#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เชิญรับฟังได้ที่ https://youtu.be/bviRoArr4os อันดับแรก..นึกถึงลมหายใจเข้าออกก่อน แล้วก็ต่อด้วยภาพพระของเรา ใครที่คล่องตัวแล้วก็แซงหน้าไปได้เลย ไม่ต้องรอ หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจอออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าใครยังเผลอคิดเรื่องอื่นก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ หายใจเข้า..จมูก อก ท้อง หายใจออก..ท้อง อก จมูก |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เราจะรู้สึกว่าลมกระทบแรงตรงปลายจมูก กึ่งกลางอก แล้วก็สุดที่ท้อง ลมออกจากท้อง กระทบกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก
ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่ตัวเองถนัด คำภาวนาอย่าเปลี่ยนบ่อย ถ้าหากว่าเปลี่ยนบ่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็พะวงหน้าพะวงหลัง หายใจเข้า..ความรู้สึกทั้งหมดไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ความรู้สึกทั้งหมดเลื่อนขึ้นมาบนศีรษะ เมื่อความรู้สึกทั้งหมดทรงตัวแล้ว ก็กำหนดภาพพระที่เรารักเราชอบมากที่สุด จะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมก็ได้ พระวิสุทธิเทพก็ได้ พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิงก็ได้ วัตถุมงคลที่เป็นพระพุทธรูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรารักเราชอบก็ได้ หรือไม่ก็หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อนาก หลวงพ่อทองคำ หรือพระประธานในศาลาแห่งนี้ก็ได้ หายใจเข้า..ให้ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ให้ภาพพระเลื่อนขึ้นไปอยู่บนศีรษะ |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ขอย้ำว่าอย่าเอาความชัดเจน เพราะเรายังไม่เข้าใจคำว่า "มโน" คือ เป็นการนึกถึง ไม่ใช่ตาเห็น เหมือนเรานึกถึงบ้าน นึกถึงคนที่เรารู้จัก ไม่ใช่ตาเห็น แต่เห็นได้ชัด ๆ
การนึกถึงภาพพระเขานึกถึงลักษณะอย่างนั้น เราเคยเห็นภาพพระองค์ไหนที่ติดตาติดใจก็นึกถึง ให้ท่านไหลลงไปอยู่ในท้อง เลื่อนขึ้นไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้า..ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ เอาความรู้สึกของเราอยู่ที่ภาพพระที่ไหลลงไปในท้อง เลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ อย่าไปเน้นความชัดเจน ถ้ารู้สึกว่าเลือนลางจางหายไปก็นึกถึงใหม่ |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อภาพพระพร้อมกับลมหายใจของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว ก็นึกถึงภาพพระให้นิ่งอยู่บนศีรษะของเรา
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น เรื่องความสว่างขององค์พระก็อย่าเอาเป็นสาระ เพราะว่าโดยปกติของปุถุชน ถ้าสามารถนึกได้เหมือนอย่างกับเห็นของในคืนเดือนมืดก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้ว ขนาดระดับพระอรหันต์ก็ยังเหมือนเทียนดวงน้อยอยู่ภายในความมืด พระอัครสาวกเหมือนเทียนดวงใหญ่ หรือเหมือนกับคบไฟ พระปัจเจกพุทธเจ้าสามารถเห็นได้เหมือนกลางคืนที่มีแสงจันทร์ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนเหมือนกลางวันที่มีแสงอาทิตย์ ดังนั้นถ้าเรายังขอบารมีพระให้สงเคราะห์เราไม่เป็น สามารถรู้สึกได้ในความมืดว่ามีองค์พระอยู่ก็ใช้ได้แล้ว |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น
หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ให้ความสว่างค่อย ๆ ครอบคลุมตัวเราลงมา เหมือนกับพระพุทธรูปสวมทับตัวเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น ใช้ลมหายใจตามปกติของแต่ละคน อย่ากำหนดตามเสียงพูด เพราะว่าถ้าสมาธิไม่เท่ากัน เราจะกำหนดไม่ได้ |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าตัวเราและองค์พระสว่างไสวกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ก็กำหนดให้ความสว่างจากองค์พระ เปรียบเหมือนพระเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ปกไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า
รัศมีสีขาวแผ่กว้างออกไปรอบด้าน เหมือนเราโยนหินลงในน้ำ แล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวง ๆ กว้างออกไป ๆ หายใจเข้า..รัศมีองค์พระสว่างไสวไปทั้งศาลาหลังนี้ หายใจออก..รัศมีองค์พระสว่างไสวไปทั้งศาลาหลังนี้ หายใจเข้า..ความสว่างแผ่กว้างออกไปทั้งวัด หายใจออก..ความสว่างแผ่กว้างออกไปทั้งวัด |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
หายใจเข้า..สว่างไปทั้งหมู่บ้าน
หายใจออก..สว่างไปทั้งหมู่บ้าน หายใจเข้า..สว่างไปทั้งตำบล หายใจออก..สว่างไปทั้งตำบล หายใจเข้า..สว่างไปทั้งอำเภอ หายใจออก..สว่างไปทั้งอำเภอ หายใจเข้า..สว่างไปทั้งจังหวัด หายใจออก..สว่างไปทั้งจังหวัด รู้สึกตัวเราเหมือนกับใหญ่ขึ้น สูงขึ้น ใหญ่ขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งมองเห็นกว้างไกลเรื่อย ๆ เหมือนดูจากมุมสูง |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
หายใจเข้า..รัศมีสีขาวขององค์พระ สว่างไสวกว้างออกไป กว้างออกไป กว้างไปทั้งจังหวัด กว้างไปทั้งภาค กว้างไปทั้งประเทศ กว้างออกไปทั้งโลก
รู้สึกว่าตัวเราโตเต็มจักรวาล โลกเป็นวัตถุเล็ก ๆ อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา สามารถกำหนดใจให้ครอบคลุมทั่วถึงภายในวินาทีเดียว ให้ตั้งใจว่า..มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงไปเสวยสุขในสุคติภพโดยถ้วนหน้ากันเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นตกอยู่ในความทุกข์ยากเศร้าหมอง เดือดร้อนลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:03 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่สันติสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด หายใจเข้า..รัศมีสีขาวขององค์พระแผ่กว้างไปไม่มีประมาณ หายใจออก..กลับมาสว่างไสวบนศีรษะของเราตามเดิม หายใจเข้า..ความสว่างกว้างออกไป กว้างออกไป หายใจออก..กลับมาสว่างไสวบนศีรษะของเราตามเดิม |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าภาพพระชัดเจน สว่างไสวอยู่บนศีรษะของเราแล้ว ก็น้อมจิตน้อมใจกราบลงไปตรงนั้น ทำความเข้าใจว่านั่นคือพระพุทธนิมิต แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกำหนดใจของเราย้อนกลับไป..ตอนที่เดินมาศาลา ตอนที่อยู่ยังที่พัก ตอนเข้าห้องน้ำ ตอนก่อนนอน ตอนก่อพระเจดีย์ทรายเมื่อวาน ตอนทำบุญเมื่อวาน
ไล่ย้อนหลังไปเรื่อย ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ครึ่งปี ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ย้อนกลับไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ๆ จนรู้สึกว่าเราเป็นจุดปฏิสนธิ์เล็ก ๆ ในท้องแม่ เมื่อไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้าก็เกิดปัญจสาขา ๑ ศีรษะ ๒ ขา ๒ แขน อาศัยอยู่ในท้องแม่ ๙ เดือน ๑๐ เดือน แล้วคลอดแล้วเคลื่อนออกมา จากเด็กเล็กนอนหงายตะกายอากาศ ก็ค่อย ๆ พลิกคว่ำ หัดคลาด หัดเดิน หัดยืน หัดวิ่ง ไม่มีฟันก็มีฟัน หัดพูด เริ่มศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ เป็นคนตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:12 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
เราจะเห็นชัดเจนว่าสภาพร่างกายนี้ไม่เที่ยงเกิดมาแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่เสมอ เราขอยอมรับความจริงในข้อนี้
ย้อนกลับไปที่ภาพพระใหม่ หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะได้เคยชิน แล้วหลังจากนั้นก็มาพิจารณาดูว่าสภาพร่างกายของเรานี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็ทุกข์ยากลำบาก นอนขดอยู่ในท่าเดียว โดนไฟธาตุของแม่เผาอยู่ตลอดเวลา ทั้งร้อน ทั้งอึดอัด ทั้งเมื่อยขบ จนกระทั่งคลอด กระทั่งเคลื่อนออกมา กระทบความหนักของอากาศ แสบร้อนไปทั้งกาย ร้องไห้จ้า พยายามหัดพลิก หัดคืบ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง ไม่มีฟันก็มีฟัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:15 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
สิ่งที่เราทำทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ทั้งสิ้น ต้องเล่าเรียนหนังสือ ต้องแต่งงานมีคู่ ต้องเลี้ยงลูก
ระหว่างนั้นก็ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ต้องร้อน ต้องหนาว ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ พยายามมองเห็นให้ชัดเจน.. จนกระทั่งร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกขเวทนาบีบคั้น ทนอยู่ไม่ได้ ตาย เราจะเห็นชัดว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เมื่อเห็นชัดเจนแล้ว..ก็น้อมจิตน้อมใจกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีของพระองค์ท่าน ดูสิ่งที่ท่านสอนมา "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
แต่ละคนมองเข้ามาในตัวของเรา ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ
ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน พระองค์ท่านตรัสว่าเป็น "ธาตุดิน".. ได้แก่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก อวัยวะภายในภายนอกใหญ่น้อยทั้งปวงที่จับได้ต้องได้ ส่วนนี้ถือว่าเป็นธาตุดิน ส่วนที่เหลว ไหลเอิบอาบเคร่งตึงอยู่ในร่างกายเ รียกว่า "ธาตุน้ำ".. มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะ คราวนี้เราต้องมาดูว่าตัวของเราเองนั้น ประกอบขึ้นมาจากธาตุน้ำเช่นนี้ แยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย เรียกว่า "ธาตุลม".. มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องในไส้ ลมอยู่ในที่ว่าง เช่นช่องหู ช่องจมูก ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลมเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกายที่เรียกว่าความดันโลหิต แยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เรียกว่า "ธาตุไฟ".. มีไฟธาตุที่ยังร่างกายนี้ให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาผลาญร่างกายนี้ให้ทรุดโทรมลง ไฟธาตุที่ช่วยสันดาบย่อยอาหารการกิน ไฟธาตุที่ยังให้เรากระวนกระวายยามป่วยไข้ ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือธาตุไฟ แยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:21 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
คราวนี้มาดูให้ชัด ๆ..
ส่วนที่หนึ่งเป็น"ธาตุดิน" คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก อวัยวะภายในภายนอกที่จับได้ต้องได้ทั้งหลายทั้วปวง ส่วนที่สองเรียกว่า "ธาตุน้ำ" คือเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี ไขมันเหลว ปัสสาวะ ส่วนที่สามคือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก..ลมในท้องในไส้ ลมในช่องหู ช่องจมูก ลมพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ส่วนสุดท้ายเรียกว่า "ธาตุไฟ" คือ ความอบอุ่นในร่างกายนี้ มีไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาผลาญร่างกายนี้ให้แก่ชราลง ไฟธาตุที่ช่วยสันดาบในการย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายของเรายามป่วยไข้ ส่วนที่หนึ่งเป็นดิน ส่วนที่สองเป็นน้ำ ส่วนที่สามเป็นลม ส่วนที่สี่เป็นไฟ พอแยกออกมาหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือเป็นเราเป็นของเราเลย |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า "ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา"
เรามาหลงยึดติดด้วย "อวิชชา" คือ ความเขลา..ที่ไม่รู้สาเหตุของความเป็นจริง เรามองเห็นชัดเจนแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา คราวนี้ดูต่อไปอีกว่า..ร่างกายที่ผสานขึ้นจากธาตุ ๔ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ ธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ.. ไม่มีธาตุไฟคอยควบคุม ธาตุน้ำก็ล้นเกิน.. ร่างกายค่อย ๆ อืดพองขึ้นมา.. ท้ายสุดก็ดันจนผิวหนังแตก น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรม ส่งกลิ่นเหม็นไปไกล ๆ สัตว์กินซากทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสุนัข เป็นนกแร้ง นกตะกรุม เหี้ย ตะกวด มาฉีก มาทึ้ง มาดึง มาลากเอาร่างกายนี้ไปเป็นอาหาร แย่งกันกินจนหมด เหลือเพียงโครงกระดูกที่ยังมีเอ็นรัดอยู่ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:30 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
แต่เมื่อผ่านการเผาของแดด การชะของฝน การพัดของลม โครงกระดูกใหม่ ๆ ก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ
ท้ายที่สุดเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกอยู่ก็เปื่อยสลายไป ปล่อยให้โครงกระดูกกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง กระโหลกศีรษะกลิ้งไปทางหนึ่ง ฟันหลุดไปทางหนึ่ง กรามล่างหลุดไปทางหนึ่ง กระดูกต้นคอที่ช่วยให้เราก้มได้ก็หลุดไปอีกทางหนึ่ง กระดูกหัวไหล่หรือที่เรียกว่าไหปลาร้า กระดูกท่อนแขน กระดูกข้อศอก กระดูกแขนท่อนล่าง กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ ตลอดจนกระดูกเล็บมือ แล้วย้อนมาดูกระดูกซี่โครงที่มีกระดูกหน้าอกและสันหลังยึดอยู่ ซี่ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ หลุดเป็นข้อ ๆ กลิ้งเกลื่อนพื้น |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ช่วงบนก็ยังยึดโยงอยู่กับกระดูกหน้าอก ช่วงล่างนั้นมีแต่กระดูกซี่โครงอย่างเดียว กระดูกสันหลัง กระดูกบั้นเอว กระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบ กระดูกต้นขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า ส้นเท้า กระดูกนิ้วเท้า เล็บ หลุดกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
ไม่แน่ใจเริ่มใหม่..ไล่จากกระดูกนิ้วเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกข้อเท้า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกหัวเข่า กระดูกต้นขา กระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบ กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดูกท่อนแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือ เล็บมือ กระดูกต้นคอ กระดูกกราม กระดูกฟัน กะโหลกศีรษะ ประกอบขึ้นมาเป็นซากโครงกระดูก แล้วปล่อยหลุดกระจัดกระจายลงไปใหม่ หลุดไปแล้วค่อย ๆ หยิบขึ้นมาประกอบใหม่ทีละชิ้น ๆ ระยะเวลาที่ผ่านไป..กระดูกใหม่ ๆ ก็เหลือง เก่า เป็นสีน้ำตาล เปื่อย ผุ จมดิน หายไป..ไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหมว่า "ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกต้องแล้ว ร่างกายนี้ไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงจริง ๆ ร่างกายนี้เป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์จริง ๆ ร่างกายนี้เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ก็ไม่มีจริง ๆ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วก็น้อมจิตน้อมใจกราบลงที่ภาพพระของเรา นั่นคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน
ให้ตั้งใจว่า..วันนี้ถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้น.. ถ้ามีลมหายใจอยู่ กำหนดดูลมหายใจ ถ้ามีภาพพระอยู่ กำหนดภาพพระ ถ้ามีคำภาวนา กำหนดคำภาวนา ถ้าลมหายใจเบาลง รู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าคำภาวนาหายไป รู้ว่าคำภาวนาหายไป ถ้าลมหายใจหายไป ให้รู้ว่าลมหายใจหายไป ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปดิ้นรนอย่างนั้น และไม่ควรที่จะพยายามทำให้เป็นอย่างนั้น เรามีหน้าที่ภาวนา จะเกิดหรือไม่เกิด ช่างมัน พยายามรักษาอารมณ์นี้เอาไว้ จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 18-04-2022 เมื่อ 01:37 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
(สัญญาณบอกว่าหมดเวลา)
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ค่อย ๆ คลายความรู้สึกออกมาช้า ๆ นะจ๊ะ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่กับภาพพระหรือการภาวนาของเรา ความรู้สึกส่วนใหญ่ใช้ในการสวดมนต์ทำวัตรกันต่อไป พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|