กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 08-07-2013, 14:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของกิเลสเขาเก่งมาก เขากินเราได้ทุกเวลาที่เผลอ บางคนตอนกลางวันมดสักตัวก็ยังไม่กล้าเหยียบ แต่พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพ บางคนประเภทเจ้าของไม่ได้ให้ แตะของเขายังไม่กล้าแตะ แต่กลางคืนฝันว่ายกเค้าคนอื่นไป ๓ - ๔ บ้าน บางทีกลางวันแม้แต่ผู้หญิงยังไม่กล้ามอง แต่กลางคืนไล่ปล้ำผู้หญิงไปแล้ว..!

ฉะนั้น..เรื่องของกิเลสมีสารพัดวิธีที่ทำให้จิตใจเราตกต่ำ เราจะได้หนีไม่รอด มีวิธีเดียวคือหลับกับตื่นสติต้องเท่ากันตลอด ถึงจะพอตีคืนมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นต่อให้กลางวันเราระวังดีขนาดไหนก็ตาม กลางคืนก็จะขาดทุนเสมอ


ถาม : .....ภาวนาต่อหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสติหลับกับตื่นรู้เท่ากัน จะภาวนาเองอัตโนมัติ

ถาม : ถ้าจังหวะนั้นเราหยุดไม่อยู่ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับนั้นแล้ว จิตจะดำเนินไปเองอัตโนมัติ เหมือนกับเราแค่เอาสติประคองไว้เฉย ๆ เขาจะภาวนาของเขาเอง ถ้าอยากพิจารณาเขาพิจารณาของเขาเอง เรามีหน้าที่ตามรู้อย่างเดียวเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 08-07-2013, 14:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แยกไม่ออกระหว่างศักดิ์ศรีกับสักกายทิฐิ ขอท่านช่วยอธิบายด้วยค่ะ
ตอบ : ตัวเดียวกันเลย บุคคลที่สักกายทิฐิน้อยจะไม่ค่อยคำนึงถึงศักดิ์ศรีตัวเอง อย่างเช่น พระราชาที่ลดพระองค์ลงไปไหว้ขอทานเพื่อขอเรียนวิชาตามที่พระธรรมบทว่า แต่ถ้าเรายังมีศักดิ์ศรีขึ้นหน้าอยู่ "มึงไม่รู้เสียแล้วว่ากูเป็นใคร" นั่นสักกายทิฐิเต็ม ๆ เป็นตัวเดียวกันจ้ะ

ขอให้รู้ว่าถ้าศักดิ์ศรียังขึ้นหน้าอยู่ แสดงว่าเรายังแบกอยู่ ถ้าศักดิ์ศรีลดน้อยลงไปได้เรื่อย ๆ สภาพจิตจะดีขึ้น จากนั้นจะอยู่ในสภาวะแค่ว่า ถ้ารู้ว่าสิ่งนี้ทำแล้วอาจจะกระทบต่อสถานภาพในส่วนรวม เราก็จะเลี่ยงเสีย อันนี้ไม่ได้ถือศักดิ์ศรีที่เป็นมานะหรือเป็นสักกายทิฐิ แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่เขา ว่าเราจะไม่ทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ใคร

อย่างสมมุติว่า ถ้าพระไปประจบคฤหัสถ์ อาจจะไปทำลายตระกูลพระพุทธเจ้า คนเขาจะคิดว่า "เออ..พระทุกรูปก็เป็นอย่างนี้เอง" ถ้าเขาตีราคาอย่างนั้น เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ไม่ได้ ก็ต้องยั้งตัวไว้ระดับหนึ่ง อันนี้ไม่ใช่ศักดิ์ศรี แต่เป็นภาระหน้าที่ซึ่งเราต้องดูแลในภาพรวม ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้ แต่ถ้ายึดศักดิ์ศรี ไม่รู้เสียแล้วว่าอาตมาเป็นเจ้าคุณ...นั่นก็ไปเลย

ต้องดูพระอนุรุทธ ในมหาปุริสสวิตกของพระอนุรุทธมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ขอผู้อื่นจงอย่ารู้ว่าเราเป็นใครเลย นั่นแหละ..ไม่มีมานะเลย แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะว่า จงอย่าชูงวงเข้าไปในสกุล ก็คืออย่าแบกศักดิ์ศรีเข้าไปในสกุล อย่าแบกฐานะเข้าไปในสกุล ทำตัวเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ส่วนพระอนุรุทธก็คือว่า ถ้าไปไหนถ้าใครไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร...ก็สบาย กลืนไปกับเขาได้เลย ไม่ต้องแบกอะไรไป พอเขารู้ขึ้นมาก็ต้องมาบริการพิเศษ นั่นคือท่านรู้ตัว แต่ถ้าไม่รู้ตัวก็ "ทำไมวะ..อาจารย์เล็กมาแล้วยังไม่มีใครมาทำอะไรให้เลย ?" แบบนั้นก็เจ๊งแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 08-07-2013, 14:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างฆราวาส บางคนนินทาเราอยู่ แล้วเราโกรธ ถ้าเราคิดอย่างนั้น แสดงว่าเรามีมานะ ?
ตอบ : มี..ถ้าไม่มีตัวกูของกู จะไม่รับแรงกระทบ ลองนึกว่าเขาขว้างก้อนหินใส่อากาศ หินจะกระทบอะไรไหม ? แต่ถ้ามีกำแพงขวางอยู่ก็จะกระทบ ถ้าตัวกูของกูไม่มีก็คือกำแพงไม่มี ก็จะเลยผ่านไปเฉย ๆ ไม่กระทบอะไร

แต่กำลังในระยะแรก ๆ ของเรา เหมือนลักษณะคนใส่เกราะหรือตั้งกำแพง กระทบแล้วก็ให้กองอยู่ตรงนั้น กระทบแล้วอย่าให้ถูกเราที่อยู่ในกำแพง ถ้ากระทบแล้วถูกเราในกำแพง เดี๋ยวก็โดดออกไปฟัดกับเขาข้างนอก ฉะนั้น...สติ สมาธิ ปัญญาในตอนแรกก็คือหยุดเอาไว้ก่อน ให้มีกำแพงก่อน จะเป็นสักกายทิฐิหรืออะไรก็ช่างเถอะ รักษาใจของเราให้ผ่องใสไว้ก่อน ถ้ามีสติก็รู้อยู่

เขาขว้างมาติดกำแพง "มันด่ากู.." ไอ้กูอยู่ตรงไหนหว่า ? อ๋อ...เขาด่าแค่เปลือก เขาไม่เห็นเราข้างในหรอก ในเมื่อด่าเปลือกไม่เห็นเรา ก็ให้ติดอยู่ที่เปลือก กระทบปังแล้วก็หล่นอยู่ตรงนั้น แบบเดียวกับที่ตลกเขาเล่นกัน "มึงด่าใครวะ ?" "ก็ด่ามึงนั่นแหละ" "เออ..ด่ามึงไม่เป็นไร อย่าด่ากูก็แล้วกัน" ลักษณะนั้นเลย แรก ๆ ก็วางให้ได้แค่นั้นก่อน..ไม่ต้องมากหรอก หลังจากนั้นถ้าสามารถทำใจให้เหมือนคนไม่มีกำแพง ขว้างมาเท่าไรก็เลยไปเฉย ๆ

ตอนอาตมาฝึกใหม่ ๆ อาตมาก็ขำ เขาด่าไอ้เหี้ย..! "เออ..เก่งแฮะ เขารู้ว่าอดีตเราเคยเป็นเหี้ยมาตั้งเยอะ" ไอ้ชาติหมา..! "เออ... กูก็เคยเป็นหมา..เป็นเยอะด้วย ไอ้นี่เก่งจริง ๆ" แล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว เขาแทบคลั่ง เพราะยิ่งด่าอาตมาก็ยิ่งหัวเราะ


ถาม : เขาด่าว่าไอ้หมาหรือคะ ?
ตอบ : เขาด่าไม่ดี แต่สำหรับอาตมาเขาด่าดีเกิน ดูยันไปอดีต "ไอ้ชาติหมา.." แสดงว่าเขาเก่งมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 08-07-2013, 14:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่เราเข้าฌานแล้วเราอธิษฐานให้เกิดผล ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐาน แค่นึกก็เป็นแล้ว จะเอาระดับไหนก็เข้าระดับนั้นเลย

ถาม : แล้วที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าต้องเข้าสมาธิถึงระดับหนึ่ง ?
ตอบ : ที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านบอกให้เข้าฌานสลับไปสลับมาให้คล่อง นั่นแหละ..ตรงนี้เลย ถ้าคล่องตัวจริง ๆ เราต้องการระดับไหน แค่นึกจะเป็นเลย เขาเรียก สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงสมาธิแต่ละระดับ

ชำนาญในการเข้า เรียกว่า สมาปัชชนวสี ชำนาญในการออก เรียกว่า วุฏฐานวสี คราวนี้ทุกคำลงด้วย "นะ" หมดเลย คนก็เลยดันไปเรียกว่า "นวสี" ความจริงไม่ใช่ นวสีวถิกาหรือป่าช้า ๙ อย่าง หรือซากศพ ๙ ประเภท

อธิษฐาน ต่อด้วย วสี , สมาปัชชน ต่อด้วย วสี , วุฏฐาน ต่อด้วย วสี คราวนี้คนเขาไปอ่านติดกันเป็น "นวสี" ความจริงไม่ใช่ ที่ถูกมาจาก วสีภาพ , วสีภาวะ ความชำนาญในการเข้าถึงหรือออกจากตรงนั้น


ถาม : ถ้าเลยอุปจารฌานคือได้เห็นภาพ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเลยอุปจารสมาธิแล้วจะไม่เห็น จนกว่าจะไปฌาน ๔ คล่องตัวถึงจะเห็นใหม่ เหมือนห้อง ๒ ห้อง อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง ลักษณะการตกแต่งเหมือนกันหมดทุกอย่าง อุปจารสมาธิคือห้องชั้นล่าง ฌาน ๔ คล่องตัวคือห้องชั้นบน ถ้าเราอยู่ห้องชั้นล่างเราจะเห็น แต่ถ้าเราเดินอยู่ระหว่างขั้นบันได เราจะไม่เห็นอะไร จนกว่าเราขึ้นไปอยู่ห้องชั้นบนแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 08-07-2013, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาสวดมนต์ คำว่า คต กับ คตา ความหมายอย่างเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : คต แปลว่า ที่ไป , คตา ไปหลายคน อยู่ระหว่างเอกพจน์กับพหูพจน์

ถาม : บางทีสระอะเป็นสระอา ?
ตอบ : บางครั้งอยู่ที่เพศ ส่งเสียงอะเป็นเพศชาย ส่งเสียงอาเป็นผู้หญิง อย่างผู้ชายใช้ วันทันโตหัง ผู้หญิงใช้ วันทันตีหัง ระบุเพศด้วย ภาษาบาลีถึงบอกว่า ลิงคัตเถ ปฐมา อย่างแรกต้องให้รู้ก่อนว่าเพศอะไร หลังจากนั้นทุกคำถึงจะวิเคราะห์ได้

ถาม : บางทีก็งงค่ะ ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ตั้งใจสวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย จะผิดถูกอย่างไร ให้ใจมุ่งตรงก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 08-07-2013, 16:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : รูปพระในหนังสือสวดมนต์วัดท่าขนุนสวยค่ะ
ตอบ : จริง ๆ เป็นเจตนาเลยนะ รูปพระไม่ใช่ไว้มีแค่คั่นหน้าบอกว่า ถึงเวลาทำวัตรวันใหม่ แต่ตั้งใจให้ดูเป็นอนุสติ ถ้ารูปพระออกมาสวยที่สุด ทำให้กำลังใจของเราเกาะง่าย นั่นตั้งใจให้ดูเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 08-07-2013, 16:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเห็นในอุปจาระกับการเข้าฌานที่หนึ่งแล้วถอยมาที่อุปจาระ การเห็นจะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยลงมา จะเห็นชัดกว่าและมั่นคงกว่า มั่นคงกว่านี่อยู่ในลักษณะที่สภาพจิตเราสะอาดขึ้น ความแจ่มใสของภาพมีมากขึ้น สมาธิทรงตัวมากขึ้น คราวนี้การที่เราได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยออกมา ถ้าคนที่มีความคล่องตัวจริง ๆ แม้ว่าจะอยู่ในอุปจารสมาธิ ความนิ่งของใจจะเท่ากับปฐมฌานที่ตัวเองเคยได้ ที่เขาเรียกว่าฌานใช้งานคือตรงนี้

อย่างเช่น ฌานที่ ๒ ใช้งาน ฌาน ๓ ใช้งาน ฌานที่ ๔ ใช้งาน เหมือนกัน ก็คือกำลังใจคลายออกมา แต่ความนิ่งของใจเท่ากับระดับฌานนั้น ๆ ก็เลยทำให้เกิดความมั่นคงมาก สมัยก่อนจึงต้องพยายามซักซ้อมฌานใช้งานเป็นพิเศษ เพราะสามารถทรงอยู่ได้เป็นวัน ๆ จะทำอะไรก็ทำไป แต่ความนิ่งของใจเท่ากับตอนเข้าฌานนั้นเลย


ถาม : บางทีเราทำงานอยู่ จะเห็นภาพที่...?
ตอบ : ทำงานต้องใช้สมาธิ ไม่อย่างนั้นงานจะผิดพลาด ถ้าสมาธิลงตัวพอดีก็เห็นภาพเอง แล้วพยายามอย่าสับสน ถ้าสับสนจะเหมือนอาตมา เห็น "ท่านเซอร์" เดินมา ต้องมองก่อนว่าคนหรือผี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกลายเป็นนั่งคุยอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจะแตกฮือไปหมด ฉะนั้น..ดูให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะนั่งพึมพำอยู่คนเดียว จนเพื่อน ๆ สงสัยว่าเครียดขนาดนี้เลยหรือ ?

ถาม : ถ้าเป็นฌานอากาสานัญจายตนะ จะเห็นชัดไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของอรูป เขาทิ้งรูปไปแล้วเลยไม่เห็นอะไร จริง ๆ แล้วถ้าเป็นอากาสานัญจายตนะ นับเป็นฌาน ๕ แต่กำลังเท่าฌาน ๔ เพียงแต่เขากำหนดกำลังใจทิ้งรูป ไปจับความว่างของอากาศแทน ในเมื่อทิ้งรูปก็เลยไม่มีรูปให้เห็น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2013 เมื่อ 17:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 08-07-2013, 16:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่พระนิพพานมีไหมคะ ที่พระพุทธเจ้าใส่ฉลองพระองค์เป็นแขนยาว ?
ตอบ : ท่านใส่เป็นปกติ ขอยืนยันว่าปกติท่านใส่แขนยาว ถ้าวันไหนเห็นห่มจีวรมาแสดงว่าอั้นไว้เต็มที่เลย

ถาม : สงสัยมานานว่าทำไมถึงเห็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราเห็นเทวดาเหมือนที่พระนิพพาน ?
ตอบ : บางทีเราชอบอะไรสิ่งนั้นจะปรากฏ พระนิพพานมีสภาพความสมบูรณ์พร้อม จิตใจเราเคยชอบใจอะไร ถึงแม้กิเลสเหล่านี้จะบางมาก เพราะเราเข้าไปอยู่อายตนะนิพพานแล้วก็จริง แต่ความรักชอบเดิม ๆ ยังเป็นอยู่ พอถึงเวลาเรารักชอบแบบนี้ก็มีให้ ถ้าเราไม่ต้องการก็หมดไป ความสมบูรณ์พร้อมของพระนิพพานคือต้องการอะไรมีอย่างนั้น ถ้าไม่ต้องการก็หายไปเอง

เทวดาถ้ามีผู้เชิญก็ไปพระนิพพานได้ ถ้าไม่มีผู้เชิญ บุคคลที่อยู่ชั้นต่ำกว่า จะไปยังที่สูงกว่าไม่ได้

ปกติแล้วข้างบนวิมานจะเป็นแก้ว ๗ ประการ แก้ว ๙ ประการ วิมานของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นแก้วแกมทอง ท่านชอบของท่านอย่างนั้น เวลาขึ้นไปวิมานของท่านก็เป็นอย่างนั้น ต้องการอย่างไรก็เอาไปเถอะ เพราะเต็มที่แล้ว ในเมื่อเต็มที่แล้วอยากได้อะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็จะขาดความเข้าใจ ถึงสัมผัสด้วยตนเอง มีความเข้าใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะว่าการที่บริสุทธิ์จนถึงที่สุด ไม่ยึดไม่เกาะอะไรเลย ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปคือต้องไม่มีอะไร แต่ความจริงสิ่งที่ไม่มีคือกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง

พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ภิกษุทั้งหลาย..อายตนะนั้นมีอยู่ ในเมื่ออายตนะนั้นมีอยู่ ถึงได้บอกว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง" นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีอะไรเลยจะรับรู้ความสุขไม่ได้ ฉะนั้น..อธิบายยาก

ถามว่าเป็นอัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ เป็นอนัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ แล้วเป็นอย่างไร ? บอกไม่ถูก ไปดูเอาก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2013 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 10-07-2013, 17:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อรูปฌานมีกำลังของฌานสี่ แต่ทำไมถึงไม่เห็นภาพ ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาไม่เอาอะไรนอกจากอารมณ์ที่ตนเองจับอยู่ อย่างเช่น จับความว่างของอากาศ จับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณ จับความไม่มีอะไรเลย หรือไม่เอาความรู้สึกอื่น ๆ เลย ฉะนั้น..เรื่องของรูปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รูปไปพูดกับอรูปฌานไม่ได้ ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็เหลือแต่นาม ไม่เหลือรูปแล้ว

ถาม : เหลือแต่นามหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ รูปยังเหลืออยู่เป็นปกติ แต่จิตไม่เอารูปแล้ว

ถาม : แล้วการรับรู้ละครับ ?
ตอบ : การรับรู้ภายนอกไม่มี เพราะถึงเวลานั้นแล้วอายตนะรับสัมผัสไม่มี ถ้าตายแล้วไปติดอยู่ที่อรูปพรหม จนกว่าจะพ้นเขตนั้นไป ก็ต่อเมื่อได้รับอายตนะหยาบคืนมาใหม่ จึงเกิดการรับรู้ขึ้นมาใหม่

ถาม : เรียกว่าไม่มีอายตนะหรือครับ ?
ตอบ : อายตนะที่หยาบไม่มี เพราะเหลือแต่จิตอย่างเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2013 เมื่อ 17:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 10-07-2013, 17:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เข้าถึงมรรคเบื้องแรก กับการที่ได้ฌานสี่แล้วน้อมใจเข้าอาสวักขยญาณ เป็นคนละแบบกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละแบบกัน คนที่เข้าถึงมรรคเบื้องต้นนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างสุดจิตสุดใจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ลักษณะนั้นเขาเองใคร่ครวญเรื่องศีลนิดเดียวเท่านั้น สภาพจิตยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่มีถอยหลังอยู่แล้ว แค่ชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์เพื่อให้เข้าถึงผล

ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติเพื่ออาสวักขยญาณ เป็นสภาพจิตเพื่อดำเนินไปเพื่อตัดกิเลสในแต่ละลำดับขั้น ก็แปลว่ากำลังทำอยู่ แต่ทำแล้วจะได้ระดับไหน จะเป็นโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล แล้วแต่สติ สมาธิและปัญญาในช่วงนั้น

ถาม : ผมเข้าใจว่าอาสวักขยญาณเป็นอภิญญา ?
ตอบ : ยิ่งกว่าอภิญญาอีก เป็นอภิญญาแท้ ๆ แต่คนเขาไม่พูดกัน

ถาม : มรรคผลเทียบเท่ากับอภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอภิญญาทั่ว ๆ ไปก็เป็นโลกียะ เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นโลกุตตระ แต่คราวนี้ว่าพระอริยเจ้าท่านไม่ได้กล่าวถึง แต่อาตมาอยากจะบอกว่า นั่นแหละอภิญญาจริง ๆ อภิ = ยิ่งกว่า อัญญา = ความรู้ จะมีอะไรรู้เหนือกว่าการตัดกิเลส รู้ยิ่งต้องรู้ตัดกิเลส แต่คนเขาไปเน้นเรื่องอภิญญาโลกีย์มาก ไปยึดติดว่าอภิญญาต้องเป็นอย่างนั้น แต่ที่บอกว่าโลกุตรภิญญา..ใช่เลย

ถาม : ถ้าเป็นปฐมฌานเขาไม่เรียกอภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเขาเรียกผลสมาบัติ คือเข้าถึงผลระดับนั้น ๆ

ถาม : เรียกว่าอภิญญาหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าจะเรียกอภิญญาก็เรียกแบบของเรา คือโลกุตรอภิญญา คราวนี้กำลังที่ตัดกิเลสตั้งแต่ระดับอนาคามีขึ้นไปจนถึงอรหันต์ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ คล่องตัว ก็ไม่ได้รับประทาน ถ้าได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้วมาตัดกิเลสระดับพระโสดาบัน หรือสกทาคามี ถือว่าใช้ของหนักมาเล่นของเบา เอาเครื่องมือหนักมาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าถึงระดับของอนาคามีหรืออรหันต์นี่ ดีไม่ดีแทบจะไม่พอใช้งาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2013 เมื่อ 17:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 10-07-2013, 17:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมคนที่ได้สมาบัติถึงไม่เอาตรงนี้มาใช้ตัดกิเลส ?
ตอบ : บางคนกำลังใจเขาไม่ไปด้วยซ้ำ ยังติดอยู่แค่นั้นเลย เข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันก็มี

ดูอย่างพวกโยคีสมัยพุทธกาล ส่วนใหญ่ก็สมาบัติ ๘ ทั้งนั้นแหละ แต่ติดอยู่แค่นั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงเทศน์สูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ชาละคือตาข่าย ตาข่ายดักพรหม ติดแค่พรหม ไปได้ไม่เกินนั้น คือเขาขาดตัวปัญญาในช่วงท้าย ในขณะเดียวกันก็คิดว่าการทรมานกายอย่างเดียวสามารถเข้าถึงโมกษะ คือความหลุดพ้นได้

ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ถ้าจะพูดถึงตบะก็คือความอดทนในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตบะคือการทรมานตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2013 เมื่อ 17:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 10-07-2013, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อผางประทีปและลอยโคมครั้งนี้มีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขหลายอย่าง ข้อผิดพลาดอันดับแรกคือคนที่ไปช่วยมักจะไม่เป็นงาน ผางประทีปสามารถวางให้ระยะห่างเท่า ๆ กันได้ แต่เขาวางไม่เท่ากัน พื้นที่ของเราในส่วนที่เป็นลานธรรมนั้น จะมีแผ่นอิฐที่มีระยะห่างเท่ากันอยู่แล้ว เราเว้นกี่ช่วงก็ห่างกันพอดี ๆ แต่เขาไม่ดูเลย วางกันไปเรื่อยเปื่อย

ส่วนทางด้านนอกที่เป็นถนน เหล็กที่เป็นตะแกรงท่อของเทศบาลเขาก็มีระยะห่างชัด ๆ อยู่ ถ้าเราวางระหว่างตะแกรงแต่ละอันก็จะเท่ากันเป๊ะ แต่เขาก็วางของเขาไปเรื่อย ตรงจุดนี้น่าจะมีคนที่เป็นงานคอยแนะนำเขาบ้าง พอแนะนำให้หน่อยเขาเข้าใจก็ทำได้เลย

ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือตอนเก็บผางประทีปมีฝนตก ตอนเก็บแทนที่จะคว่ำลงก็ไปหงายไว้ ก็เปียกอยู่อย่างนั้นแหละ คนที่จะไปทำความสะอาด ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องเอาไปคว่ำก่อน เสียเวลาอยู่เป็นวัน ๆ กว่าจะแห้ง ประการสุดท้าย ใครเป็นคนบอกว่าต้องวางผางให้หมด..! พอไม่มีที่วางเขาก็วางซ้อนอันเดิมไป อาตมาถามว่าวางไปทำไม ? เขาบอกว่าเหลือ ถ้าเหลือก็เก็บไว้สำรองได้ วางจนหมดคราวหน้าต้องหล่อตายกันพอดี จะให้ใช้หมดทีเดียว รู้หรือเปล่าว่าแต่ละครั้งใช้เทียนเป็นตัน

ส่วนโคมลอยคราวนี้ดีมาก จนป่านนี้อาตมายังมีแผลเต็มตัวอยู่เลย เพราะหยดทุกอัน เปลี่ยนเจ้าซื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เขาชุบพาราฟินมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่น้ำมันก๊าด เวลาพาราฟินละลายก็หยดลงมา อาตมาเองหัวหูแขนขาด่างไปหมดเลย หยดใส่ไหม้ทุกที่ ความจริงโดนทีเดียวก็พอแล้ว แต่ไปทางไหนโยมส่งให้จุดก็โดนอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 10-07-2013, 20:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำอย่างไรไม่ให้ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ?
ตอบ : อันดับแรกต้องเห็นโทษก่อน ถ้าไม่เห็นโทษ จะไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่อยากหลีกไป เมื่อเห็นโทษชัดเจนแล้ว ก็มาสร้างสมาธิของเรา เพื่อที่ว่าพอถึงเวลาจะได้สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำก่อน ยังไม่สามารถจะตัดขาดได้นะ

การที่เราจะสร้างสมาธิได้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน กำลังใจที่ระมัดระวังในศีลทำให้สมาธิเราทรงตัว ก็คือเราต้องเอาสติทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเพื่อระวังไม่ให้ศีลขาด ทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่าย ในเมื่อมีสมาธิเราก็สามารถที่จะหยุดรัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ได้แล้ว จากนั้นเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างไร ? เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเราไปยึดไปถือ เราเป็นทุกข์ไหม ? ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายอะไรได้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสมบัติของร่างกายเท่านั้น

รัก โลภ โกรธ หลงอาศัยร่างกายนี้เกิด ถ้าไม่มีร่างกายนี้ก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาในร่างกายนี้อีก เราถอนใจออกมาจากการยึดถือ ก็จะเป็นคนละส่วนกัน ไม่ตั้งกำแพงแล้วใครที่ไหนจะขว้างอะไรมาถูกได้ พอถึงเวลาเราก็สามารถที่จะดึงตนออกมาจากสภาพนั้นได้ ก็พ้นไปจากรัก โลภ โกรธ หลง

แต่ถ้าไม่เริ่มจากเห็นโทษ เราก็ยังยึดติดอยู่ เพราะไม่เบื่อ ไม่หน่าย จึงต้องเห็นโทษก่อน การเห็นโทษก็คือปัญญา คือสัมมาทิฐิ แล้วเราก็ค่อยมาไล่ ศีล สมาธิ ตบท้ายด้วยปัญญาอีกที


ถาม : กามราคะมองไม่ค่อยเห็นโทษ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าจิตยังไม่เบื่อหน่ายก็เสร็จหมด

ถาม : ขนาดมีฌานกดอยู่ ?
ตอบ : ระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น อย่างฤๅษีพอเหาะผ่านสระสวนอุทยาน เห็นนางกำนัลกำลังเล่นน้ำอยู่ก็ร่วงลงมาเลย

ถาม : ขนาดจับภาพพระได้แล้ว ยังเกิดได้ ?
ตอบ : แค่ข่มไว้เฉย ๆ ถึงเวลาเราไปยกก้อนหินออก หญ้าก็งอกงามใหม่ คราวนี้งอกเร็วเสียด้วยเพราะเก็บกดมานาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 25-03-2023 เมื่อ 00:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 10-07-2013, 20:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วการยินดีในสุขเป็นกามราคะไหมครับ ?
ตอบ :ส่วนนั้นยังเป็นรูปราคะอรูปราคะ เป็นสังโยชน์ในส่วนละเอียด ไม่ใช่เรื่องกามราคะที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่เป็นสภาพจิตที่ยึดในรูปหรืออรูปแล้วมีความสุข

ถาม : คำว่ารูปราคะกับอรูปราคะ คือติดในรูปฌานและอรูปฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือรูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ แต่เป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด คือรูปฌานกับอรูปฌาน

ถาม : คำว่า ติดในรูปฌานและอรูปฌาน ก็คือ ?
ตอบ : ก็คือฌานตั้งแต่อุปจารสมาธิไล่ขั้นไปถึงฌาน ๔ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยังข้องเกี่ยวอยู่กับรูปต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้าใช้กสิณต้องยึดรูปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในส่วนของอรูปฌาน สภาพจิตมีความสุขเพราะทิ้งรูปนั้นได้ คิดว่ารูปนี้ทำให้เกิดทุกข์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพราะความอยากต่างหากทำให้เกิดทุกข์

ถาม : อรูปนี่ไม่ใช่ในกาม ?
ตอบ : อรูปเป็นความละเอียดของสมาธิจิตที่เข้าถึงในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมีความสุขประณีตกว่า ในลักษณะที่ไม่ต้องเสพเสวยด้วยอายตนะ รับรู้เพียงด้วยใจเท่านั้น จัดเป็นกามราคะแบบละเอียด จะเรียกว่ากามราคานุสัยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 25-03-2023 เมื่อ 00:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 11-07-2013, 14:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พยายามดูว่าท่านชอบใจอะไรแล้วพยายามทำให้ได้ดั่งใจของท่าน อาจจะลำบากเราหน่อย แต่ถือว่าเราเกิดมาทุกวันนี้ก็ด้วยท่าน การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราก็ไม่มีแดนเกิด ในเมื่อท่านมีบุญคุณส่งเรามาเกิดแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ท่านทำ อะไรบางอย่างจะไม่ถูกอารมณ์เราก็ตาม ต้องถือว่าเป็นความบกพร่องของเราเอง

ฉะนั้น..ตัวเราควรที่จะเลือกดูว่าท่านชอบใจอะไร แล้วทำอย่างนั้นให้ได้ แต่ถ้าพยายามทำทุกอย่างแล้ว ท่านยังไม่ชอบใจสักอย่าง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเราสร้างกรรมไว้มากเกินไป เจอสถานภาพอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดสำหรับเราไม่มีอีก ตายแล้วไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องมีแม่ด้วย


ถาม : แม่เขารู้เรื่องเกี่ยวกับพระโสดาบัน ?
ตอบ : เรื่องของพระโสดาบันเขาเน้นเรื่องศีลและการเคารพพระรัตนตรัย และสติสุดท้ายให้รู้อยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าแม่มีความรู้ทางด้านนี้ เวลาแม่ออกงิ้วหรือโกรธ ก็สะกิดเล่น ๆ "แม่..ตายตอนนี้ไม่ได้ขึ้นข้างบนนะ" ท่านจะโกรธมากขึ้นหรือได้สติมากขึ้นก็ช่างเถอะ สะกิดให้รู้ตัวหน่อยก็แล้วกัน

ถาม : ตอนนี้มักโกรธ ไม่มีใครเอาใจถูก ?
ตอบ : ถ้าอยู่ใกล้แล้วทำให้ท่านโกรธมากขึ้นก็ถอยห่างออกมานิดหนึ่ง ถ้ามีโอกาสแล้วค่อยแวะไปดูใหม่ ต้องบอกว่าธรรมดาคนแก่เป็นอย่างนั้น เลือดลมแปรปรวน จิตใจไม่ปกติ อาการอย่างนี้ เดี๋ยวเราก็เป็นเหมือนกัน ในเมื่อเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นหรือยังว่าน่ากลัวขนาดไหนที่ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็เบื่อ ไม่อยากจะเป็น ไปพระนิพพานดีกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 15:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 11-07-2013, 14:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ เพราะเราไปจ้างคนอื่นให้ทำให้เราเห็นทุกข์ ก็ยังจ้างไม่ได้เลย แต่เขาช่วยให้เราได้เห็นทุกข์ พระพุทธเจ้ากว่าจะเกิดมา ต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถึงจะเห็นทุกข์อย่างชัดเจน ตอนนี้สิ่งทั้งหมดนี้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดีของเรา

การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละชาติ ถ้าคิดเป็นทรัพยากร กว่าจะครบ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป มากจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าสูงค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก จะไปจ้างวานเขา บังคับเขา เพื่อทำให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ ก็จ้างใครไม่ได้หรอก บังคับใครไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาแสดงให้เราเห็นอย่างชัดที่สุด

ฉะนั้น..ต่อไปถ้าสภาพจิตเราพลิกกลับอีกรอบหนึ่ง เราจะรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งเลย ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางเห็นทุกข์ได้ชัดเจน ไม่มีทางที่จะเบื่อหน่ายในร่างกายและโลกนี้ได้แบบนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 11-07-2013, 14:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเลย ?
ตอบ : ก็มัวแต่กังวลแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบัน อย่าไปคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเก่า เขาทำอย่างไรกับเรา เขาจะทำอย่างไรกับเรา ไม่ต้องไปคิด ที่ผ่านมาแล้วช่างมัน ยังมาไม่ถึงช่างมัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกในปัจจุบัน ถ้ารักษาอารมณ์นี้ได้ความก้าวหน้าจะมี ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเริ่มทุกข์ ความก้าวหน้าจะหาไม่ได้อีกต่างหาก

ถาม : เวลาอยู่คนเดียวไม่มีอะไรให้ยึด ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ได้สักองค์หนึ่งที่เราเคารพมากที่สุด บารมีพระครอบคลุมอยู่ทุกอณูในจักรวาลนี้ เพียงแต่เราระลึกถึงท่านหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงท่าน ท่านก็อยู่ในจิตในใจเรา พร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเหลือเรา ต่อให้เรารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอให้เราเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นแล้วยึดท่านเป็นที่พึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 11-07-2013, 14:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอให้จำไว้นะ ความทุกข์เป็นสิ่งมีค่าที่หาซื้อไม่ได้ ต่อไปถ้ากำลังใจเราสูงกว่านี้ จะขอบคุณเขาอย่างบอกไม่ถูก ดีไม่ดีจะนั่งร้องไห้เป็นวัน ๆ

ใครทำให้เราโกรธ ใครทำให้เรากลุ้ม ใครทำให้เราเกลียด ใครทำให้เรากลัว ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเข็ด ไม่อยากเกิดอีก ต่อไปเราต้องกราบขอบคุณเขาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน จ้างใครช่วยให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ยังไม่ได้เลย พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนโลกพลิกกลับ มองคนละมุมไปเลย สิ่งที่เคยเห็นเป็นทุกข์เป็นโทษ กลับเป็นประโยชน์ไปหมด

ถ้ายังทำไม่ถึง ก็ยังวางไม่ได้ ถ้าทำถึงจริง ๆ แล้วจะเห็นประโยชน์ของทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นท่านนั่งกราบกระท่อมน้ำตาไหลอยู่ครึ่งค่อนวัน กระต๊อบหลังเดียวแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมดทุกอย่างเลย

เราจะเห็นว่ากระท่อมแค่นั้น ถ้าสภาพจิตเราละเอียดอ่อนจะเห็น ทุกสิ่งทุกอย่าง ประเภทเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไม้สอย ทุกอย่างอยู่ในหลักธรรมทั้งหมด เป็นครูของเราทั้งหมด เสื้อผ้าตอนแรกใหม่ ตอนนี้เก่า ตัวผ้าเองสะอาด พอเราใส่ไปโดนเหงื่อไคลเข้าไปก็สกปรก เห็นเป็นหลักธรรมหมด

ถาม : ทำไมเห็นถึงขนาดนั้นคะ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงแล้วจะเห็นยิ่งกว่านี้อีก ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ให้มีสติรู้ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำให้ได้ อย่าไปหยุดอยู่แค่นั้น โดยเฉพาะคำพูดบางอย่าง ถ้าไม่พูดมีประโยชน์กว่าพูด เพราะฉะนั้น..ตั้งสติอยู่กับคำพูดให้มาก ๆ บางอย่างเราพูดไปสะเทือนคนอื่น กลายเป็นเราสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ต่อให้เขาไม่คิดเป็นศัตรูกับเรา เขาก็จะไม่ชอบหน้าเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-07-2013 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 11-07-2013, 14:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ในเรื่องของคำพูดนั้น

วาจาที่ไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาไหนไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตก็ไม่กล่าววาจานั้น
วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตรู้ว่าควรจะกล่าวเวลาไหน
วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตมักกล่าววาจานั้น


ฉะนั้น..พยายามตั้งสติให้ดี ระวังเรื่องคำพูดได้ ต่อไปก็จะระวังเรื่องใจได้

พวกเราปฏิบัติในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา มามาก ตอนนี้เรื่องของศีล เราบังคับกายของตนเองได้ แต่จะไปเผลอเรื่องวาจา เมื่อคอยระวังเรื่องวาจาได้ เมื่อควบคุม กาย วาจา ได้ ต่อไปก็ระวังเรื่องใจ ไปเป็นขั้น ๆ ตอนนี้ก็ระวังว่าจะพูดคำหยาบไหม ? จะพูดเพ้อเจ้อไหม ? จะพูดส่อเสียดไหม ? จะพูดโกหกไหม ?


ถาม : บางทีก็มีค่ะ
ตอบ : กลับไปก็หาเหรียญมาอม อาตมาเคยอมมาแล้ว ไม่อย่างนั้นปากไว เมื่อก่อนปากไวมาก ถึงเวลาก็อมเหรียญ พอจะขยับลิ้นก็ติดเหรียญหลวงพ่อ ก็นึกได้ว่าต่อไปจะไม่พูดอย่างนั้น ๆ อีก แต่อย่าอมนานนะ เดี๋ยวเหรียญสึก ราคาตก ...(หัวเราะ)...

ถาม : บางอย่างเราก็ไม่อยากจะโกหก แต่ถ้าเราพูดอย่างนั้นแล้วสถานการณ์ดีขึ้น ?
ตอบ : ในเรื่องของการโกหก เขาเน้นว่าหลอกลวงคนอื่นแล้วผลประโยชน์ตกแก่เรา ถ้าผลประโยชน์ตกแก่ส่วนรวม ผิดสัก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ก็พอ อย่างสมัยก่อน เวลาขี่ม้าลากกิ่งไม้คนละ ๗ - ๘ กิ่ง ฝุ่นตลบมาแต่ไกลเลย พวกนั้นคิดว่ากองทัพม้ามาเยอะ ความจริงมีแค่ ๕ ตัว ๑๐ ตัวเอง นั่นเจตนาโกหกเลย แต่แหม..คนเขามาเป็นหมื่น ถ้าตีเราก็ตายสิ..ก็ต้องหลอกเขาก่อน...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 15:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 11-07-2013, 17:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นั่งกรรมฐานทีไรจะหลับทุกที ช่วงนั้นเป็นอารมณ์อะไรคะ ?
ตอบ : ปฐมฌานหยาบ พอสภาพจิตทรงสมาธิเป็นฌานแล้ว สติตามไม่ทัน ดำรงอยู่ในสมาธินั้นได้แต่สติขาดไป เพียงแต่มีตัวรู้ตัวกำหนด คือถ้าถึงเวลาแล้วจะออกจากฌาน พอได้ยิน "อิทัง ปุญญะผะลัง.." จะโผล่พรวดออกมา ต่อไปถ้าต้องการก้าวข้ามจุดนี้ได้ ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจี้ติดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าห่างเมื่อไรก็เป็นอีก...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2013 เมื่อ 19:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว