กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 26-08-2011, 17:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างเราไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านไปเอง ?
ตอบ : จิตจะปรุงแต่งเองเป็นปกติ เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ดังนั้นเราถึงต้องใช้สมาธิมาช่วย ถ้าเราอยู่กับสมาธิเฉพาะหน้า จิตจะไม่คิดเรื่องอื่น ก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ แต่ถ้าหากเราหลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าตรงนี้เมื่อไร ถ้าไม่ไปอดีต ก็จะไปอนาคต แล้วจะสร้างทุกข์ให้เราในทันที ส่วนใหญ่ก็จะไปโหยหาอาลัยกับอดีต แล้วก็จะไปฟุ้งซ่านกับอนาคต ซึ่งทุกข์ตั้งแต่คิดแล้ว อย่าว่าแต่ทำเลย

ถาม : บางทีเราไม่ได้ไปคิดอดีต เราแค่มอง แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอดีต
ตอบ : ถ้าหากว่าจิตเราละเอียดพอ เราจะรู้ว่ามาจากอดีตหรือฟุ้งไปในอนาคต ขอให้เรารู้ว่าเราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว ถ้าหลุดไปจากตรงนี้เมื่อไรก็เริ่มเสร็จกิเลสแล้ว

ถาม : แล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากอดีตหรืออนาคตได้อย่างไร ?
ตอบ : ค่อย ๆ ปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง พอสมาธิดีขึ้น ปัญญาเกิด ก็จะรู้ทันได้ เราจะเห็นช่องทางมากขึ้น แล้วก็จะประคับประคองตัวเราให้รอดได้

แต่ที่ยังไม่รอดเพราะสมาธิไม่ทรงตัว ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้คือ
ทำสมาธิเสร็จแล้วเราทิ้งเลย ก็เลยกลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลงเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านกันใหญ่ ทำอย่างไรเวลาเราปฏิบัติพอกำลังใจนิ่ง รัก โลภ โกรธ หลงสงบลงได้ชั่วคราว แล้วเราจะรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

ยิ่งทำนานขึ้น ๆ สภาพจิตยิ่งผ่องใส ปัญญาจะยิ่งเกิด ก็จะเห็นช่องทางที่เราจะแก้ไข พลิกแพลง เอาตัวรอดจากตรงนั้นได้ จนกว่าสภาพจิตจะมีกำลังเพียงพอที่สามารถจะหยุดปรุงแต่งได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 26-08-2011, 17:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างพระอาจารย์ทูล วัดป่าบ้านค้อ ท่านบอกว่าทำอย่างไรที่จะหยุดกระแสได้ พอหยุดกระแสได้ คราวนี้ทำอย่างไรจะตัดกระแสขาด แล้วคราวนี้ทำอย่างไรจะข้ามกระแสพ้น

ในลักษณะเดียวกัน พอมีสมาธิหยุดยั้งได้ ปัญญาก็จะเกิด เราจะหาช่องทางได้ว่าทำไมตรงนี้จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา เราก็จะเห็นว่า ตาที่เห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด จะเกิด ๒ อารมณ์คือชอบกับไม่ชอบ ชอบก็เป็นโลภะกับราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะกับโมหะ กินใจเราทั้งคู่

ทำอย่างไรที่เราจะไม่ให้ทั้งสองอย่างนี้เกิด ก็คือหยุดอยู่กับตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ไม่ไปคิดต่อ ไม่ไปปรุงต่อ ในเมื่อเราสามารถทำถึงตรงนี้ได้แล้ว สามารถที่จะหยุดโดยอัตโนมัติได้ทุกครั้ง ก็แสดงว่ากำลังเราพอ ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด...ทันทีที่รู้ว่าอันตรายก็หยุด ถ้าอย่างนี้เราถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังไม่พอ อย่าว่าแต่เห็นช่องทางเลย หยุดก็ยังหยุดไม่ได้ เอาตัวไม่รอด ดังนั้น..ต้องเร่งการปฏิบัติให้มากขึ้นไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 17:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 26-08-2011, 17:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านบอกว่า ทำศีล สมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด เป็นการเกิดขึ้นเองเลยด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราต้องช่วยด้วย ไม่ใช่ไปรอให้เกิดเองอย่างเดียว พอถึงเวลาก็ซักซ้อมคิดให้เห็นความเป็นจริง ว่าสภาพจิตของเราไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร

แรก ๆ จะเป็นแค่ความจำ คือ สัญญา แต่พอซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ถ้าศีล สมาธิเพียงพอ ปัญญาจริง ๆ ก็จะเกิด จากที่แค่จำได้ ก็จะกลายเป็นทำได้ จากสัญญาคือจำได้ จะกลายเป็นปัญญาคือทำได้จริง ๆ

ถาม : ส่วนหนึ่งที่บอกว่า ถ้ากำลังถึง ปัญญาก็จะถึง จะทำอย่างไรให้ปัญญาถึงขึ้นมา คือการซักซ้อมบ่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ จนกว่าจะยอมรับอย่างแท้จริง ซ้ำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ ต้องบอกว่า ทำให้มากเข้าไว้แล้วจะดีเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 18:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 26-08-2011, 18:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างเวลาเรานั่งภาวนา เหมือนเราดูลมหายใจ เราดูความคิด เราไม่รู้ว่าเราคิดอะไร เหมือนกับหายไป ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นสติตามไม่ทัน สมาธิเริ่มทรงตัวขึ้นแต่สติตามไม่ทัน

ถาม : แล้ววูบกลับมา ?
ตอบ : ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ติด ๆ เลย ลมเข้าไปเราไปด้วย ลมออกมาเรามาด้วย กอดคอไปตลอดทางเลย

ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเกิดอาการอย่างที่ว่ามา เราจะสังเกตว่าเรามารู้ตัวอีกที อ้าว..หายไปไหน แล้วเราก็มาเริ่มต้นภาวนาใหม่ คือสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว แต่ว่าสติตามไม่ทัน ฉะนั้น..ตามดูตามจี้ติด ๆ ไว้ ถ้าสามารถเกาะติดลมหายใจได้ก็สบาย

ถาม : สตินี่ส่วนสติ สมาธิส่วนสมาธิหรือครับ ? หรือแยกกันครับ ?
ตอบ : สองอย่างเอื้อกันอยู่ แต่ว่าจำเป็นต้องไปด้วยกัน แยกกันเมื่อไรก็เจ๊ง บอกแล้วว่าของเราสติตามสมาธิไม่ทัน เพราะว่าแยกกันไปแล้ว ถ้าหากว่าตีคู่กันไป ทันกัน เราก็จะรู้อยู่

ถาม : การฝึกสติมาก ๆ จะก่อให้เกิดสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การฝึกสมาธิ สติจะได้ด้วย เมื่อสติทรงตัวก็จะไปควบคุมสมาธิที่ทรงตัวไปด้วย เหมือนกับด้ายของเชือกที่อยู่เส้นเดียวกัน พอถึงเวลาตีเกลียวก็เป็นเชือก ไม่อย่างนั้นต่างคนต่างอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 28-08-2011 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 26-08-2011, 18:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างที่เขาบอกว่า ปฏิบัติตามรูปแบบการเดินจงกรม หรือนั่งตามแบบทั่วไป อย่างไหนสำคัญ ?
ตอบ : สำคัญที่ทำอย่างไรให้สติเราระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบที่บังคับให้สติ สมาธิเกิดเท่านั้น

ไม่ว่าจะเดินจงกรม จะภาวนาแบบไหนก็ตาม ในเมื่อเกิดสมาธิแล้วเราจะเอามาใช้งานจริงได้อย่างไร นั่นจึงสำคัญที่สุด เพราะว่าเราจะไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ทุกวัน ๆ ตลอดเวลา ทำอย่างไรที่อันดับแรก เราตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อนที่จะไม่ให้หัวร้างข้างแตก แล้วหลังจากนั้นค่อยทำอย่างไรถึงจะหลบเลี่ยงจากสภาวะนั้น ๆ ไม่ให้โดนอีก แล้วท้ายที่สุด ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสภาวะนั้นอีกเลย

ถาม : เวลาเรานั่ง การนั่งเราไม่ค่อยชอบ แต่ทุกอิริยาบถเราทำตลอดเวลา
ตอบ : ถ้าทำทุกอิริยาบถได้จะดีกว่า

ถาม : ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบการนั่ง
ตอบ : ไม่จำเป็น ไม่ว่าคุณจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อะไรก็แล้วแต่ ให้สติควบคุมอยู่ตลอด อย่าหลุดไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง อย่าให้นิวรณ์ ก็คือความรักระหว่างเพศ ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย อย่าให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา

ให้จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้านี้ตลอดไป ถ้าใครทำได้ งานทุกอย่างจะดีมาก เพราะมีสติจดจ่ออยู่ตรงหน้า งานก็คืองานอย่างเดียว จดจ่ออยู่ตรงนี้เลย รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้าไม่ได้

ถาม : ถ้าเกิดขึ้นมา แวบขึ้นมา เราตัดให้เร็ว ?
ตอบ : ถ้ารู้ตัวก็รีบผลักออกไปให้เร็วที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2011 เมื่อ 06:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 27-08-2011, 04:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งสมาธิ จะมีการเรอตลอดเวลา จะทำให้อาการสมาธิขาดไป เราจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : อาการอย่างนั้น ภาษาพระเรียกขันธมาร คือร่างกายรบกวนเพื่อให้เราเสียสมาธิ

ถาม : จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : เรารู้ตัวว่าจะเรอก็เอาสติกดอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย อย่าให้สมาธิเคลื่อน แล้วค่อยเรอ ให้รู้ตัวไว้ก่อน

ถาม : ให้เรารู้ตัวว่าเราเรอออกมา ?
ตอบ : จะได้ไม่หลุดไปไหน จะได้รู้ตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วพอเรารู้เท่าทัน เขาแกล้งไม่ได้..เดี๋ยวก็เลิกไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2011 เมื่อ 06:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 27-08-2011, 05:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาอุทิศส่วนกุศลถวายในหลวงจะถึงหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราตั้งใจ สิ่งแรกที่ได้คือตัวเราเอง สิ่งไหนที่ทำแล้วให้ตัวเองเจริญ ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราพึงกระทำ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่าไปคิดถึงตรงนั้น เพราะว่าถ้ามัวแต่ไปลังเลอยู่ เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2011 เมื่อ 06:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 27-08-2011, 05:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คุณแดง (มงคล จอมผา) เป็นบุคคลในตำนาน ลงหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์อยู่บ่อย ๆ บางทีอาตมาไม่เจอหน้าเขา ถามแม่ทองดีว่า "แม่ ๆ ไอ้แดงล่ะ? ได้โทรมาบ้างหรือเปล่า?" แม่เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ?

“ไม่โทรมาแปลว่าสบายดี ถ้าโทรมาเมื่อไรแม่ต้องเดือดร้อนควักเงินทุกทีเลย” แม่เขาทำใจได้เลยนะ เขารู้นิสัยลูกเขา ถ้าไม่โทรมาแปลว่าสบายดี โทรมาเมื่อไรแม่เตรียมจ่ายได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องเป็นแม่ที่ไม่หวังให้ลูกโทรมา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 27-08-2011 เมื่อ 17:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 27-08-2011, 05:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพี่ประทีป (พระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี) เป็นพระรูปเดียวในวัดที่ไปขอลาสึก แต่หลวงพ่อไม่อนุญาต ปกติใครลาสึกไม่ว่าจะขนาดไหน หลวงพ่อให้สึกหมด ขนาดหลวงพี่ชัยศรีที่ใคร ๆ คิดว่าจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อได้ยังให้สึก แต่หลวงพี่ประทีปหลวงพ่อไม่ให้สึก

ที่ขำที่สุดก็คือ พอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่ประทีป อาตมา ท่านสมนึก ๓ คนเฝ้าศพหลวงพ่ออยู่ทุกคืน คอยเปลี่ยนผ้าครอง คอยเช็ดตัวถวายหลวงพ่อ ปรากฏว่าพอทำบุญครบ ๑๐๐ วันเสร็จ หลวงพี่ประทีปก็คิดจะสึก รุ่งเช้าท่านเดินหัวปูดมาเลย อาตมาถามว่าไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่า "เมื่อคืนโดนป๋าตีกบาลมา..!" ถามว่าโดนตอนไหน "ตอนเข้ามุ้ง"

พี่เขาคิดว่างานเสร็จก็จะสึกแล้ว ปรากฏว่าก้มหัวเข้ามุ้ง เสียงเปรี้ยง..! ดาวขึ้นว่อนเลย สรุปแล้วตอนตายท่านตีเจ็บกว่าตอนเป็นอีก หัวปูดเป็นลอนเลยนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2011 เมื่อ 06:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 27-08-2011, 17:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๖ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะปฏิบัติตนแบบอารยชน ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษามาจากตะวันตก พูดภาษาชาวบ้านก็คือจะมีผัวเดียวเมียเดียว แต่งงานกับใครก็ให้มีการจดทะเบียนสมรส เพื่อให้มีการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่พระองค์ท่านเมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ไม่มีทั้งพระโอรสทั้งพระธิดา ก็ต้องทรงหย่า แล้วก็อภิเษกสมรสใหม่ จนกระทั่งมาถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ถึงได้มีพระประสูติกาล แต่ว่าเป็นพระราชธิดา ช่วงนั้นพระองค์ท่านรอคอยว่าจะมีผู้สืบราชสมบัติหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่พระอาการประชวรหนักมากแล้ว

พอเจ้าพระยารามราฆพแจ้งว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติกาลแล้ว แต่ไม่ได้เสียงประโคม พระองค์ท่านก็ทราบทันทีว่าเป็นพระราชธิดา เพราะถ้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอจะมีการประโคมแตรสังข์ ฆ้อง กลอง มโหระทึก ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณี พระองค์รับสั่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ลูกผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน” แล้วก็หมดพระสติ หลังจากนั้นไม่นานก็เสด็จสวรรคต

พระมเหสีในรัชกาลที่ ๖ ที่ได้รับการสถาปนาก็มีสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา, สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ส่วนพระนางเธอลักษมีลาวัณ ไม่ได้รับการสถาปนา ต้องเรียกว่าเลื่อนพระยศให้ แต่ไม่ถึงระดับสมเด็จพระนางเจ้า สรุปแล้วว่าพระองค์ท่านถึงจะมีพระมเหสีหลายองค์ แต่ว่าทรงจดทะเบียนสมรสครั้งละ ๑ องค์เท่านั้น พอเห็นว่าไม่มีพระโอรสพระธิดาจริง ๆ ถึงได้ทรงหย่า แล้วก็ทรงจดทะเบียนสมรสกับพระองค์ใหม่

พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่างให้ไพร่ฟ้าประชากรทั้งหมดในเรื่องของการมีผัวเดียวเมียเดียว ในเมื่อพระองค์ท่านทำตัวเป็นตัวอย่างแล้ว ใครที่คิดจะมีหลาย ๆ คนก็ต้องคิดให้ดีว่าเลี้ยงไหวหรือเปล่า?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 28-08-2011 เมื่อ 04:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 28-08-2011, 10:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นลูกพี่ลูกน้องของในหลวง ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่อาวุโสสูงสุด

พระองค์ท่านเสด็จทรงงาน ระยะหลังแม้กระทั่งประทับนั่งรถเข็นก็ยังไป พระบรมวงศานุวงศ์ของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติจนกระทั่งวาระสุดท้ายแทบทั้งนั้น ในเมื่อพระองค์มีพระยศสูงมาก โดยเฉพาะเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ก็ต้องมีการพระราชทานเพลิงโดยสร้างพระเมรุมาศ

อยากจะบอกว่าพวกเราเกิดมาในวาระที่เหมาะสมก็ใช่ ที่ไม่เอาไหนเลยก็ใช่ เพราะว่าในช่วงชีวิตของอาตมา งานใหญ่ ๆ ซึ่งไม่น่ามีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น

อย่างงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เมื่อปี ๒๕๑๔ ก็คืองานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ครบ ๒๕ ปี

งานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีเมื่อปี ๒๕๒๕

งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ปี ๒๕๒๘

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๐

งานฉลองรัชมังคลาภิเษกปี ๒๕๓๑

งานฉลองสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๕

งานถวายพระเพลิงสมเด็จย่า ปี ๒๕๓๙

แล้วก็มางานฉลองกาญจนาภิเษก ในหลวงทรงครองราชย์ ๕๐ ปี ปี ๒๕๓๙

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ ปี ๒๕๔๒

งานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ ๖๐ ปี ปี ๒๕๔๙

งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ปี ๒๕๕๐

งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ปี ๒๕๕๑

มาปีนี้ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา

ปีหน้าจะมีงานใหญ่ ๒ งาน คืองานฉลองสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา กับงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา แล้วยังต้องมีงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีอีกด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 03-09-2011 เมื่อ 03:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 28-08-2011, 10:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จากที่กล่าวมา เรามีโอกาสได้เห็นงานฉลองต่าง ๆ ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะมีการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติงาม ๆ จะได้เห็นแนวความคิดของบุคคลว่า เขาจะทำซุ้มเฉลิมพระเกียรติออกไปในแนวไหน

ได้เห็นพระเมรุมาศตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระเมรุมาศของสมเด็จย่า พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แล้วที่จะได้เห็น คือ พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

ก็แปลว่า ในชั่วชีวิตของคนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น หรือได้เห็นน้อยมาก แต่พวกเราเห็นกันจนเบื่อไปเอง กระบวนเรือพระราชพิธีที่มีโอกาสได้เห็นน้อยมาก ก็มารื้อฟื้นขึ้นมาในรัชสมัยของในหลวงองค์ปัจจุบัน

พระราชพิธีพระราชทานเลี้ยงกษัตริย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ทั่วโลก จะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสได้เห็น ถ้าไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้ แต่จะว่าไปแล้วบรรดาพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานรื่นเริงก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะได้รู้ได้เห็น เก็บเอาความงดงามอลังการของราชประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของชาวบ้าน เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้

แต่ว่าในส่วนของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ดี พระราชทานเพลิงก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้น้อยเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่นี่ขนาดเห็นน้อย ๆ แล้ว ชั่วชีวิตของอาตมาเห็นมาเสียเยอะแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-08-2011 เมื่อ 16:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 29-08-2011, 06:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำงานที่ใหม่จะดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : เรื่องของงาน เราจะต้องได้ที่ทำงานใหม่แน่ ๆ ก่อน จึงค่อยออกจากที่เดิม งานไม่ว่าที่ไหนปัญหาก็คล้าย ๆ กัน ก็คือปัญหาเรื่องงาน ปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน

ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันเพราะกิเลสคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราไปที่ไหนก็เจอปัญหา แต่ว่าที่เก่าดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เรารู้แล้วว่าจะหลบหลีกอย่างไร ถ้าเป็นที่ใหม่เราก็ต้องไปเริ่มต้นกันใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2011 เมื่อ 12:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 29-08-2011, 06:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างเราตั้งใจสวดคาถาเงินล้านวันละกี่จบ แต่บางครั้งเวลาสวดอาจจะง่วง มีขาดมีเกินในบางวัน ?
ตอบ : เกินดีกว่าขาด ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจก็ให้สวดเกินเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2011 เมื่อ 12:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 29-08-2011, 06:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนไปประเทศพม่า อาตมาไปเจอพระแกะจากหยกสีม่วงอ่อน เขาคิดราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่กล้าซื้อ แกะสวยมาก หยกเขาไม่มีตำหนิ ใสปิ๊งเลย ต่อเท่าไรก็ไม่ลด ไม่เคยเห็นหยกสีม่วงที่สวยสมบูรณ์อย่างนั้นมาก่อน"

ถาม : หยกสีม่วงดีอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าหยกสีม่วงพลังงานจะเหมาะกับตัวเรา ในด้านปกป้องคุ้มครองถือว่าเป็นสีที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่าราคาแพงเหลือใจ

คนพม่าขายของไม่เป็น ขนาดสอนเขาแล้วนะ บอกเขาว่าคุณลดราคาให้ต่ำลงหน่อยแล้วจะขายได้มากขึ้น เท่ากับว่าได้กำไรมากขึ้นเอง แต่เขาก็ไม่ทำ เขายืนราคาตายตัวทั้งชาติ แม้แต่จั๊ตเดียวก็ไม่ลด ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เจอในลักษณะนั้นทั้งหมด

แต่ก็ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน ถ้าเราให้คนพม่าที่เรารู้จักไปซื้อ จะได้อีกราคาหนึ่ง ในระยะหลังจะใช้วิธีจ้างโชเฟอร์ไปซื้อ ผมอยากได้พระองค์นั้นคุณไปจัดการให้ที เดี๋ยวผมจะให้รางวัลคุณเท่าไรก็ว่าไป เพราะเราไปจะเจอราคานักท่องเที่ยวซึ่งต่างกัน ๓-๔ เท่า ใช้เขาไปซื้ออย่างไรก็ถูกกว่า บอกเลยว่าให้ไปซื้ออะไรแล้วจะให้ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ จั๊ต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 03-09-2011 เมื่อ 03:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 29-08-2011, 17:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่ พอยิ่งอายุมาก จิตใจจะยิ่งยึดเกาะลูกเป็นที่พึ่ง ถ้าลูกทำอะไรเป็นที่ถูกใจพ่อแม่ก็จะยิ่งปลื้มใจ เพราะฉะนั้น..ทำดีกับพ่อแม่ให้มาก ๆ เข้าไว้ กุศลนี้มักจะส่งผลให้เราในชาติปัจจุบันนี้แหละ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2011 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 29-08-2011, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำดำกินแล้วอ้วน แถมยังกระเพาะพังด้วย เขาทดลองว่าเอาน้ำดำมาหนึ่งลิตรครึ่ง ใส่ตะปู ๓ นิ้วลงไป ปิดฝาแล้วเขย่า ๆ ตั้งไว้หนึ่งอาทิตย์ เทออกมาดูตะปูเหลือบางนิดเดียว กัดเหล็กขนาดนั้นแล้วกระเพาะเราจะเหลือหรือ ?

ส่วนกาแฟทำให้เป็นโรคหัวใจในอนาคต เพราะว่าไปเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น พอถึงเวลาอัตราการเต้นของหัวใจก็ลดลงมาสู่อัตราปกติ แล้วก็โดนเร่งใหม่ แล้วก็ลดลงมาอีก ทำให้การเต้นหัวใจผิดปกติไปด้วย จะกลายเป็นโรคหัวใจเมื่อตอนอายุมากขึ้น เพราะฉะนั้น..คนที่ดื่มกาแฟก็เตรียมเงินไว้ผ่าตัดหัวใจด้วย เพราะต้องได้ผ่าแน่ ๆ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2011 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 29-08-2011, 20:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนใต้จะผิวดำกว่าคนภาคเหนือ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อุตุนิยาม

มีนิยาม ๕ อย่าง ที่ทำให้บุคคลต่างกัน อุตุนิยาม คือสภาพดินฟ้าอากาศ คนในเขตร้อนอย่างแอฟริกาตัวดำปี๋เลย ถ้าอยู่ในเขตหนาวอย่างยุโรปก็ผิวขาว ถ้าอยู่ในเส้นศูนย์สูตรอย่างพวกเราก็ผิวเหลือง อันนี้คืออุตุนิยาม

พีชนิยาม คือเกิดจากดีเอ็นเอ (พีชะ คือ พืชพันธุ์) เกิดจากสายเลือด ทำให้เราต่างกันไป จิตนิยาม เกิดจากสภาพจิตใจของตนที่อบรมบ่มเพาะมา คนที่มีสภาพจิตใจอ่อนโยน ประกอบด้วยเมตตาเกิดมาก็สวยงามดูดี คนที่จิตใจประกอบด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็ดูไม่ได้

กรรมนิยาม เกิดจากการกระทำของตน กรรมดีกรรมชั่วที่สร้างมาส่งผลให้ต่างกันไป ธรรมนิยาม อันนี้ต้องบอกว่าธรรมะจัดสรร ถ้าหากว่าธรรมนิยามบางส่วนที่จะอธิบายนอกเหนือจากพระไตรปิฎก ก็ต้องบอกว่าเป็นการผ่าเหล่าตามกฎของเมนเดล ที่มีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑ แต่การผ่าเหล่านี้ก็เพราะสิ่งที่เขาสร้างสมมานั่นแหละ บางทีก็ผ่าเหล่าจนกลายเป็นอัจฉริยมนุษย์สุดประเสริฐอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก็มี

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของนิยาม ๕ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด จำแนกบุคคลและสัตว์ให้แตกต่างกันไป คนภาคเหนือของเราผิวขาว ภาคกลางก็คล้ำหน่อย ภาคใต้ก็ผิวดำเลย ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ

แม้กระทั่งสัตว์ก็เหมือนกัน เสือดาวอยู่แถวภาคเหนือ ภาคกลาง พอลงภาคใต้กลายเป็นเสือดำ วัวแดงอยู่แถวภาคกลาง พอลงไปปักษ์ใต้จะเป็นสีออกตาลโตนด คือออกเข้ม ๆ เหมือนวัวดำ เพราะฉะนั้น..เราต้องยอมรับว่าต่างกัน

เรื่องผิวดำ ถ้าไปถามน้องกรวดฯ ก็บอกว่า ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ เขาปลื้มใจในความดำของเขาเอง เขาตากแดดอย่างไรก็ไม่ดำไปกว่านั้น ส่วนเราตากแดดหน่อยเดียวก็เกรียมเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2011 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 30-08-2011, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สิ่งที่รู้ จะทำอย่างไรถึงรู้ว่าจริง ?
ตอบ : เชื่อไม่ได้สักครั้งเดียว แต่ให้รับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นตามนั้นจริงแล้วค่อยเชื่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2011 เมื่อ 20:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 30-08-2011, 09:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณที่เรียกง่าย ๆ ว่าตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น

ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่ง ก็คือ อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว และเตโชกสิณ กสิณไฟ

แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคตเขาก็ไปดูในอ่างน้ำ อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็นทิพจักขุญาณด้วย เพราะฉะนั้น..ใครทำอาโปกสิณจะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ...

แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึกมโนมยิทธิจะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อตีตังสญาณ

รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตังสญาณ รู้ปัจจุบัน เรียกว่า ปัจจุปันนังสญาณ รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไรและจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2011 เมื่อ 20:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:22



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว