กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 19-04-2012, 17:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนก็ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อย ๆ ป้ายชื่อเจ้าภาพเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ญาติโยมจ่ายครบแล้ว ๓๕ องค์ ยังขาดอีก ๑ องค์ ความจริงไม่ได้ขาดหรอก แต่อาตมาขี้เกียจโทรไปทวง เจอหน้ากันครั้งหนึ่งโยมก็นึกถึงครั้งหนึ่ง อาตมาไม่มีนิสัยโทรไปทวงใคร ปล่อยเขาตามสบาย..นึกได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เอามาให้เอง

ส่วนสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก ฐานกำลังขึ้นชั้น ๒ อยู่ จริง ๆ คำว่าชั้น ๒ ก็คือ ชั้นแรกนั่นแหละ แต่ว่าเป็นดาดฟ้าข้างบนที่จะไว้ตั้งพระ ข้างล่างที่ยกขึ้นมา ๔ เมตรนั้นจะเอาไว้ทำเป็นห้องประชุม เพราะว่าฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ก็ประมาณห้องโถงนี้เลย (บ้านวิริยบารมี) นึกเอาแล้วกันว่าองค์พระหน้าตัก ๒๑ ศอก จะใหญ่แค่ไหน

จะเทองค์พระวันที่ ๗ – ๑๕ กรกฎาคม ประมาณ ๑ อาทิตย์ ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครต้องการอานิสงส์ไปช่วยกันลุยได้ เดี๋ยวจะสั่งซื้อกระป๋องปูนมาสัก ๓๐๐ ใบ แต่เห็นช่างปูนเขาบอกว่าเสียเวลา เขาเองมีอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ ลักษณะเหมือนอย่างกับกรวยใหญ่ ๆ สามารถเทปูนใส่ยกขึ้นไปปล่อยพรวดเดียวได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาหิ้วกันนาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-04-2020 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 19-04-2012, 17:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณแม่อยู่คนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วใช่ไหมจ๊ะ ? (โยมตอบว่าใช่) อาตมามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่ เพราะว่าโหงวเฮ้งคุณแม่เขาเป็นแม่หม้ายแล้ว ตำราโหงวเฮ้งของอาตมาแม่นมาก ดูได้ทุกคน จริง ๆ แล้วอยากจะถ่ายทอดให้สาว ๆ เอาไว้ จะได้รู้ว่าคนไหนมีลูกมีเมียแล้วมาหลอกเราหรือเปล่า

แต่คราวนี้ตอนที่เรียนรู้ อาตมาไปสัญญากับอาเจ็กที่สอนให้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่เอาไปข่มขู่คุกคามกันได้ อย่างสมัยอาตมาเรียนมัธยม มีรุ่นพี่คนหนึ่งท้องตอนที่เรียนอยู่ ต้องย้ายหนีไปจังหวัดอื่นเลย เพราะโดนเขาด่ากันทั้งตำบล สมัยก่อนเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้เลย

เวลาอาตมาไปขอเรียนโหงวเฮ้ง ท่านก็เลยต้องบังคับ ให้สาบานเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะกลัวคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมจะเอาไปหักหลังคนอื่น ไปข่มขู่เขา ว่าฉันรู้ความลับแกนะ ถ้าไม่จ่ายเงินมาฉันจะเปิดเผยให้หมดเลย อะไรอย่างนี้

เวลาที่บอกโยมบางคนว่าดูออกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้นมีสามีหรือภรรยามาแล้วหรือยัง ? กำลังมีอยู่หรือไม่ ? บางคนไม่เชื่อ แต่นี่ยืนยันได้ว่าอาตมาดูแม่น แค่มองหน้าก็รู้แล้ว ไม่ใช่ทิพจักขุญาณหรอก เป็นเพราะโหงวเฮ้งจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีสามีภรรยาแล้วจะมาทำเนียนหลอกอาตมาไม่ได้หรอก หลอกได้แต่คนอื่นเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2012 เมื่อ 18:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 19-04-2012, 17:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยว่า "สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกประมาณล้านปีข้างหน้า พวกเราจะอยู่กันถึงหรือเปล่า ? พระองค์ทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของพระองค์ท่านด้วยนะ ไม่ใช่ศอกของเรา พระองค์ท่านมีภารกิจอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาสังขารของพระมหากัสสปะมาเผาในพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน เนื่องจากเวรกรรมที่เนื่องกันมาในอดีต

ในอดีตพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง พระมหากัสสปะเป็นช้างทรงของพระเจ้าแผ่นดิน วันนั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสอุทยาน อุทยานสมัยก่อนมีลักษณะเหมือนกับอุทยานแห่งชาติสมัยนี้ คือเป็นป่าส่วนพระองค์ของพระราชา ปรากฏว่าช้างทรงอยู่ ๆ ก็วิ่งเตลิด พระราชาหลบกิ่งไม้ใบหญ้าแทบไม่ทัน ท้ายสุดเห็นว่าอันตรายมาก ก็เลยคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เตี้ย โหนพระวรกายขึ้นไปอยู่ข้างบน จึงรอดไปได้

พอกลับมาพระองค์พิโรธมาก ว่าควาญช้างฝึกช้างประสาอะไร ถึงได้เตลิดขนาดนั้น ตั้งใจจะลอบปลงพระชนม์หรืออย่างไร จะสั่งประหารชีวิต ควาญช้างกราบทูลว่า ช้างทรงน่าจะได้กลิ่นช้างตัวเมีย ก็เลยเตลิดหายไป ไม่อย่างนั้นแล้วช้างทรงเชือกนี้สามารถบังคับได้ทุกอย่าง พระราชาไม่เชื่อ บอกว่าให้ทดสอบดู ถ้าบังคับไม่ได้อย่างที่ว่าก็จะประหารเสีย

ควาญช้างก็เลยต้องไปตามช้างทรงกลับมา ตอนนั้นช้างทรงเจอช้างตัวเมียพอใจแล้วก็ยอมกลับ กลับมาถึงพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งว่า ไหนลองบังคับช้างให้ได้อย่างที่ปากพูดสิ ควาญช้างก็เลยเอาแท่งเหล็กเผาจนแดง แล้วบังคับให้ช้างเอางวงจับแท่งเหล็กนั้นขึ้นมา ช้างก็ยอมเอางวงจับแท่งเหล็กขึ้นมา แต่คราวนี้ด้วยความที่แท่งเหล็กร้อนจัด ช้างทนไม่ไหวก็เลยตาย

พระราชาเห็นก็สลดพระทัยว่า โอหนอ...ไฟราคะรุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ? ขนาดช้างทรงที่เชื่องเชื่อขนาดนี้ ควาญช้างบังคับให้หยิบแท่งเหล็กแดง ๆ ยังกล้าหยิบได้ แต่ถึงเวลาแล้วกลับไม่ฟังการบังคับเลย เตลิดไปหาช้างตัวเมียด้วยอำนาจของไฟราคะ เพราะเหตุนี้เมื่อช้างมาเกิดใหม่เป็นพระมหากัสสปะ พอพระมหากัสสปะมรณภาพก็ยังไม่สามารถที่จะเผาสังขารของตนเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดการไม่ได้ ต้องเก็บสังขารเอาไว้ก่อน รอพระศรีอาริยเมตไตรยที่เป็นควาญช้างมาเกิดใหม่ แล้วเผาด้วยเตโชธาตุในฝ่าพระหัตถ์

เรานึกดูว่าพระมหากัสสปะสูง ๘ ศอกของสมัยพุทธกาล กับ ๘๘ ศอกของพระศรีอาริยเมตไตรย เทียบแล้วพระมหากัสสปะก็น่าจะประมาณถั่วสักเมล็ดในฝ่ามือเท่านั้น แล้วเผาด้วยเตโชธาตุ เตโชธาตุนี้อธิษฐานให้เผาแค่ไหนก็เผาแค่นั้น ถ้าตั้งใจจะเผาแต่เสื้อผ้า แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ไหม้ ท่านเองก็ไม่ร้อนอะไรหรอก แต่ว่ากรรมเนื่องกันมาจึงต้องทำอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 19-04-2012 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 20-04-2012, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าใครต้องการจะไปเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติในกรรมบถสิบเป็นปกติ แล้วตั้งใจไปเกิดในยุคของท่าน ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกคณะไปพระนิพพานเลย แต่ว่ารอนานนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีดี มีเลว มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ มีรวย มีจน ปะปนกันไป

ถ้าหากว่าเป็น พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ สร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารจะดีสวยรวยเสมอกันหมด เขตที่พระองค์ท่านประกาศศาสนา คนชั่วเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะแบบพระศรีอาริยเมตไตรย บริวารนอกจากดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้เลย สรุปว่าที่สร้างบารมีแทบเป็นแทบตายก็คือทำเพื่อบริวาร ยอมเหนื่อยกว่าท่านอื่นเป็นเท่า ๆ ตัว

อาตมานึกว่าแค่คนชั่วเข้ามาในเขตไม่ได้ก็ดีใจจะแย่แล้ว..ใช่ไหม ? นี่โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดเฉพาะคนดีที่เป็นบริวารท่าน แล้วเทศน์กันทีก็ยกคณะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาฟังกันนาน

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนให้ทำบุญแล้วอธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริยเมตไตรย อาตมาก็ว่าตามเขามาตลอด กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน ก็ตอนอายุ ๑๖ ปีแล้วได้มาเจอหลวงพ่อฤๅษี พอเวลาท่านนำอธิษฐานจึงได้ขอให้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

อาตมาก็คิดว่า เอ..ลุงมัคคนายกแกอธิษฐานทีไร ก็ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ส่วนหลวงพ่อท่านเอาชาติปัจจุบันนี้ แค่คิดดูเท่านั้น หลวงพ่อท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าต้องการก็ชาตินี้ มัวแต่ไปรออนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ชาติไหนไม่รู้ ลำบากอีกนาน มีใครเคยเจออนาคตกาลแบบอาตมามาบ้าง ? "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ" ทำบุญเมื่อไรมัคคนายกก็นำอธิษฐานแบบนี้ทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 20-04-2012, 09:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จริง ๆ แล้วคำว่ามัคคทายกเรียกว่าทายกไม่ได้นะ ต้องเรียกนายก เพราะว่าคำเต็ม ๆ คือ มัคคนายก นายกแปลว่าผู้นำ มัคคะแปลว่าหนทาง มัคคนายก คือ ผู้นำทางในการทำความดี

ถ้ามัคคทายก ทายกแปลว่า ผู้ให้ ผู้ให้ทาน (การสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์) เขาเอามาปนกันระหว่างคำว่า มัคคนายกที่เป็นคำถูกต้อง + คำว่าทายก กลายเป็นมัคคทายก เป็นคำผิด ฉะนั้น..ที่ถูกต้อง คือ มัคคนายก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 20-04-2012, 09:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าถึงชื่อเก่าของแต่ละจังหวัดว่า "สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปวัดท่าซุง ที่พักของโยม คือ ศาลาธรรมสถิตย์ โยมเข้ามาพักกันเป็นคณะ ห้องหนึ่ง ๒๕ – ๓๐ คน หลวงพ่อท่านร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เย็น ๆ จึงลงไปเยี่ยมญาติโยมที่มาทำบุญ ชวนโยมคุย

โยมเขามาคณะเดียวกัน หลวงพ่อถามโยมคนแรกว่า "มาจากไหน ?" "มาจากโคราชเจ้าค่ะ" "แล้วของโยมล่ะ ?" "มาจากนครราชสีมา" "มาคนละจังหวัดได้ ไหนบอกคณะเดียวกัน" บางทีเพราะความเคยชิน เขาไปเรียกชื่อเก่าเมืองเก่า อย่างสระบุรีสมัยก่อนเรียกปากเพรียว ปทุมธานีเรียกสามโคก นครปฐมยังเป็นนครชัยศรีอยู่ สมุทรปราการก็เป็นพระประแดง

เวลาไปเรียกชื่อเก่าเข้า คนรุ่นหลัง ๆ บางทีไม่รู้จัก อย่างที่เขาว่า "..พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว.." เปลี่ยนจากสามโคกเป็นปทุมธานี สมัยก่อนที่ชื่อสามโคกเพราะว่าพวกบรรดามอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ให้ไปอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าสามโคก ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ชื่อสามโคกหรอก ตรงนั้นเป็นทุ่งนากับป่าละเมาะ เหมาะที่จะทำไร่ทำนา

แต่พวกมอญมีฝีมือในการเผาอิฐแล้วก็ทำภาชนะด้วยดินเผา เขาก็เลยก่อเตาเผาขึ้นมา ทำไปทำมาขายดี เพราะว่าคนไทยทำได้ไม่ดีเหมือนของคนมอญ ในเมื่อขายดีก็ขยายใหญ่ขึ้น มีเตาที่ ๒ เตาที่ ๓ คราวนี้เตาใหญ่ขึ้น เวลาทิ้งร้าง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นคลุมก็กลายเป็นเนินใหญ่ เขาเลยเรียกโคก จะผ่านไปตรงนั้นพอคนเขาถามว่าไปไหน ? "ไปทางสามโคก" ไป ๆ มา ๆ ชื่อก็เลยกลายเป็นเมืองสามโคก ชื่อบ้านนามเมืองเขามีที่มา แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้จักชื่อเก่ากัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2012 เมื่อ 10:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 20-04-2012, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"นครปฐมมีศาลายาทุกคนรู้จัก แล้วศาลาธรรมสพน์รู้จักไหม ? ศาลาธรรมสพน์ตัวนี้เป็นภาษาสันสกฤต จริง ๆ แล้วสมัยโบราณตรงนั้นเป็นที่เผาศพ เขาเรียกศาลาทำศพ ก็คือเอาศพไปทำกันตรงนั้น รักษาที่ศาลายาไม่หาย ก็ยกไปเผากันที่ศาลาทำศพ

แต่ทีนี้พอคนได้ยินชื่อแล้วรู้สึกหวาดเสียว ทางราชการก็เลยเปลี่ยนเป็น ศาลาธรรมสพน์ แต่กลายเป็นธรรมสวนะ คือศาลาฟังธรรม ทีนี้ภาษาบาลีเป็น ว.แหวน พอไปเป็นสันสกฤต เขาเปลี่ยนเป็น พ.พาน จากธรรมสวนะจึงกลายเป็นธรรมสพน์ ไปรักษาที่ศาลายา รักษาไม่หายก็แปลว่าอีกไม่นานก็ต้องมาที่ศาลาทำศพ

ไม่มีใครเขาสงสัยบ้างหรือว่า ตลิ่งชันอยู่กรุงเทพฯ คือกรุงธนบุรีเก่า แล้วทำไมท่าแฉลบไปอยู่นครปฐม ? เขาเรียกตามลักษณะแม่น้ำลำคลองสมัยก่อน ท่าน้ำที่มีลาดขึ้นยาวมากเขาเรียกท่าแฉลบ บางคนเรียกง่าย ๆ ท่าน้ำตื้น แต่ทางธนบุรีดินถล่มอยู่เรื่อย ตลิ่งเกือบจะตั้งฉากเลย เขาจึงเรียกตลิ่งชัน ตรงส่วนที่ก่อนจะถึงเขาเรียกว่างิ้วราย เพราะว่ามีต้นงิ้วริมคลองเรียงเป็นตับ

คำว่ารายในที่นี้คือเรียงราย มีศาลายา มีสถานีรถไฟต้นสำโรง สำหรับต้นสำโรงนี่เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะเดียวกับตระกูลต้นนุ่น ชอบขึ้นใกล้น้ำ เพราะฉะนั้น..นครปฐมจะเป็นต้นสำโรง ถ้าลพบุรีจะเป็นโคกสำโรง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 20-04-2012, 10:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อสมปองเอาผ้าป่าไปถวายที่เกาะพระฤๅษี เฉพาะเหรียญสลึง ๑ ถังสังฆทานพอดี..! คนถวายคงปลื้มใจมากเลย อุตส่าห์ไปแลกเหรียญสลึงมาถวายโดยเฉพาะ เหรียญใหม่เอี่ยมเลยนะ อาตมานับแทบตายได้มา ๗ พันบาทถ้วน..!

ต่อไปคนประเภทนี้เวลาได้อะไร เขาจะต้องได้ของประเภทแกะออกสัก ๕๐ ชั้น แล้วเหลือของข้างในนิดหนึ่ง เขาตั้งใจแลกมาถวายด้วยความปลื้มใจมาก ถวายเหรียญใหม่ ๆ แต่เล่นเอานับกันแทบตาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 20-04-2012, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "ถ้าใจอยู่กับตัว มีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไร เราก็จะไม่ตกใจ แต่ถ้าใจไม่อยู่กับตัว ออกนอกแล้ววิ่งกลับเข้ามารับรู้เร็ว ๆ เขาเรียกว่าตกใจ เพราะฉะนั้น..อย่าส่งใจออกนอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 20-04-2012, 11:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ทองผาภูมิของที่ออกมากเป็นของป่า มีดอกดินเต็มตลาดเลย นอกจากนี้ก็มีผักกูด บุก อีลอก อีลอกก็คือบุกชนิดหนึ่ง พอฝนลงมาของป่าก็ออกกันเต็มไปหมด


อีลอก

ตอนนี้ในเว็บวัดท่าขนุนกำลังสอนการยังชีพในป่ากันอยู่ ในป่าของที่กลัวว่าจะกินผิดจริง ๆ ก็คือหนามขี้แรด หน้าตาเหมือนกับชะอมทุกประการเลย คนที่ไม่เคยชินจะคิดว่าเป็นชะอม แต่อย่าเอามากินเป็นอันขาด ถ่ายท้องถึงตาย..! ถ้าหากว่ารอบคอบสักหน่อย เด็ดสักยอดสองยอดก็จะรู้แล้วว่าไม่ใช่ชะอม เพราะไม่มีกลิ่น ชะอมจะมีกลิ่นฉุน ส่วนหนามขี้แรดไม่มีกลิ่น ของที่จะกินผิดก็คือของที่เราไม่คุ้นเคย แต่มีหน้าตาไปคล้ายของที่เราเคยกิน


หนามขี้แรด


การหาของกินในป่า บางทีก็ขึ้นอยู่กับดวง เจออะไรก็ต้องกินอย่างนั้น บางอย่างไม่ใช่ว่าเราเดินไปแล้วจะเจอเต็มไปหมดนะ บางทีเดินเป็นวันก็ยังไม่เจออะไรเลย อย่างอาตมาที่ไปกับท่านโมเช่ เดินอยู่ ๓ วันเจอแต่ดงต้นชะอม ตกลง ๓ วันนั้นกินแต่ชะอมทุกวัน กินจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เข็ดไปตาม ๆ กัน เพราะเดินไม่พ้นเขตชะอมเสียที

ด้วยความที่ว่าเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับต้นชะอมมา ก็คิดว่าชะอมเป็นไม้ยืนต้น ความจริงแล้วชะอมเป็นไม้เลื้อยกึ่งยืนต้น แต่ชะอมที่บ้านเราเป็นไม้ยืนต้นเพราะเขาทำในลักษณะปลูกเป็นรั้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะเลื้อย เพราะยาวขึ้นมาก็โดนเด็ด ไปเจอในป่าเลื้อยเถาหนึ่งนี่เต็มภูเขาไปเลย เดินมุดเดินลอดกันไป เก็บไปเรื่อย ๆ ท่านโมเช่ท่านเป็นตาฤๅษี ท่านก็เก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ๆ พอได้เวลามื้ออาหารก็เอามาทำกิน

จะไปหวังชะอมทอดไข่ก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในป่า อย่างเก่งก็ต้มจิ้มน้ำพริก บางเที่ยวเดินไปตลอดทางก็เจอแต่ผักกูด ผักกูดจะว่าไปก็อร่อย แต่ว่าเจอเข้าไปหลาย ๆ วันก็เริ่มเบื่อเหมือนกัน"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg 161_1.jpg (77.7 KB, 1067 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 20-04-2012, 12:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชาวบ้านเขาบอกว่าสร้างโบสถ์เสร็จเจ้าอาวาสจะตาย ?
ตอบ : เขาถือกันอย่างนั้น ความจริงสมัยก่อนเขาสร้างโบสถ์กันทีหลายสิบปีกว่าจะเสร็จ แล้วเจ้าอาวาสมักจะแก่ตายพอดี เพราะใจมุ่งอยู่กับการสร้างโบสถ์ก็อยู่ได้ พอโบสถ์เสร็จกำลังใจคลายตัวก็ตายพอดี คราวนี้พอเจอตายเข้า ๒ – ๓ ราย ติด ๆ กันเขาก็เลยถือ เพราะฉะนั้น..ช่วงที่เขาผูกพัทธสีมาจะให้เจ้าอาวาสไปอยู่ที่อื่น เข้าใจว่าจะได้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมนั้นไป

ความจริงเป็นความเชื่อเฉย ๆ ถามว่าต้องไปไหม ? ชาวบ้านเขาเชื่อ คุณไปเสียหน่อยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรขึ้นมา ชาวบ้านเขาเครียดตายเลย อย่างน้อย ๆ ให้โยมเขาได้ทำตามความเชื่อหน่อย กำลังใจเขาจะได้ดีขึ้น

ถาม : ลูกนิมิตลูกที่เก้า..?
ตอบ : เขามีเอาไว้ให้ครบเก้า แล้วดันเป็นนิมิตลูกที่แพงที่สุดด้วย จริง ๆ แล้วลูกนิมิตเขาต้องการแค่ ๘ ลูกเท่านั้น ลูกตรงกลางไม่ต้องมีก็ได้ แต่ว่ากลายเป็นว่าเขาต้องการเลข ๙ ซึ่งเป็นเลขที่เรานิยมว่าเป็นมงคล

ความเชื่อของชาวบ้าน เราไม่ทำตามก็อยู่ยาก เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบวินัยและกฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่บังคับคนในสังคม อย่างสังคมพระก็เป็นระเบียบวินัย หากเป็นสังคมชาวบ้านก็เป็นกฎหมายบ้านเมือง ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นความเชื่อซ้อนอยู่อีกชั้น ในเมื่อเขาเชื่อว่า ถ้าหากว่าผูกพัทธสีมาแล้วเจ้าอาวาสจะตาย คุณก็ต้องเชื่อตามเขา ถึงเวลาเขาก็ไล่เจ้าอาวาสไปไกล ๆ วัด ให้ไปอยู่ที่อื่น ผูกพัทธสีมาเสร็จแล้วค่อยกลับวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 20-04-2012, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ญาติโยมมาบ้านวิริยบารมีมาก แต่บ่นว่ารถติดเพราะขบวนธุดงค์ อาตมาเองก็นึกว่าธุดงค์น่าจะอยู่ในป่า ท้ายสุดก็สรุปได้ว่าเขาธุดงค์กันในป่าคอนกรีต เขาทำถูกแล้ว อาตมาคิดผิดเอง

การธุดงค์ในป่าคอนกรีตก็มีอันตรายจากรถยนต์ เหมือนอย่างกับเดินอยู่กลางโขลงช้าง จะโดนเหยียบแบนเมื่อไรไม่รู้ แต่ว่าธุดงค์แบบนี้ก็ดีนะ ช่วยให้เจ้าของสวนกุหลาบได้เงินเยอะขึ้น เพราะเขาเอากลีบกุหลาบมาโรยให้เดิน แต่ความจริงถ้าหากว่าต้องการให้รู้สัจธรรมชีวิตจริง ๆ ก็ควรจะเอาหนามกุหลาบโรยไปด้วย..!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บอกว่า "..ฯลฯ..การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดทรมา ในสายฝนมีสายฟ้า ในผาทึบมีถ้ำทอง..ฯลฯ" อยากรู้สัจธรรมจริง ๆ ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดและความยากลำบากบ้าง

ป.ล. ห้ามคัดลอกข้อความนี้ออกไปเผยแพร่นอกเว็บค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 21-04-2012, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "นางมณีเมขลาเป็นผู้ควบคุมบรรยากาศ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่า ช่วงนี้มีการสั่งการผิดพลาดหรืออย่างไร อากาศก็เลยมั่วไปหมด เรื่องพวกนี้เป็นไปตามความประพฤติของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์ไม่อยู่กับร่องกับรอย ดินฟ้าอากาศก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกัน

การทำฝนเป็นเรื่องยาก แม้ว่าเราผลิตฝนเทียมได้ แต่ฝนธรรมชาติก็ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เทวดามาก เทวดาที่เกี่ยวข้องกับฝนก็มีวายุเทพบุตร
ปชุนนเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตลาเทพบุตร
มีวรุณเทพบุตรเป็นหัวหน้าทีม กว่าจะผลิตฝนได้แต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าวรุณเทพบุตรอยู่ในตำแหน่งของเทวราชา ถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปลัดกระทรวงหรืออธิบดี ฟังชื่อแล้วคุ้นหูบ้างไหม ? วรุณเทพบุตรก็คือพระพิรุณ ถ้าจะคุ้นหูก็คุ้นหูท่านนี้"


ถาม : การแห่นางแมวเพื่อให้ฝนตก ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความเชื่อ แต่ถ้าตั้งใจทำด้วยความเคารพก็ได้ผลเหมือนกัน การแห่นางแมวแล้วฝนตก เทวดาเขาคงสงสารแมว เพราะโดนน้ำรดเอา ๆ แล้วแมวเกลียดน้ำที่สุด สัตว์ตระกูลเสือตระกูลแมวจะไม่ชอบน้ำ ต่อให้ร้อนแค่ไหน ลงน้ำตูมเดียวขึ้นมาก็รีบสะบัดเกลี้ยง ถึงเวลาเอาแมวมาทรมาน เทวดาทนดูไม่ได้ก็ต้องให้ฝน สรุปแล้วเทวดาดีเหมือนเดิม แต่คนไม่ได้เรื่อง เพราะเอาสัตว์มาทรมาน

ถ้าจะห้ามฝนเดี๋ยวให้ไปปักตะไคร้ ไม่ใช่ยิ่งปักยิ่งตก ความเชื่อถือในตอนแรกเขาให้สาวพรหมจารีย์เป็นคนไปปักตะไคร้ ไป ๆ มา ๆ เขาเปลี่ยนเป็นแม่ม่ายไปปักตะไคร้ สงสัยจะหาง่ายกว่า การปักตะไคร้ต้องเอาโคนขึ้นเอาปลายลง

ถ้าหากว่าเราสังเกตดู แม้กระทั่งคำว่า "นางแมว" ก็แปลว่าเป็นเพศหญิง หรือจะเป็นสาวพรหมจารีย์หรือว่าแม่หม้ายที่ไปปักตะไคร้ก็เป็นเพศหญิง แสดงว่าในสังคมของเรายกย่องผู้หญิงเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อยกย่องผู้หญิงให้เป็นใหญ่บ้าน เราก็เลยไม่มีการเรียกร้องสิทธิสตรี จะเรียกร้องไปทำไมเพราะมีอยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2012 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 21-04-2012, 15:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ลงเรือที่หาดราไวย ถามเรือแถวนั้นแล้วเช่าเรือไป แต่ว่าเลือกฤดูให้ถูก เพราะว่าบางจังหวะคลื่นแรง เทียบข้างหน้าเกาะไม่ได้ ต้องไปหลังเกาะ

ตอนที่อาตมาไปเป็นฤดูที่คลื่นแรง แต่ว่าเจ้าที่ท่านช่วย วันนั้นก็เลยวิ่งเรือด้วยสองแรงพญานาค สิบกว่านาทีถึง ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะปกติวิ่งเรือกันครึ่งชั่วโมง แต่คณะของเราไปด้วยสองแรงพญานาค วิ่งพักเดียวก็ถึง คลื่นแรงขนาดไหนไม่รู้ แต่เรือเทียบหน้าเกาะให้เฉยเลย ไปกับเจ้าถิ่นก็สบายหน่อย

ถาม : ควรจะไปช่วงเดือนประมาณไหนครับ ?
ตอบ : เดือนมกราคมคลื่นลมจะเบา แต่ถ้าไปแล้วเจอสึนามิพอดี รับรองจะประทับใจไปตลอดชีวิต..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 16:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 21-04-2012, 16:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่สึนามิทำเอาหลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ทลี) ตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคม ตอนนั้นหลี่เหลียนเจี๋ยไปเที่ยวเกาะมัลดีฟแล้วเจอสึนามิ คว้ามือภรรยากับลูกข้างละคนวิ่งหนี มารู้ตัวอีกทีไม่รู้ลูกและภรรยาหลุดมือไปไหนแล้ว ส่วนตัวเองโดนคลื่นซัดกระแทกไปติดอยู่บนยอดไม้ พอลงมาได้ก็นั่งร้องไห้ รอบข้างมีแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด

สำนึกตัวเองได้ว่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ในจอไม่มีประโยชน์เลย เพราะช่วยลูกและภรรยาตัวเองไม่ได้ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ชาวบ้านจูงลูกและภรรยามาคืนให้ ชาวบ้านจำได้เพราะพวกเขาไปเที่ยวอยู่หลายวัน จำได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หลี่เหลียนเจี๋ยมัวแต่ร้องไห้ดีใจที่ได้เจอภรรยากับลูก หันมาอีกทีชาวบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าเขาชื่ออะไร จำหน้าไม่ได้ด้วยเป็นใคร ชาวบ้านเขาก็ไม่ได้ทวงบุญทวงคุณหรือต้องการค่าตอบแทนอะไรเลย พามาส่งเฉย ๆ แล้วก็ไป

เขาก็เลยสรุปฟันธงว่า มัวแต่เป็นพระเอกอยู่ในจอไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นพระเอกนอกจอด้วย กลับบ้านไปก็เลยไปตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนลำบาก ชาวบ้านที่ยากจน เพราะว่าตัวเองรอดมาได้ก็เพราะชาวบ้านช่วยลูกช่วยเมียเอาไว้

หลี่เหลียนเจี๋ยนั้น ประเทศจีนขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต ไม่ใช่คนแก่นะ เพราะตอนที่ขึ้นทะเบียนเขาอายุไม่มากหรอก เล่นหนังเรื่องเสี้ยวลิ้มยี่ แสดงวิทยายุทธที่แท้จริง เพราะว่าเขาศึกษาวิทยายุทธจนกระทั่งรู้จริง สามารถแสดงได้จริง ใช้ในการต่อสู้ได้จริง ก็เลยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 21-04-2012, 16:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อสักสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาฝันแปลก ๆ ฝันว่าได้ลูกแรดมาตัวหนึ่ง มีนอขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็วุ่นวายสิ..เพราะว่าต้องหานมมาเลี้ยง ปรากฏว่าขวดนมใหญ่ ๆ ก็ไม่มี มีแต่ขวดนมเด็ก แล้วจะไปเลี้ยงได้อย่างไร ? ขวดหนึ่งแรดดูดสามทีก็หมดแล้ว..!

ท้ายสุดแรดต้องบริการตัวเอง ด้วยการเดินไปกินใบไม้หน้าตาเฉย เพราะเห็นว่า ถ้าขืนรออาตมาชงนมให้กินคงหิวตายก่อนแน่ ๆ ดูแล้วก็ขำ ๆ ตัวเองว่า เออ..ร้อยวันพันปีจะฝันสักที ดันฝันเรื่องแบบนี้ แล้วบ้านเราจะไปหาแรดได้ที่ไหน ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2012 เมื่อ 11:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 21-04-2012, 16:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาขี้แมลงสาบเผาไฟ แล้วตำป่นผสมน้ำผึ้ง กวาดคอให้เด็กแล้วจะไม่เป็นซาง ไปหาแมลงสาบมาใส่ลังไว้สัก ๗ - ๘ วันเดี๋ยวก็ขี้ออกมาเอง

ถาม : จะเอาอะไรให้แมลงสาบกินครับ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเดี๋ยวเขาก็แทะลังกินเอาเอง ไม่ต้องไปห่วงแมลงสาบหรอก แมลงสาบเอาตัวรอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่ลดขนาดตัวให้เล็กลงเท่านั้น ฉะนั้น..แมลงสาบเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้คนตายหมดทั้งโลกก็เชื่อว่าแมลงสาบยังอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 21-04-2012 เมื่อ 21:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 21-04-2012, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปแจกยันต์เกราะเพชรทางใต้ ถ้าเอายันต์เกราะเพชรมาติดเสื้อเกราะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรไม่ได้ทำให้หนังเหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์

ถาม : ถ้าเอายันต์ไปติดข้างในเสื้อจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่เรา แต่ยืนยันว่ายันต์เกราะเพชรไม่ได้ช่วยให้เหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาไว้ป้องกันลูกปืน

หน่วยจู่โจมจะได้รับการสอนมาว่าให้ยิงหัว เพราะตรงหัวไม่มีอะไรกันได้ แต่ที่ยิงตัวนั้นเพื่อประกันความเสี่ยงไว้ก่อนว่าต้องโดน เพราะว่าตัวเป็นเป้าที่ใหญ่กว่าหัว แต่ว่าเขามักจะใส่เสื้อเกราะ แล้วเขายังสอนเอาไว้อีกว่า ถึงเวลาแล้วให้ยิงซ้ำทุกศพ ป้องกันพวกแกล้งตาย เพราะฉะนั้น..ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงเขาไม่ตายจริง ๆ ก็โดนยิงซ้ำจนตาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 21-04-2012, 16:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขายอาวุธปืนบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาวุธทุกชนิดเป็นมิจฉาวณิชา ไม่ใช่บาปโดยตรง เพราะเราไม่ได้บังคับให้เขาเอาไปฆ่าใคร คนที่เอาไปใช้ฆ่าต่างหากที่บาป พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พุทธมามะกะไม่ควรทำเพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะตำหนิเอาได้

เดี๋ยวนี้เห็นคนไทยเขาพัฒนา เอาผ้าไหมมาทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ป้องกันได้แต่ปืนสั้น พวกปืนไรเฟิลจู่โจมจะกันไม่ได้ ปืนที่มีความเร็วไม่เกิน ๑,๕๐๐ ฟุตต่อวินาทีกันได้ แต่พวกไรเฟิลจู่โจมความเร็วเกิน ๒,๐๐๐ ฟุตต่อวินาทีทั้งนั้น อำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ามาก ต่อให้กันได้จริง ๆ พอไปเจอ .๓๕๗ หรือ ๑๑ ม.ม. ก็เรียบร้อยเหมือนกัน ยิงไม่เข้าแต่กระดูกหัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 17:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 21-04-2012, 17:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,780 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่อาตมาอยู่ชายแดน เบิกเสื้อเกราะกันกระสุนไปไม่ได้ใช้หรอก โยนทิ้งไว้บนเตียงเฉย ๆ เพราะทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว เหมือนอย่างกับว่าตัวเราไม่สามารถที่จะบิดหมุนไปตามทิศทางที่ต้องการได้ แข็งทื่อเป็นผีดิบ ตอนสมัยอาตมาอยู่ชายแดนมี ๒ อย่างที่ไม่เอาเลย คือระเบิดขว้างกับเสื้อเกราะกันกระสุน

สำหรับระเบิดขว้าง เพื่อนอาตมาชอบพกเท่ ๆ เกี่ยวไว้บนล่างรอบเอวไปหมด อาตมาเลยแถมให้ "มึงเอาของกูไปด้วย" ลองนึกดูว่าถ้าเราพกระเบิดอยู่แล้วเราหมอบ ข้าศึกยิงเราไม่ถูก แต่ไปถูกระเบิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่เอาด้วยหรอก ส่งให้เพื่อนไปเลย แหม..ทำเท่พกซะรอบตัว..!

ถาม : ถ้าใส่เสื้อเกราะรุ่นนี้จะหนักไหมคะ ?
ตอบ :หนักมาก..เพราะว่าพอร่างกายล้า ๆ น้ำหนักครึ่งกิโลกรัมก็แย่แล้ว นี่ตั้ง ๘ กิโลกรัม ต้องสำหรับฝรั่งไม่ใช่คนไทย อย่าลืมว่าเครื่องหลังเต็มอัตราของทหารแค่ ๑๓ กิโลกรัม เสื้อเกราะตัวเดียว ๘ กิโลกรัม แล้วใครจะไปอยากได้

ที่อาตมาไม่ได้สนใจ โยนเสื้อเกราะคืนคลังไปก็เพราะว่าเคยทดลองมาแล้ว เอาเสื้อเกราะ ๓ ตัวเรียงกัน ยิงด้วย เอ็ม.๑๖ ทะลุฉุยเลย แล้วอาตมาจะใส่ไปทำไม ? อย่างดีก็เลือดออกน้อยหน่อยเท่านั้น สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีพอ ยิงทะลุได้จริง ๆ อาจจะกันพวกสะเก็ดระเบิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือกันปืนสั้นได้ แต่ว่าปืนสงครามกันไม่ได้

ที่เขาทดสอบให้เราดูว่ากันกระสุนได้เพราะว่าเขาไปจ่อยิง นึกออกไหม ? เขาจ่อยิงก็เลยไม่เข้า กระสุนปืนต้องมีระยะหมุนจนได้ระดับ ถึงจะแสดงพลังงานได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่นว่า ยิงห่างไปสัก ๑๕ ฟุต ๒๐ ฟุต ประเภทไปทิ่มใส่แล้วยิงเลย กระสุนปืนยังไม่ทันที่จะเริ่มออกแรงก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาทดสอบมาแล้ว ขนาดกระจกการ์เดียนที่เขาว่าแน่ ๆ พอไปถึงจ่อ เอ็ม.๑๖ กราดพรืด มีแต่รอยจุด จุด จุด แต่พออาตมาถอยออกมา ๕ เมตร ยิงเปรี้ยงเดียวทะลุฉุย ฝรั่งยังงง

ก็เลยบอกว่ากระจกกันกระสุนของคุณมีประโยชน์ตรงที่เจ้านายของคุณตายเงียบกว่าเดิมเท่านั้น มือปืนซุ่มยิงพวกสไนเปอร์ ไม่มีใครเขายิงใกล้ ๆ เพราะฉะนั้น..กระสุนไปเต็มขีปนวิถีแล้ว ไม่ใช่มือปืนบ้านเราที่ไปประกบแล้วก็เอา เอ็ม.๑๖ กราดยิงกันติด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสกันกระสุนได้

มีอยู่ช่วงหนึ่งไทยสั่งเสื้อเกราะเคฟราเข้ามา แล้วก็ให้เขาเพิ่มแผ่นติดหน้าอกเข้ามาแผ่นหนึ่ง ในลักษณะที่ว่าทำเหมือนอย่างกับเป็นกระเป๋าแล้วก็สอดลงไป ถ้าใครไม่ต้องการก็ชักขึ้นมาจะได้ไม่หนักมาก ก็ช่วยให้ปลอดภัยขึ้นมานิดหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2012 เมื่อ 19:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว