก็แต่พวกที่รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เป็นฆราวาสแล้วไปบวชทีหลัง ถ้าอย่างนั้นจะคุ้นหน้า ยังพอรู้จักทักทายกันได้ แต่ถ้าตอนฆราวาสไม่เคยเห็นหน้า แล้วบวชเข้าไปนี่ไม่รู้จักกันแล้ว ของปี ๒๕๒๗ มีหลวงพี่จะเด็ด ออกไปอยู่ที่อุบลฯ ท่านหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีที่แล้วยังเจออยู่ ก็คาดว่าท่านน่าจะยังอยู่

ตอนช่วงนั้นอยู่กันประมาณ ๔๐ กว่ารูป ไม่เคยมีปีไหนถึง ๕๐ รูป เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบังคับว่า ถ้าจะบวชที่นั่นต้องได้มโนยิทธิคล่องตัวก่อน จะได้รู้ว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้ารู้แล้วยังอยากไปนรกก็ช่วยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น ก็เท่ากับว่าที่รู้จักมักจี่ก็สึกหาลาเพศกันไปเสียเยอะ รุ่นของอาตมาบวช ๓๖ รูป ปรากฏว่าเข้าบวชไม่ทันรูปหนึ่ง เหลือแค่ ๓๕ รูป ก็ที่อยู่ด้วยกันนานที่สุดคือท่านน้อย (อภิชัย นุตาลัย) น้องของดร.ปริญญา

อาตมาบวช ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๙ พอต้นเดือนมิถุนาก็ยังเหลือกันอยู่ ๗-๘ รูป ก็จะมีพวกท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงยังอยู่ ก็ปรากฏว่าอาจารย์ยกทรงถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ลงไปรับสังฆทานต้นเดือนมิถุนายนว่า “พระที่บวชรุ่นนี้เหลือมากไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “เหลือแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ” ตอนนั้นก็ไม่ได้คิด ปรากฏว่าเขาสึกกันหมดเหลือแค่พระเล็กกับพระน้อยอยู่ ๒ คนจริง ๆ แล้วก็อยู่ด้วยกันมา ๗ พรรษา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 20-10-2014, 20:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอพรรษาที่ ๘ อาตมาจัดงานศพถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จ ก็ออกจากวัดไปจำพรรษาที่ทองผาภูมิ พรรษาที่ ๙ ท่านน้อยก็สึก ชวนมาอยู่ด้วยกันท่านก็ไม่อยู่ ตอนนั้นก็มีพี่ ๆ หลายคน หลวงพี่อาจินต์ก็มาดูวัด ท่านบอกว่าไกลไป หลวงพี่วิรัชมาดูแล้ว ท่านบอกว่าผมกลัวมาลาเรีย หลวงพี่สามารถมาดูบอกว่า “เฮ้ย..เตรียมกุฏิไว้ให้ด้วยนะ” ปรากฏว่าหลวงพี่สามารถตัดสินใจสึกไปเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าอาตมาออกมานี่ต้องมาช่วยพระพี่พระน้องหลายราย พูดง่าย ๆ ว่าใครที่อดทนอยู่ไม่ได้ ออกจากวัดท่าซุงมา ก็ต้องรับไว้ก่อน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ส่วนใหญ่ก็สึกไปภายใน ๗ วัน แล้วที่มีอยู่เหลือรอดไปอยู่กันเป็นเดือนก็มีท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงพวกนั้น อยู่ไปอยู่มาก่อนเข้าพรรษาก็สึกกันเฉยเลย รุ่นปี ๒๕๒๑ ที่เสียดายมากที่สุดคือหลวงพี่ชัยศรีที่สึกไป เพราะว่าช่วงนั้นใคร ๆ ก็เห็นว่าสามารถแทนหลวงพ่อได้ ทำงานทำการอะไรเด็ดขาดเรียบร้อยทุกอย่าง

มีที่ทุลักทุเลหน่อยก็หลวงพี่สุรจิตร ท่านบวชมาจนหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตรวจสอบหนังสือสุทธิแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมยุติ พอยื่นชื่อไปจังหวัดเขาไม่ยอมตั้งให้ ก็เลยต้องให้ท่านญัตติใหม่ โดยปกติญัตติใหม่นี่ต้องไปต่อท้าย แต่ว่าพวกเราด้วยความที่รักและเคารพท่านมาแต่ดั้งเดิม ถึงท่านญัตติใหม่ก็ให้ท่านนั่งที่เดิม เพราะว่าหลวงพี่สุรจิตรจริง ๆ แล้วท่านอยากบวชตั้งแต่แรก แต่ติดตรงที่ว่าท่านเรียนปริญญาตรีอยู่ ต้องรอจนเรียนจบอยู่ปีกว่าเกือบสองปี

พอจบแล้วด้วยความที่คิดอยากจะบวชแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เลยบวชใกล้บ้าน บวชที่วัดอาวุธฯ เลย ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นธรรมยุติมหานิกายอะไรหรอก ขอให้ได้บวชเถอะ ทุกวันนี้ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ หลวงพี่สุรจิตรนี่อาตมามั่นใจในความดีของท่าน เพราะว่าหลังจากออกมาจากวัดหลายพรรษาอยู่ น่าจะได้ ๕-๖ ปี ท่านมาผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พอได้ข่าวอาตมาก็แวะไปเยี่ยมท่าน ท่านฟื้นขึ้นมากำลังพักผ่อนอยู่ มีพยาบาลดูแลอยู่คนหนึ่งแล้วก็โยมอีกคนหนึ่ง อาตมาก็เอาช่อดอกไม้ไปถวายท่าน แล้วกราบเรียนถามว่า...

“หลวงพี่ครับ.. ผมขอถามประโยคเดียว ตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดีใช่ไหมครับ ?” ท่านมองหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกว่า "ใช่" ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “แค่นี้แหละครับ ผมพอใจแล้ว” ก็กราบลาท่านแล้วกลับเลย กำลังใจของคน ถ้าปฏิบัติมา เราจะไม่รู้ว่าตัวเองทำแล้วได้เท่าไร จนกว่าจะถึงวันตายจริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ต้องมีอะไรฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตกันไปข้างหนึ่ง ชนิดที่เจียนอยู่เจียนไปนั่นแหละ ทำให้กำลังใจทั้งหมดมารวมกัน จึงรู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร ดังนั้น..พระปฏิบัติท่านจึงไม่กลัวเรื่องตาย ไม่กลัวเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งหวาดเสียวมากเท่าไรก็ยิ่งรู้กำลังตัวเอง

คราวนี้อาตมาพอที่จะทราบว่ากำลังใจท่านเป็นอย่างไร ก็เลยถามประโยคเดียว ถามว่าตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดี ใช่ไหมครับ ? พอท่านยืนยันว่าใช่ ก็บอกว่าผมสบายใจแล้วครับ ไม่ห่วงพี่ละ ไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 21-10-2014, 18:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า มีพระอรหันต์ที่ดูแลวัดท่าซุง ?
ตอบ : อยู่ในวัด ๓ อยู่นอกวัด ๔ ท่านบอกไว้อย่างนั้น ท่านบอกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖

อาตมาเสียดายพี่ ๆ หลายคนปฏิบัติเคร่งครัดมาก ถ้าบวชใหม่เมื่อไร พูดง่าย ๆ ว่าไหว้ได้สนิทใจเลย แต่ว่าท่านก็มีเหตุให้สึกหาลาเพศไป อย่างหลวงพี่สุธน เป็นทั้งคนซื่อคนตรง ทั้งเข้มแข็งในการปฏิบัติเลย ส่วนใหญ่แล้วลูกศิษย์หลวงพ่อที่ได้ดีมักจะมาจากที่อื่น มาจากวัดอื่น จนกระทั่งอาตมาเคยเปรียบเทียบว่า พวกเราเหมือนหนูในถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ ก็เลยไม่ตื่นเต้น ไม่กระตือรือร้น คนอื่นเขาอดมา มาถึงก็กินใหญ่ เขาจึงได้ประโยชน์ไปมากกว่า

ต้องดูหลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่าง อาตมาบวชไม่กี่วันก็เป็นงานวัด หลวงปู่ท่านก็ไปร่วมงาน ด้วยความดีใจว่าหลวงปู่มา อาตมาก็วิ่งเข้าไปจะกราบท่าน ท่านยกมือไหว้มาแต่ไกลเลย โอ้พระเจ้า..! กี่ครั้งก็เป็นอย่างนั้น ท้ายสุดก็ไปกราบโอดครวญกับท่านว่า “หลวงปู่ทำอย่างนี้เป็นบาปเป็นกรรมกับลูกกับหลาน” ท่านบอกว่า “โอ้..ไม่เป็นไรหรอก คุณอยู่กับหลวงพ่อ อย่างน้อย ๆ ก็ได้รับฟังการอบรมฟังเสียงตามสายวันละ ๔ ครั้ง ถ้าตั้งใจเอาจริง ๆ ผมว่าเป็นพระโสดาบันหมดทุกคนแหละ ผมไหว้ได้ทั้งนั้น” อาตมาก็เหงื่อหยดติ๋ง ถึงเวลาเจอท่านนี่ต้องแอบ ๆ ย่องไปใกล้ กราบก่อนได้ก็โล่งใจไปที แต่ถ้าท่านเห็นก่อนนี่ท่านไหว้ก่อนทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2014 เมื่อ 01:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 21-10-2014, 19:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดีนี่หมายถึงเป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนที่จะเรียกว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดี ต้องเป็นประเภทที่ไม่เห็นประโยชน์ในโลกนี้แล้ว แต่ว่าขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดที่จะประเภทไปตีด่าฆ่าฟันอะไรตัวเองหรอก แล้วแต่เวรแต่กรรม ถ้าอยู่ก็สร้างบุญสร้างบารมีต่อไป ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพานของเราสบาย ๆ

ต้องบอกว่าในวัดท่าซุง ถ้ายังมีหลวงพี่สุรจิตรเป็นหลักให้อยู่ก็สบาย แต่คราวนี้ท่านเป็นคนพูดน้อยมากเลย ถ้าพูดมากอย่างอาตมานี่ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 21-10-2014, 19:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การแยกกาย ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือลักษณะของการใช้อภิญญา แยกจิตเป็นหลายจิต หลายกาย เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ แบบเดียวกับพระจูฬปันถกที่ท่านแยกออกเป็นพันกายพร้อม ๆ กัน

ถาม : แล้วการแยกกายเฉย ๆ ไม่ใช้จิต ?
ตอบ : แยกกายนั่นแหละคือจิต กายแยกยาก จิตแยกง่าย แต่ว่าพระจูฬปันถกท่านเป็นสุดยอดในการแยกจิต เพราะว่าท่านแยกแล้วเห็นเป็นตัว ๆ เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 21-10-2014, 19:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จับให้ลูก ๆ นั่งสมาธิค่ะ คนโตให้นั่ง ๑๐ นาที คนเล็กนั่งคนละ ๕ นาที ?
ตอบ : ต่อไปการเรียนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีโอกาสก็เพิ่มเวลาขึ้น แต่ว่าอย่าให้เกินครึ่งชั่วโมง เพราะจะหนักเกินไปสำหรับเด็ก

ถาม : ขอให้แนะนำเพิ่มหน่อยคะ ?
ตอบ : ให้ใจนิ่งได้อย่างเดียว คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอก อยู่ตรงนี้ได้ก็พอแล้ว ถ้าทำได้ต่อไปเรื่องเรียนเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรหนักใจเลย

ถาม : คนโตกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ?
ตอบ : ไปภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ หลังภาวนา ๑๐ นาที เราก็ว่าสหัสสะเนตโตฯ ไปอีก ๑๐ นาที ลับมีดไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงเวลาจะได้ใช้ได้ ไม่ขึ้นสนิม พักเดียวเด็ก ๆ ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว อาตมาก็เป็นหลวงตาแก่ไปทุกวัน ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 21-10-2014, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีพระมาขออนุญาตสึก "ไปเถอะ..เดี๋ยวพอเข็ดก็วิ่งกลับมาเองแหละ ส่วนใหญ่คนเคยอยู่วัด พออยู่นาน ๆ แล้วออกไปข้างนอก ทนแรงกระทบเขาไม่ไหว ไม่สงบเหมือนกับตอนอยู่วัดก็วิ่งกลับมาเอง ใหม่ ๆ นี่ปรับตัวกันแทบไม่ทันเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 21-10-2014, 19:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง เวลาผ่านไปเร็วที่สุดเลย เพราะว่าแต่ละวันปฏิบัติยังไม่ทันจะจุใจหมดวันอีกแล้ว ยังรู้สึกไม่ทันไรเลย อ้าว..ออกพรรษาอีกแล้ว สมัยนี้เวลายาวขึ้นมาหน่อย เพราะทำงานเยอะ ถ้าอยู่กับการปฏิบัติจะไม่ค่อยรู้วันรู้เดือนอะไร เสียดายแม้กระทั่งเวลาจะนอน..!

มีอยู่ระยะหนึ่งสัก ๓ ปีนี่นอนคืนหนึ่ง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ตั้งสติไว้เตรียมตื่นเลย ขยับลุกเมื่อไรลุกทันที จะไม่มีการมาอ้อยอิ่งเลย เข้าสู่การปฏิบัติของเราต่อ สภาพจิตก็ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แปลกดีเหมือนกัน ก่อนหลับก็รู้สึกว่าภาวนาคาถาหรือสวดมนต์บทนี้อยู่ ตอนหลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังสวดไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย ตื่นมาก็ว่าต่อได้ ดีเหมือนกัน..ไม่เสียเวลา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 21-10-2014, 19:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ความสนใจในร่างกาย ?
ตอบ : สภาพจิตจะดำเนินอยู่ข้างในอย่างเดียว อะไรที่มาข้างนอกแล้วกระทบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ แล้วก็กลับเข้าไปตามเดิม เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวเอง เพราะว่าถ้าโดนกิเลสตีแล้วตกจะเอาคืนยาก จะเป็นช่วงที่ระวัง กลัวจิตตก สมาธิตก กรรมฐานตก อะไรประเภทนี้ เพราะตกจนเข็ดแล้ว บางทีวันหนึ่งตกเป็นร้อยครั้ง เมื่อไรจะเลิกตกเสียที ท้ายสุดพอตะกายถึงได้ ก็ต้องประคองกันสุดชีวิต ที่ถึงเวลาปฏิบัติจะเตือนพวกเราว่า เลิกแล้วอย่าเลิกเลย ให้รักษากำลังใจเอาไว้ เพราะว่าตัวเองโดนมาจนเข็ดแล้ว

ถาม : แล้วสมาธิระดับไหนจึงรู้ว่าตัวเองตก ?
ตอบ : ถ้าหลุดจากปฐมฌานไปกิเลสกินทันที รัก โลภ โกรธ หลง ไหลมาเทมา จะไม่รู้ไม่ได้หรอก โดนเข้าเมื่อไรก็ต้องรู้

ถาม : ระดับอุปจารสมาธิพอไหมครับ ?
ตอบ : ไม่พอ อุปจารสมาธินี่กิเลสฟัดอร่อย เต็ม ๆ เลย กำลังไม่พอป้องกันตัวเอง ถ้าพอป้องกันตัวเองได้ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป และควรจะเป็นระดับละเอียดด้วย เพราะปฐมฌานหยาบนี่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

ถาม : เป็นฌานที่ขนาดว่าไม่รับรู้ข้างนอกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รู้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะรับไหม ถ้าจิตละเอียด อะไรมากระทบนี่จะรู้หมด ถ้าไม่สนใจก็จะนิ่งอยู่ ถ้าสนใจจะคลายกำลังใจไปรับรู้หน่อย แล้วก็รีบกลับเพราะกลัวโดนอีก

ถาม : เหมือนกับว่ามีอะไรกระตุก จะรู้ลักษณะเป็นสัญญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับว่าได้ยินเสียงก็รู้ เขาพูดถึงเราก็รู้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องไปปฏิสัมพันธ์ด้วย เราก็ไม่ไปสนใจเขา แต่ถ้าสมมติว่ามีคนมาถามเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร แล้วเราต้องอธิบายให้เขาฟัง ก็จะคลายกำลังใจออกมาหน่อย อธิบายให้เขา เสร็จก็ผลุบกลับเข้าไปใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 19:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:09



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว