กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-07-2011, 02:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติทั้งหมดให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไป หายใจออกกำหนดรู้ตามลมหายใจออกมา

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนนี้

เมื่อเช้ามืดฝนตกหนักอากาศเปลี่ยนแปลง อาตมาเกิดอาการไข้มาเลเรียกำเริบ ไข้มาเลเรียนั้นอาตมาเป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ มาถึงตอนนี้ก็ ๓๐ ปีเต็ม ๆ พอดี ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลงจะมีอาการกำเริบ

ช่วง ๑ เดือนที่ผ่านมานั้น อาการไข้หายไปเฉย ๆ เพราะว่ากินยาตามที่หมอสั่ง มาถึงวันนี้ยาหมด อาการก็กำเริบอีก ถ้าถามว่าหนักแค่ไหน ? ก็ไม่หนักไปกว่าที่เคยเป็นมา และโดยเฉพาะว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมีคุณอย่างยิ่ง

ประการแรก คือ เตือนให้รู้ว่าเรามีต้นทุนเท่าไร คำว่าต้นทุนในที่นี้ หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมมามีเท่าไร ? เพียงพอที่จะรับมือกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้หรือไม่ ?

ประการที่ ๒ เป็นการเตือนสติให้รู้ตัวอยู่เสมอว่า ความตายนั้นสามารถมาถึงเราได้อยู่ตลอดเวลา ถามว่าแค่มาเลเรียกำเริบ ต้องนึกถึงความตายเลยหรือ ? ต้องถามคนที่เคยเป็นมาเลเรียเอง ว่าช่วงที่อาการกำเริบขึ้นมานั้น ปลายประสาทจะอักเสบทั้งหมด กระดูกในร่างกายมีกี่ข้อก็รู้หมดว่าอยู่ตรงไหนบ้าง ส่วนใหญ่ที่ตายก็เพราะทนอาการอักเสบขนาดนี้ไม่ไหว

ประการสุดท้ายก็คือ เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายนี้คบหาไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าเราจะดูแลประคับประคองขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เขาก็แปรปรวนไปตามสภาพของเขา โดยเฉพาะอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เปรียบเหมือนกับสัตว์ร้ายที่คอยกัดแทะเราอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากว่าใครมองเห็นตรงจุดนี้ได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคุณอย่างยิ่ง เพราะเราจะรู้ว่าต้นทุนของเราเพียงพอหรือไม่กับความปรารถนาที่จะไปพระนิพพาน เราจะได้รู้ว่าเราใกล้ความตายเพียงใด และเราจะได้เห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้อย่างชัดเจน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2011 เมื่อ 04:10
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-07-2011, 07:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราเห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้นั้น จัดเป็นวิปัสสนาญาณข้อหนึ่งเรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ คือ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นภัย เป็นของน่ากลัว เราลองนึกถึงว่า ถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่คอยกัดกินร่างกายเราอยู่ตลอดเวลา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะน่ากลัวหรือไม่ ?

และโดยเฉพาะท่านใดที่ได้ทิพจักขุญาณอย่างแท้จริง จะได้เห็นสภาพความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นนั้น จะมีตัวอะไรแปลก ๆ ประหลาด ๆ เกาะกินอยู่มากมาย แต่ว่าไม่ใช่ให้ไปโกรธไปเคืองเขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเราต้องสร้างกรรมเอาไว้ถึงจะเกิดขึ้น ในเมื่อธรรมดาเราไปทำกรรมเอาไว้ ถึงวาระกรรมนั้นมาสนอง เราก็ต้องยอมรับได้ เพราะธรรมดาการเกิดมามีร่างกายต้องเป็นเช่นนี้ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา

บาลีว่า พยาธิธัมโมมหิ พยาธิงอะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ไม่ว่าเราจะเกิดมาอีกกี่ชาติก็ตาม ถ้าต้องมีสภาพร่างกายเช่นนี้ ก็จะพบความเจ็บป่วยเช่นนี้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ต้องการ ก็ต้องหวังการหลุดพ้นโดยประการเดียว ก็คือหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานเท่านั้น จึงพ้นจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้ได้

การจะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานนั้น ทุกท่านต้องทบทวนว่าศีลทุกข้อของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราได้ล่วงศีลด้วยตัวเองหรือไม่ ? เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลหรือไม่ ? เรายินดีเมื่อเห็นบุคคลอื่นล่วงศีลหรือไม่ ?

ถ้าหากว่าไม่มี เราสามารถปฏิบัติในศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็มาดูว่าเรามีความเคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจหรือไม่ ? เราศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพราะหวังความพ้นทุกข์ หรือว่าเราศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพราะอิทธิปาฏิหาริย์ ? ถ้าเราเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยเพราะหวังความพ้นทุกข์ ก็แปลว่าเราเป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เหมาะควรที่จะหลุดพ้นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2011 เมื่อ 16:50
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-07-2011, 00:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าหากว่าเราเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยเพราะเห็นแก่อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็แสดงว่าเราไปยึดไปเกาะในอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ในเมื่อเรายึดเกาะ ก็แปลว่าเราไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้

และท้ายสุดเรารู้ตัวหรือไม่ว่าจะตาย ในเมื่อความเจ็บป่วยจ่อเข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว สภาพร่างกายของเราอักเสบถึงขนาดนี้แล้ว กระดูกมีกี่ข้ออยู่ที่ไหนก็ปวดไปหมด เราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าความตายมาใกล้เราขนาดนี้

ชีวิตของเรามีแค่ลมหายใจเดียวเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน ดังนั้น..ชีวิตที่เราอยู่แค่ชั่วลมหายใจนี้ ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ เมื่อเห็นเป็นดังนั้น เราก็จะยอมรับสภาพความจริงของร่างกาย ว่าเมื่อเกิดมาก็ต้องมีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ เจ้าอยากจะทุกข์ก็ทุกข์ไปเถิด เราปรารถนาพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็ถอนจิตจากการยึดเกาะร่างกาย ส่งกำลังใจไปเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานของเรา ตั้งอกตั้งใจว่า ถ้าหากเราสิ้นชีวิตลงไปในคืนนี้ ไม่ว่าจะเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรืออุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น

เมื่อกำลังใจเกาะมั่นคงแล้ว ก็ดูตัวตนของเราเอง ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมคำภาวนา ถ้าคำภาวนาเบาลงหรือลมหายใจไม่มี ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าขณะนี้เป็นเช่นนั้น

อย่าอยากให้หายไป และอย่าไปบังคับให้หายใจใหม่ ถ้าวางกำลังใจเป็นกลางได้อย่างนี้ สมาธิก็จะทรงตัวตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพที่พึงมีพึงได้ แล้วขอให้ทุกคนรักษาสภาพสมาธิจิตเช่นนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2011 เมื่อ 02:43
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว