กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านเติมบุญ

Notices

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 28-04-2017, 16:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ยุคสมัยรัชกาลที่ ๔ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม กลางวันแสก ๆ หลวงพ่อท่านจุดไต้เข้าวัง พอรัชกาลที่ ๔ เห็นก็ตรัสว่า “ขรัวโต...โยมเข้าใจแล้ว” หลวงพ่อโตท่านก็เอาไต้ทิ่มกับกำแพงวังเพื่อดับ

ยุคต่อมาบ้านเรามี ส.ส. ก็มีส.ส.ขี่ควายถือตะเกียงเจ้าพายุกลางวันแสก ๆ เข้าสภา ไปถามเหตุผล ท่านบอกว่า “ยุคมืด” กลางวันก็เลยต้องถือตะเกียงเจ้าพายุไปด้วย อาตมาก็เลยสงสัยว่ายุคนี้จะมีใครกล้าที่จะจุดตะเกียงหรือถือไฟฉายตอนกลางวันไปบ้าง ม.๔๔ ใช้ส่งเดชไม่ได้เพราะว่ามีรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าขัดรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวนี่ซวยเองเลย

คราวนี้ในเรื่องของยุคมืด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีที่พึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการพึ่งตัวเอง ความจริงเราใช้คำว่าพึ่งตัวเอง คือ ทำให้ตัวเองมีเกาะ มีฝั่ง ก็คือ ที่ยึดที่พัก โดยเฉพาะการพักกำลังใจตัวเอง การทำตัวให้เป็นเกาะ เป็นฝั่ง คือ พึ่งตัวเองได้ในท่ามกลางกระแสทุกข์

ท่านบอกว่าต้องมีศรัทธา มีศีล มีพาหุสัจจะ มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา โห...มีเยอะมาก ความจริงมีข้อเดียวก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าให้มาตั้ง ๕-๖ ข้อ

ข้อแรก ศรัทธา คือความเชื่อมั่น อรรถกถาจารย์ท่านขยายความเชื่อมั่น ว่ามีเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เห็นว่าคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง ก่อประโยชน์ให้กับผู้ที่ยึดถือจริง ๆ

ข้อที่ ๒ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือสิ่งที่เรายึดถือด้วยความเชื่อว่า สามารถคุ้มครองป้องกันรักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยได้จริง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเป็นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ประมาณนั้น

ข้อที่ ๓ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในผู้นำ ช่วงก่อนนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต คนทั้งประเทศรู้สึกว้าเหว่มาก พอมีในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นมาเราก็รู้สึกมั่นใจขึ้น รู้สึกชีวิตมีทิศทางที่มั่นคงขึ้น อันนี้คือเชื่อมั่นในผู้นำ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-04-2017 เมื่อ 18:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 28-04-2017, 16:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า เชื่อมั่นในตนเอง บุคคลที่จะเชื่อมั่นในตนเองได้ ต้องประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ระดับหนึ่ง ในระดับที่เห็นว่าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง กำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา จะคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรมจริง ๆ ไปไหนก็ไม่ต้องเก้อเขินกับใคร ไม่ต้องหวั่นเกรงใคร เพราะมั่นใจในความดีที่ตัวเองทรงตัว ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตถาคตนั่งอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี อยู่ในหมู่ท้าวมหาราชก็ดี อยู่ในหมู่พระมหากษัตริย์ก็ดี อยู่ในหมู่พราหมณ์มหาศาลก็ดี ตถาคตไม่มีความเก้อเขินใด ๆ เพราะว่ามั่นใจด้วยฐานะทั้ง ๔”

ฐานะทั้ง ๔ คือ ตถาคตปฏิญาณว่าหมดกิเลสแล้วก็หมดกิเลสจริง ๆ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้เองโดยชอบก็ตรัสรู้เองโดยชอบจริง ๆ ตถาคตกล่าวสอนธรรมเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากก็เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากจริง ๆ ไม่ได้เพื่อตัวเอง แบบนี้เป็นต้น

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้หากว่าเรายึดมั่นในคุณความดี มีความมั่นใจจริง ๆ ต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นยุคมืดขนาดไหนก็ตาม เราสามารถที่จะยืนหยัดและฝ่าฟันผ่านไปได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอาศัยหลักธรรม ๕-๖ หมวด เอาศรัทธาข้อเดียวก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำจริง ๆ พอเกิดผลแล้วจะเกิดความมั่นใจขึ้นกับตนเอง พอมั่นใจก็ “เอหิปัสสิโก” ก็คือสามารถท้าพิสูจน์ เรียกให้คนอื่นมาดู มาดูเพราะว่าเราทำได้จริง ไม่ต้องอายใคร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2017 เมื่อ 16:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 28-04-2017, 16:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เห็นรัฐบาลว่าเศรษฐกิจดี ดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าพระอยู่แต่ในวัด อาตมาต้องคอยเตือนพระอยู่เรื่อย ๆ บิณฑบาตมาอย่าเลือกอาหาร เพราะอาหารที่ใส่บาตรมาญาติโยมได้มาโดยยาก เดี๋ยวนี้อาหารใส่บาตรมีข้าวถุงหนึ่ง กับถุงหนึ่ง น้ำอีกถ้วยหนึ่งราคา ๖๐ บาทเป็นอย่างต่ำ ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทซื้อ ๕ ถุงก็หมดแล้ว ก็แปลว่านอกจากเขาต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังแบ่งปันมาทำบุญถวายพระอีก ตัวเองไม่รู้ว่าจะมีกินหรือเปล่า ? แต่ขอถวายพระไว้ก่อน กำลังใจที่ถวายมาขนาดนั้น ของทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของสำคัญทั้งสิ้น

ส่วนใหญ่พออยู่วัดนาน ๆ แล้วลืมไปว่า ญาติโยมลำบากแค่ไหน แทนที่จะทำเพื่อส่วนรวม บางคนก็เผลอทำเพื่อความสุขส่วนตัว สร้างกุฏิสวย ๆ ติดเครื่องปรับอากาศ หารถยี่ห้อดี ๆ มาขี่ บางท่านมีเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์ชุดใหญ่อยู่ในกุฏิ

อาตมาเองดุเพื่อนมาหลายคนตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีปริญญาโทอยู่ ดุไปดุมาบางคนเริ่มเห็นดีเห็นงามก็ทำตาม กลายเป็นแปลกแยกจากหมู่พวกเขาอีก ที่ดุเขาก็คือว่าเพิ่งทอดกฐินเสร็จแล้วทะลึ่งไปซื้อรถ..! ต่อให้คุณซื้อด้วยเงินส่วนตัวคนเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อ สมมุติว่าเขาทอดกฐิน ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างโบสถ์ ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างศาลา ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างเมรุ แต่อยู่ ๆ คุณเอาไปซื้อรถ แล้วชาวบ้านเขาจะคิดอย่างไร ?

อดใจเอาไว้หน่อยสัก ๖ เดือน ๘ เดือนแล้วค่อยไปซื้อ ต่อให้คุณเอาเงินกฐินไปซื้อชาวบ้านเขาก็ไม่ว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าทอดกฐินวันนี้พรุ่งนี้ออกรถป้ายแดง นั่นสมควรตาย...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2017 เมื่อ 16:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 28-04-2017, 16:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาเป็นคนปากเสียมาแต่ไหนแต่ไร ว่าเพื่อนเสีย ๆ หาย ๆ รับกฐินปุ๊บไปเที่ยวอินเดียปั๊บ น่าตายไหมล่ะ ? ชาวบ้านเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อตั๋วเครื่องบิน เอาเงินกฐินไปซื้อทัวร์ น่าทุบสักพลั่ก...! พระเราอยู่ในสายตาชาวบ้านเขาตลอดเวลา ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังรักษาศรัทธาของเขา นอกจากตัวเราจะทำให้เขาเสื่อมศรัทธาแล้ว อาจจะทำให้เกิดในสภาพที่ว่าเขาพลอยเสื่อมศรัทธาในพระอื่น ๆ ไปหมด คราวนี้ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากการกระทำของเราเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2017 เมื่อ 16:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 28-04-2017, 16:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระวัดท่าขนุนไปเรียนบาลีที่สำนักใหญ่ ไปก็ยังคงยึดระเบียบวัดท่าขนุน คือสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น เจริญกรรมฐานเช้าเย็น ออกบิณฑบาตตามปกติ ปรากฏว่าไปสุมรวมกันอยู่คณะหนึ่งก็คือคณะ ๒ ของท่านอาจารย์มหาสมคิด เปรียญธรรม ๙ ประโยค เขาก็เลยไปลือกันว่าคณะ ๒ นั้นเคร่ง

ถามว่าทำไมคณะนั้นเคร่ง ? เพราะว่าคณะอื่นไม่สวดมนต์ ไม่ทำวัตร ไม่เจริญกรรมฐาน ไม่บิณฑบาต ไม่ทุกอย่างที่พระควรทำ เอาแต่ท่องหนังสืออย่างเดียว แต่คราวนี้เขาว่าเคร่งก็โจมตีอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่าพระของเราไปถึงก็ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ของสำนักหรือของสนามใหญ่อยู่เสมอ ๆ

อาตมาเองในฐานะผู้บังคับบัญชาอบรมสั่งสอนเขาไป แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความใฝ่ดีของพระท่านเอง แต่ก็ภูมิใจว่าท่านสามารถรักษาความดีเอาไว้ได้ ไม่ไหลตามกระแสเขาไป ในสำนักเรียนใหญ่ ๆ เดินแค่ ๒ เสาไฟฟ้าอาหารก็ล้นบาตรแล้ว ยังต้องไปรบกวนญาติด้วยการให้เขาเอามาถวายถึงกุฏิทำไม ? อาตมาเคยลองไปเดินเอง ๒ เสาไฟฟ้าจริง ๆ ทั้งหอบทั้งหิ้วล้นบาตรมาเลย

ปีนี้วัดท่าขนุนได้มหาเปรียญเพิ่มมา ๒ รูป แล้วก็มีพระอีก ๒ รูปขออนุญาตไปเรียนเพิ่ม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะว่าช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยเรียน
บาลีกัน เพราะว่ายาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2017 เมื่อ 16:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 30-04-2017, 18:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความจริงบาลีมาจากคำว่า “ปาละ” ที่คนไทยว่าบาล แปลว่ารักษา คือรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ ถ้าเรียนแล้วสามารถแปลได้ถูก แปลได้ตรง จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เพราะระยะหลังมีการแปลผิดกันในหลายส่วน แต่ว่าเขาก็ปล่อยกันเลยตามเลย เพราะว่าผิดแล้วดีกับตัวเอง

ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ถ้าเรียนบาลีได้ก็จะดี แต่ส่วนใหญ่แล้วทนความยากลำบากของบาลีไม่ไหว อาตมายืนยันได้เพราะว่าจบปริญญาเอกมา ถ้าใครจบประโยค ๙ นี่จบปริญญาเอกได้ ๓ ใบเลย บาลียากกว่ามาก แต่จบบาลีประโยค ๙ เขาเทียบวุฒิให้เท่าปริญญาตรีเท่านั้น

บาลีประโยคที่ ๑ ถึง ๘ พอเรียนจบมาจะได้ประกาศนียบัตร แต่บาลีประโยค ๙ จบมาจะได้ปริญญาบัตร เพราะว่า ก.พ.ยอมรับว่าเป็นปริญญาตรี เสียเวลาเรียนนานมาก เพราะสอบไม่ตกเลยแบบสุดยอดอัจฉริยะก็ ๘ ปีจบ เนื่องจากประโยค ๑ กับ ๒ เรียนควบกัน

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพปริยัติมุนี หรือท่านเจ้าคุณมีชัย วัดหงส์รัตนาราม สมัยที่ยังเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นอาจารย์สอนบาลีอาตมาด้วย สอนกฎหมายคณะสงฆ์ด้วย ท่านบอกว่าผมสอบ ๘ ปีได้ ๙ ประโยคก็จริง แต่ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ ผมท่องหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง สูบบุหรี่วันหนึ่ง ๒ ซอง ๓ ซอง เพราะว่าเครียดมาก ทั้งผอมทั้งดำจนเพื่อนคิดว่ามะเร็งรับประทานแล้ว มาเลิกบุหรี่ตอนที่จบประโยค ๙ แล้ว ไม่เครียดแล้ว

แต่ก็ต้องบอกว่าท่านเก่งนะ ระดับสูบบุหรี่ ๒-๓ ซองต่อวัน ท่านเลิกได้นี่สุดยอดกำลังใจจริง ๆ พอท่านสอนอาตมาผ่านปริญญาโทไปเรียนปริญญาเอก ปรากฏว่าท่านก็ย่องตามไปเรียนปริญญาเอกบ้าง ...(หัวเราะ)... อาจารย์ไล่ตามลูกศิษย์ แต่ตอนนี้ท่านจบแล้ว เจอหน้าก็นั่งหัวเราะกันว่า เออ...ดร.หน้าตาเป็นอย่างนี้เองนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 30-04-2017, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรียนมาแล้วอาตมารู้สึกว่าตัวเองรู้นิดเดียว เพราะว่าปริญญาเอกเขาให้เลือกเอาเรื่องเดียว เพียงแต่ว่าจะรู้ลึกในเรื่องนั้นมากกว่าคนอื่น แล้วคนอื่นไม่สามารถเรียนซ้ำในจุดของเราได้ อาศัยได้แค่อ้างอิงเท่านั้น ใครคิดว่าจบปริญญาเอกแล้วรู้ทุกเรื่องนี่ไม่ใช่นะ รู้ทุกเรื่องมีองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า จบปริญญาเอกแล้วรู้เรื่องเดียว...น่าสงสารมากเลย สู้เรียนปริญญาตรีไม่ได้ เรียนทีเป็นสิบ ๆ วิชา

ปีนี้พระวัดท่าขนุนเรียนระดับประกาศนียบัตรเพิ่ม ปริญญาตรีก็น่าจะเพิ่ม ปริญญาโท ๖ รูปกับ ๑ คน คือ เรียนอยู่ ๗ ส่วนปริญญาเอกเรียนอยู่ ๓ แต่ละเดือนอาตมาจ่ายค่าเรียนแสนกว่าบาท อย่างที่วันนี้มาแล้วโยมเห็นนั่นแหละ เบิกกันคนหนึ่ง ๕,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ บาท วัดท่าขนุนปัจจุบันก็เลยแบ่งเป็น ๒ สาย คือ สายเรียนกับสายปฏิบัติ แต่ว่าทั้ง ๒ สายพอถึงเวลาวัดมีงานต้องมาทำงานร่วมกัน จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เพราะว่าเจ้าอาวาสเผด็จการ ไม่ยอมให้ขัดแย้ง ใครทะเลาะกันไล่ออกจากวัดทั้งคู่ โดนไปหน่อยเดียวก็เลยเข็ดไปตาม ๆ กัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 30-04-2017, 18:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ก็ไม่กี่วันที่ผ่านมา งานวันเกิดอายุ ๗๒ ปี ของหลวงพ่อพระครูสุชาตกาญจนโกศลหรือหลวงพ่อมณฑล วัดทุ่งสมอ จริง ๆ วัดท่านชื่อ วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส หลวงพ่อมณฑลประกาศสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ ยกพื้นที่ ๖,๐๐๐ ไร่ให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปบริหารแทน

ท่านประกาศท่ามกลางสงฆ์และพระเณรทั้งหมดที่ไปร่วมงานเป็นพัน ๆ คนบอกว่า “ดูหมดทั้งจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว เห็นจะมีแต่ท่านอาจารย์เล็กเท่านั้นแหละที่จะบริหารวัดนี้ได้” เพราะว่าคนส่วนใหญ่แล้วไปอาศัยวัด ส่วนอาตมามีนิสัยว่าถ้าไปที่ไหนต้องให้ที่นั่นอาศัยเรา ก็คืออย่าไปอยู่เฉย ๆ ให้สร้างประโยชน์กับสถานที่ให้มากที่สุด

ตอนนี้กำลังเฟ้นหาเจ้าอาวาส ท้ายสุดก็ขอตัวลูกศิษย์ท่านหนึ่งคือ พระครูกาญจนปริยัติคุณ (พระครูบ่าว) เจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท บอกว่า "คุณย้ายวัดทีเถอะ ไปช่วยเป็นเจ้าอาวาสดูแล ๖,๐๐๐ ไร่นี้ให้ผมก่อน เดี๋ยวผมจะหาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทใหม่เอง"

แล้วก็เอาบรรดาพระครูฐานานุกรมของเรามาจับสลากกัน ปรากฏว่าสมุห์ชาย (พระสมุห์ธนกฤต ขนฺติพโล) จับสลากได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท เดี๋ยวหลังสงกรานต์อาตมาจะไปเดินเรื่องให้ เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสเพราะจับสลากได้ก็อย่าไปเถียงเขานะ เพราะว่าต้องจับสลากจริง ๆ ที่อื่นเขาแย่งกันเป็นเจ้าอาวาส ของเรานี่เกี่ยงกันดีนัก จึงต้องให้จับสลาก

สรุปแล้วถ้าหากว่าพระวัดท่าขนุนมารวมกันจริง ๆ นี่มีเป็นร้อยเลย เพียงว่าไปเป็นเจ้าอาวาสที่โน่นที่นี่บ้าง พอบอกว่าจะเอาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทไปอยู่ที่โน่น เจ้าคณะอำเภอโวยเลย "แล้วใครจะช่วยงานผม ?" บอกท่านว่า "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสนับสนุนยานพาหนะ" เพราะว่าที่โน่นต้องใช้รถขับเคลื่อน ๔ ล้อ ให้ท่านเข้าออกมาช่วยงานเจ้าคณะอำเภอได้ เดินทางเข้าป่าค่อนข้างจะลึก หน้าฝนถ้าไม่มีขับเคลื่อน ๔ ล้อนี่ออกไม่ได้ บางช่วงนี่ ๔ ล้อยังจมเลย แต่คนอื่นไปท่านก็ไม่ค่อยจะอดทนพอ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 30-04-2017, 18:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าถามว่าต้องอดทนแค่ไหน ? ท่านอยู่วัดพุทธบริษัทมาจนบัดนี้ ๑๖-๑๗ ปี มีกิจนิมนต์ไม่ถึง ๑๐ ครั้ง ระยะแรกอาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ ตอนหลังหากฐินให้ทุกปีท่านถึงได้อยู่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็เตลิดเปิดเปิงไปนานแล้ว อย่างพระวินัยธรกอล์ฟของเราไปอยู่ ๓ ปี มีกิจนิมนต์ ๑ ครั้งได้มา ๑๐๐ บาท ๓ ปีใช้เงิน ๑๐๐ บาทจะอยู่ไหวไหม ? อาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ บอกว่า ไปอยู่เถอะ...เดี๋ยวให้คนละ ๓,๐๐๐ บาท

บางครั้งการเป็นผู้บังคับบัญชาเขาก็จำเป็นต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถ้าท่านยืนได้ด้วยตัวเองเมื่อไรแล้วจะแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากว่าประคับประคอง ถึงเวลาลำบากก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้ โบราณท่านบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะว่าไปที่ไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นอีก

ตอนนี้วัดท่าขนุนจึงจะมีพระอยู่ ๔๐ รูป แต่แทบจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าเหลือนิดเดียว ตรงโน้นขออาทิตย์ละ ๓ รูป ตรงนี้ขออาทิตย์ละ ๒ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปบิณฑบาตให้ชาวบ้านเขา เพราะว่าคนในพื้นที่บวชไม่กี่วันก็สึก ก็ต้องเอาพระวัดท่าขนุนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เดินบิณฑบาตจนจะจำได้ทั้งจังหวัดอยู่แล้ว

เดี๋ยวพอชุดที่เรียนปริญญาโททั้ง ๗ กลับมาแล้ว กำลังพลค่อยอยู่ตัวหน่อย ตอนนี้กำลังพลหลัก ๆ ส่วนใหญ่ไปเรียนทั้งนั้น จะให้ต่อปริญญาเอกก็คงไม่เอาแล้วละ รับสมัครว่าที่เจ้าอาวาสนะ ใครคิดว่าภาระในชีวิตน้อยไปก็ไปบวชได้ รับรองว่าได้เป็นทุกคน ถ้าประเภทพระในวัดว่านอนสอนง่ายก็ดี แต่เดี๋ยวนี้จะไปหาเด็กที่ไหนว่านอนสอนง่าย ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 30-04-2017, 18:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตามคำทำนายของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ท่านบอกว่าหลังกึ่งพุทธกาลแล้วยักษ์นอกพุทธศาสนา จะลุกขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน ตายไปอย่างละครึ่งถึงจะยุติ บวกกับที่วันเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่พระท่านบอกว่าภาวะสงครามจะแผ่กว้างออกไป โดยเฉพาะสงครามก่อการร้าย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 30-04-2017, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(สอนลูกศิษย์ดูวัตถุมงคล) "ต้องดูว่ารักเก่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็รักจีนจะเป็นสีแดง ส่วนรักไทยเป็นสีดำ รุ่นเก่า ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรักจีน ของหลวงปู่เพิ่มเบี้ยแก้รุ่นหลัง ๆ ถึงจะเป็นรักไทย

ในวงการเครื่องรางของขลัง เขาจัดเบี้ยแก้ ๕ อันดับแรกเอาไว้ เบี้ยแก้อันดับ ๑ ไม่มีใครเทียมแน่นอน คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง ถามว่าทำไมเป็นเบี้ยแก้อันดับหนึ่ง ? ตอบว่าหายากที่สุด อาตมาเล่นเครื่องรางมาทั้งชีวิต ได้เห็นของจริงแค่ ๒-๓ ตัว

อันดับ ๒ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ความจริงต้องบอกว่าเป็นสหธรรมิกกัน แต่ของหลวงปู่บุญนี่ท่านทำอย่างอื่นดังมากด้วย หลวงปู่รอดแล้วส่วนใหญ่จะดังเบี้ยแก้กับตะกรุด แต่หลวงปู่บุญทำอะไรดังไปหมดทุกอย่าง เบี้ยแก้ของท่านก็เลยมีชื่อเสียงเป็นรองหลวงปู่รอด วัดนายโรง

อันดับสามเป็นของเบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อภักตร์จริง ๆ แล้วดังเรื่องตะโพนมากกว่า บรรดาศิลปินนักร้องนักแสดงนี่แสวงหากันสุดชีวิต เพราะว่าเป็นเมตตามหานิยม ใครจะสมัคร ส.ส. จังหวัดอ่างทอง ถ้าไม่มีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ไม่ต้องไปสมัครหรอก ไม่ได้รับประทานแน่ เพราะผู้สมัครท่านอื่นพกตะโพนกันนั้น เมตตามหานิยมขนาดไหน ? ขนาดให้คนเลือกเป็น ส.ส. ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมาดังเรื่องเบี้ยแก้ด้วย

อันดับสี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่บุญ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่มช่วยหลวงปู่บุญทำเบี้ยแก้มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร พอมาทำเองก็ขลังไม่แพ้อาจารย์ เพราะว่าใช้วิธีเรียกปรอทเข้าเบี้ย ไม่ได้เทเข้าไป

อันดับห้า คือ เบี้ยแก้หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อคำก็เรียกปรอทเข้าเบี้ยเหมือนกัน ถ้าใครจะไปเสาะเบี้ยแก้ในตำนานทั้ง ๕ อย่างนี้ มีทั้งราคาราคาเรือนแสนแถึงหลายแสน ถ้าหากว่ามีราคาต่ำ ๆ หน่อยให้รีบตะครุบเอาไว้เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2019 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 30-04-2017, 18:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนเบี้ยแก้อื่น ๆ ที่อาตมาเห็นว่าท่านเก่งจริง แต่เนื่องจากว่าทำน้อย แล้วอีกอย่างคือของอย่างอื่นท่านดังกว่า อย่างเช่น ของหลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี อันนี้เบี้ยแก้สายเหนียว ลูกศิษย์ไปขอเบี้ยแก้เมื่อไร สมัยก่อนต้องเดินเข้าสวนไป เดินกลับออกมาปากซอย เจอทั้งตี ทั้งฟัน ทั้งแทงเลย เขาอยากรู้ว่าหลวงพ่อเขายังเก่งอย่างเดิมหรือเปล่า ? แต่เขาไม่ได้คิดว่าคนโดนจะตายหรือเปล่า ? สรุปว่าใครไปขอเบี้ยแก้หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี ต้องเตรียมตัว เตรียมหัว เตรียมทุกอย่างที่จะโดนไปด้วย

เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ๓ ท่านนี้อยู่สายอ่างทอง สายอ่างทองกับสายวัดนายโรงเป็นคนละสายกัน ถ้าหากว่าสายวัดนายโรงนี่เป็นสายเดียวกับวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดีก็เป็นลูกศิษย์วัดนายโรง

เบี้ยแก้อื่นที่มีชื่อเสียงอีกก็เช่น หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เป็นเบี้ยแก้พอกครั่ง หายากมาก ๆ ที่หายากเกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกคือทำน้อย สาเหตุที่ ๒ คือลูกศิษย์หวงมาก เพราะว่ามีประสบการณ์เพียบ เป็นเบี้ยแก้สายเหนียวเหมือนกัน นอกจากล้างอาถรรพ์แล้ว ยังอยู่ยงคงกระพันอีกด้วย

แล้วก็มีเบี้ยแก้หลวงตากา วัดแค นครชัยศรี หลวงตากานี่ก็มาสายเหนียว เรียนเบี้ยแก้ไปจากวัดกลางบางแก้ว แต่เน้นเหนียวอย่างเดียว อย่างของหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่มท่านจะมีคาถากำกับอยู่ว่าทำอย่างไรจะเป็นเมตตา ทำอย่างไรจะล้างอาถรรพ์ ทำอย่างไรจะอยู่ยงคงกระพัน หลวงตากานิสัยชอบคงกระพันก็เอาตัวท้ายตัวเดียว แล้วยังมีเบี้ยแก้สายแม่กลอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่ก็สืบทอดไปจากวัดกลางบางแก้วทั้งนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 30-04-2017, 19:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเรื่องของเบี้ยแก้แล้วเน้นในเรื่องของการล้างอาถรรพ์ โดยเฉพาะพวกผีจะกลัวมากเป็นพิเศษ ที่ไหนผีดุ ๆ พกเบี้ยแก้ไปนอนได้สบายเลย เบี้ยแก้รุ่นหลังที่มีประสบการณ์ก็มีหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งตอนนี้ท่านก็สิ้นไปแล้ว หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน

แต่ของหลวงปู่เจือเล่นยากเพราะว่าของปลอมมีมาก คนทำปลอมก็คือคนที่ทำให้หลวงปู่เจือนั้นแหละ หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ ลูกศิษย์ทำขายหน้ากุฏิ หลวงพ่อท่านก็มอบให้โยมในกุฏิ ของหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน ท่านก็เพิ่งจะมรณภาพไม่นาน ราคายังไม่สูง ยังพอหาได้ แต่ว่าท่านที่มีประสบการณ์ก็จะหวง

เบี้ยแก้จริง ๆ เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ เพราะว่าเราใช้เบี้ยเป็นเงิน ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน แล้วทางด้านฮินดูถือว่าเป็นภควจั่น เป็นหอยที่ได้รับพรจากพระนารายณ์ เขาก็ให้ความเคารพนับถือ คราวนี้วิชาการทำเบี้ยแก้นั้นสืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

ถ้าถามว่าสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นใคร ? มาจากไหน ? บอกว่าเป็นมหาเถระชาวมอญที่สมเด็จพระนเรศวรให้ความเคารพนับถือมาก แล้วถามว่าไปอย่างไร มาอย่างไร ถึงมาเป็นพระสังฆราชในกรุงศรีอยุธยา ? เพราะว่าท่านนำชาวมอญอพยพตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามา ชื่อเดิมของท่านที่เรารู้จัก คือ พระมหาเถรคันถ่อง พอมาอยู่เมืองไทยกลายเป็นพระสังฆราชเลยไม่รู้จัก วิชาการที่มากับท่านมีเยอะแยะไปหมด เบี้ยแก้ก็ใช่ ตะกรุดหนังหน้าผากเสือก็ใช่ ปรอทสำเร็จก็มาจากสายท่านเหมือนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-04-2017 เมื่อ 21:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 02-05-2017, 19:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสชาดกหลายเรื่อง ที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นพระราชา ตรัสบอกช่างตัดผม สมัยนั้นเรียกว่ากัลบก ว่าถ้าเห็นว่ามีผมหงอกเมื่อไรให้รีบบอก ถึงเวลาช่างตัดผมเห็น ก็ทูลเตือนว่ามีผมหงอกเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ท่านจึงสละราชสมบัติออกบวช ปฏิบัติธรรมได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ตายแล้วไปอยู่พรหมโลก ที่พูดเรื่องนี้เพื่อเตือนให้รู้ว่า พวกเราก็แก่พอควรแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 20:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 02-05-2017, 19:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดซุงท่านถามว่า "เล็ก...ไปอเมริกาด้วยกันไหม ?" อาตมาตอบว่า "ไม่ไปครับหลวงพ่อ" ท่านถามว่า "ทำไมวะ ?" กราบเรียนว่า "ค่าเครื่องบินตั้ง ๔ หมื่นกว่าบาท ผมกลัวไปแล้วทำงานไม่คุ้มครับ"

หลวงพ่อกลับจากอเมริกา อาตมาก็มารับท่าน คณะที่ไปกับหลวงพ่อ ๓๒ คน ก็แปลว่าหลวงพ่อต้องจ่ายค่าเครื่องบินทั้งคณะล้านกว่าบาท กราบเรียนหลวงพ่อด้วยความคับข้องใจมากว่า "หลวงพ่อครับ จ่ายเงินทีเป็นล้านคุ้มแบบนี้หรือครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าแนะนำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวถือว่าคุ้ม เพราะว่าเงินล้านซื้อพระนิพพานไม่ได้..!" จริงของท่าน แต่ตอนนั้นอาตมามองไม่ถึง มองไม่เห็น กลัวว่าไปแล้วทำประโยชน์ไม่สมกับค่าของเงิน

เหมือนอย่างทุกวันนี้ไปเหนือไปใต้ บางทีพระในวัดก็ อูย...เป็นพระอาจารย์นี่ดีจังเลย ได้ไปเที่ยวอีกแล้ว เขารู้ไหมว่าตูไปเชียงใหม่ ๓ วัน นั่งจนตูดด้านทั้ง ๓ วัน มีแต่โยมที่ออกไปตะลอน ๆ เที่ยวอยู่ข้างนอก เพราะว่าพอโยมเขารู้ว่ามา เขาก็แห่กันมาทั้งวัน ไม่เป็นเวลา แล้วจะไปไหนได้ ?

ไปหาดใหญ่ ๕ วัน โอ๊ย...พระอาจารย์เล็กไปเที่ยวอีกแล้ว ตูนั่งตูดด้านทั้ง ๕ วัน พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่เห็นท่ารถก็เห็นสนามบิน นอกจากนั้นไม่ต้องไปไหนหรอก เขาจับไปตั้งไว้ที่ไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ได้เวลาเขานิมนต์ไปฉัน หลังจากนั้นก็มากวนต่อ จะโทษโยมก็ไม่ได้ เขาอยู่ไกลเรามายาก นาน ๆ ไปที เขาก็นั่งเฝ้ากันไม่เลิก

ตอนนี้คนที่ภูเก็ตทนไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปตั้ง ๒ ปีแล้ว เขานั่งเครื่องบินมาหากันเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 02-05-2017, 19:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลมา งานในมือมีมากขึ้น โดยเฉพาะบังคับรายงานการตรวจการณ์คณะสงฆ์ ไปแล้วเจอใคร ให้คำแนะนำว่าอะไร ครั้งต่อไปต้องตามงานนั้นด้วย

เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านดุเดือดมาก เร่งรัดทุกอย่างแทบไม่มีเวลาหายใจ ตอนนี้คำสั่งวิ่งตรงจากภาคถึงวัดเลย ไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านอำเภอ อาตมาเจอหลวงพ่อพรหมดิลก ท่านถาม "เป็นอย่างไรบ้างวะเล็ก ?" กราบเรียนว่า "ขออภัยครับหลวงพ่อ เหนื่อยฉิบหา...เลย สมัยหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะภาค ผมไม่เห็นจะเหนื่อยเท่านี้ ตอนนี้ท่านเรียกใช้หัวไม่วางหางไม่เว้น" ท่านบอกว่า "ดี...ผู้บังคับบัญชาเรียกใช้ แสดงว่าท่านเห็นความสามารถ" เลยกราบเรียนท่านแบบขำ ๆ ว่า "ผมยอมเป็นคนไม่มีความสามารถจะดีกว่า"

แต่ว่าชอบใจท่านเจ้าคณะภาคอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถวายอะไรท่านไม่รับหรอก ท่านบอกว่าท่านมีแล้ว มีเยอะกว่าด้วย ถ้าคุณขาดบอกผมแล้วกัน จัดโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ท่านถามว่าขาดอะไรบ้าง ? ผ้าไตรขาดไหม ? วิทยากรขาดไหม ? เงินขาดไหม ? ขาดอะไรให้บอก ไปขอสนับสนุนจากท่านได้

เพิ่งเจอเจ้านายแบบนี้ ประเภทสนับสนุนแม้กระทั่งเงิน ที่ผ่านมาเจอสนับสนุนแค่สิ่งของ หรือไม่ก็ออกนโยบายให้พวกเราไปดิ้นรนทำกันเอง ไปวัดนิมนต์ไปถวายปัจจัยไทยธรรมก็ไม่รับ ท่านบอกว่าผมมีมากแล้ว แล้วนิมนต์ก็ไม่เคยไป นิมนต์มา ๕ ครั้ง ท่านไม่เคยไปวัดท่าขนุน เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นงานทำบุญครบรอบปีบ้าง งานฉลองบ้าง ท่านบอกว่างานแบบนั้นได้ประโยชน์น้อย ท่านไปที่อื่นดีกว่า

แต่ที่ไปท่านไปเองนะ ไม่ได้นิมนต์ ผ่านไปเมื่อไรก็แวะตรวจ ไปไม่เป็นเวล่ำเวลา นึกอยากจะไปเมื่อไรก็ไป ไปวัดไหนท่านก็เดินเข้าไปดูว่า ทำงานตามที่ท่านสั่งหรือเปล่า ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-05-2017 เมื่อ 15:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 02-05-2017, 19:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ท่านบอกว่า ท่านตั้งปณิธานไว้ว่า ก่อนที่จะหมดอายุราชการของการเป็นเจ้าคณะภาค ท่านจะต้องไปให้ได้ครบทุกวัด โอ้...พระเจ้า บางวัดอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวเลย อาตมายังยุเจ้าคณะอำเภอว่า ปีหน้าเราจัดอบรมพระนวกะที่วัดคลิตี้ล่างกันเถอะ

ถามว่าวัดคลิตี้ล่างไกลแค่ไหน ? ไกลจากวัดท่าขนุนเข้าป่าไป ๘๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตตำบลชะแล เขต ๒ ตอนอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ไม่มีโอกาสใช้เครื่องทุ่นแรง เพราะโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ พื้นที่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่อุทยานก็เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาไม่ยอมให้ตั้งเสาโทรศัพท์อยู่แล้ว มีงานอะไรมีวิธีเดียวคือวิ่งส่งหนังสือถึงวัด ปรากฏว่าในนั้นมีอยู่ ๕ วัดและ ๗ สำนักสงฆ์ ไม่ใช่เยอะนะ พื้นที่ใหญ่มหึมาเลย

อำเภอทองผาภูมิใหญ่เท่าสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแล เขต ๒ ใหญ่ครึ่งอำเภอ..! อาตมาวิ่งส่งหนังสือวัดแรก ถึงวัดสุดท้าย ๑๔๒ กิโลเมตร..! เข้าไปทุกเดือน บางเดือนก็ ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง บรรดาเจ้าอาวาสเขาบอกว่า ตั้งแต่มีเจ้าคณะตำบลมา เห็นหน้าพระอาจารย์คนเดียว คนอื่นเขาไม่เข้าไปหรอก เขาเป็นเจ้าคณะตำบลแค่โก้ ๆ เฉย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-05-2017 เมื่อ 15:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 02-05-2017, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทางราชการสนับสนุนนิตยภัต ตอนนั้นอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบล ไม่ได้เป็นพระครูสัญญาบัตร ได้เดือนละ ๑,๘๐๐ บาท วิ่งรถเที่ยวเดียวก็หมดแล้ว แล้วพวกปัญญามากหรือปัญญานิ่มก็ไม่รู้ ? ยังจะออกกฎหมายมายึดเงินพระอีก ตูละเซ็ง...! ที่มีอยู่ก็ไม่พอใช้ยังจะมายึดอีก จะออกกฎหมายยึดธรรมกายวัดเดียวก็ออกให้ชัด ๆ ไปเลย ไม่ต้องมาเหวี่ยงแห...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 20:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 02-05-2017, 20:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ก่อนกินต้องเอาไปฝนก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ว่าจะให้ฝนนะ แต่เห็นเขากินไปทั้งองค์เลยก็มี

ถาม : ต้องกินนานเท่าไร หรือกี่เม็ดคะ ?
ตอบ : จนกว่าจะหายแล้วกัน ตากแห้งก่อนนะ ที่ได้ไปยังไม่แห้ง ไปฝนตอนนั้นก็แหลกหมดทั้งองค์ ตากลมนะ ยาจินดามณีตากแดดไม่ได้ เพราะว่าส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งคือน้ำผึ้ง โดดแดดแล้วเยิ้มละลายจนเนื้อนิ่มใหม่ แต่ถ้าหากความชื้นหมด แห้งจริง ๆ จะแกร่งเป็นหินเลย อย่างที่โบราณเรียกว่าเป็นพระธาตุ

อาตมายังสงสัยว่าถ้าแข็งขนาดนั้นแล้วไปฝน ที่ออกมาจะเป็นตัวยาหรือเป็นฝาละมี ฝนไปฝนมา แทนที่ยาจะสึก กลายเป็นฝาละมีสึกมากกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 20:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 02-05-2017, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,143 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมอายุมาก ที่มีลูกหลานประคองมาว่า "ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้เป็นภาระยิ่งหนอ

นึกถึงตอนสมัยหนุ่ม ๆ อายุ ๓๐ กว่า นั่งที่บ้านอนุสาวรีย์ตั้งแต่ ๗ โมงครึ่งยัน ๓ ทุ่มทุกวัน มีเวลาลุกไปฉันอาหารกับเข้าห้องน้ำเท่านั้น ก็นั่งอยู่ได้ สมัยนี้เปลี่ยนจาก ๓๔ ปี เป็น ๕๘ ปี ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ได้พักจะนั่งคอพับไปเลย

วันก่อนเจอโยมที่รู้จักกันตั้งแต่ฆราวาส ไปหาหลวงพ่อบ๊ะด้วยกัน โยมเจอก็ดีใจ มายกมือไหว้ ถามว่าจำได้ไหม ? อาตมาเลยบอกชื่อบอกนามสกุลไป ถามว่าสุขภาพโยมเป็นอย่างไรบ้าง ? โยมบอกว่า "เต็มทีครับ ๘๐ แล้ว" ยังถามกลับว่า "หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?" "ก็มาหาหมอ...โยมเห็นว่าเป็นอย่างไรล่ะ ?"

ญาติโยมบางคนพออายุมากหน่อยก็เริ่มถอดใจ อาตมายืนยันว่า ถ้าอยู่ได้มีแก่กว่านั้นอีก ตอนอาตมาบวชใหม่ ๆ อายุ ๒๐ กว่า เฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อวัดท่าซุง หน้าหนาวใส่อังสะตัวเดียว จีวรยังไม่ห่มเลย หลวงพ่อท่านเดินเข้าตึกมาถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" กราบเรียนท่านว่า "ยังไม่หนาวครับ" เพราะว่าหลวงพ่อท่านใส่ทั้งอังสะไหมพรม ทั้งถุงเท้า ทั้งหมวกไหมพรม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2019 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว