กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-11-2016, 13:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,124 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ เดือนที่แล้วที่ผ่านมา มีเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของทุกคนที่เกิดขึ้น ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุถึง ๘๙ พรรษาย่างเข้า ๙๐ พรรษาแล้ว แต่พวกเราก็ยังอยากจะให้พระองค์ท่านอยู่กับเราไปนาน ๆ

การเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านนั้น อยากให้ทุกคนพิจารณาดูกำลังใจของตนเองว่า มีความหวั่นไหว มีความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นเท่าไร ? อย่าลืมว่าพวกเราทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ายังมีความหวั่นไหว ยังมีความเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่าเรายังไม่ยอมรับในความเป็นจริง ในความเป็นธรรมดาของร่างกายของเรา หรือว่าร่างกายของผู้อื่น ซึ่งมีลักษณะธรรมดาเหมือนกันอยู่ ๓ อย่าง คือ อนิจจลักขณะ มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง แล้วก็สลายไปในที่สุด

ทุกขลักขณะ มีความเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น และท้ายที่สุด ก็คือ อนัตตลักขณะ ก็คือลักษณะของการไม่อาจจะทรงอยู่เป็นตัวตนได้ ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของผู้อื่นก็ดี เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้เป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงออกซึ่งธรรมะอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ สัพเพ สังขารา อนัตตา สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเรายังหวั่นไหว เรายังเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังห่างไกลจากความเป็นพระอริยเจ้าอยู่มาก ขาดการพิจารณาในวิปัสสนาอย่างมาก

เมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่อง ก็ต้องแก้ไขเติมเต็มในส่วนที่ขาด ก็คือวิปัสสนาญาณ ที่จะมองให้เห็นความเป็นจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-11-2016 เมื่อ 14:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-11-2016, 18:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,124 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่าพวกเราเน้นแต่ในเรื่องของสมถกรรมฐาน ก็คือการภาวนาเท่านั้น ขาดการพิจารณา ดังนั้น...เมื่อเราภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ถ้าอารมณ์คลายลงออกมา ก็ให้นำเอาไตรลักษณ์ หรือลักษณะ ๓ อย่างของสรรพสิ่งทั้งหลายนี้ มาพิจารณาให้เห็นจริง ให้สภาพจิตของเรายอมรับให้ได้ ว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ขณะดำรงชีวิตอยู่ก็มีความทุกข์เป็นปกติ แล้วท้ายที่สุดก็ไม่อาจจะยืนยงดำรงขันธ์เอาไว้ได้ เพราะว่ามีสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนอันที่จะยึดถือมั่นหมายได้เป็นปกติ

ถ้าเราเห็นดังนี้ได้ จิตใจของเรายอมรับ ก็จะไม่หวั่นไหว ไม่เสียใจ มีแต่เพียงธรรมสังเวช ก็คือจะเห็นว่า โอหนอ..บุคคลที่ถือว่าเลิศที่สุดแล้วในประเทศของเรา ยังไม่อาจที่จะล่วงพ้นจากความตายไปได้ ขึ้นชื่อว่าตัวเราที่จะไม่ตายนั้นไม่มี เมื่อตัวเราจะต้องตายแน่นอน เราก็ต้องเตรียมพร้อม เพื่อให้คติที่ไปของเรานั้นแน่นอนในด้านที่ดีไว้ ก็คือต้องไปสุคติเท่านั้น

เราก็ต้องมาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล พยายามทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราก็ต้องตายเช่นกัน แต่ว่าถ้าหากว่าเราตายแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มามีร่างกายที่มีแต่ความทุกข์เช่นนี้ หรือว่ามาอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้ากำลังใจของเราปักแน่นมั่นคงเช่นนี้ได้ เราก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ที่จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบต่าง ๆ แม้กระทั่งความตาย จิตใจของเราจะมุ่งมั่นแน่วแน่ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจึงไม่เสียทีที่เราเป็นนักปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 20:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว