|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนหายไป ๓ วัน เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไปจัดการอบรมการเขียนบทความทางวิชาการ ซึ่งแตกต่างจากการเขียนหนังสือทั่วไปมาก แล้วในฐานะผู้บริหารของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีก็หนีงานไม่ได้ ในฐานะเจ้าภาพยิ่งหนีงานไม่ได้ใหญ่ หนีงานแล้วไม่มีคนจ่ายเงิน..! อยู่ในห้องแอร์ ๒ วันเต็ม ๆ จะโดนไข้จับตาย
ในส่วนที่ผ่านมา ก็มีเสียงสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ ลงไปทดแทนไว้ให้ คราวนี้การที่เราจะใช้พระคาถาอะไรก็ตาม ส่วนที่ต้องคำนึงถึงเลยก็คือความจริงจังและสม่ำเสมอ เพราะว่าคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา คนจะเล่นอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาดจริงจัง จะไปทำเล่น ๆ แบบแก้บนไม่ได้ ถ้าเราสามารถทำได้สม่ำเสมอ ก็คือเคยภาวนาวันละเท่าไรก็เท่านั้น ต่อเนื่องกันอย่างน้อย ๒ เดือน ผลก็จะเกิด แต่คราวนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็มักจะไปทำผิดวิธี เพราะว่ามักจะไปใช้คำว่า "สวดพระคาถา" คาถาเขาให้ใช้เป็นคำภาวนา ก็แปลว่าต้องจับควบคู่ไปกับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องไปกังวลว่าลมจะกระทบฐานไหน ให้รู้ตลอดไปตามคาถาที่เราว่าก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าถ้าไปมัวแต่ไปห่วงฐานกระทบของลม ใจก็จะพะวง แล้วจะทำให้มีผลน้อย เรื่องพวกนี้ ความจริงแล้วไม่ควรที่จะต้องมาบอกกล่าวกันให้เสียเวลา เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่ทำมา ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้คาถาเอาไว้หลาย ๑๐ หรือนับเป็น ๑๐๐ บท ไม่เคยสงสัยเลยว่าต้องทำอย่างไร พอท่านให้มาก็ไปตั้งหน้าตั้งตาภาวนา แล้วผลก็เกิดเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2021 เมื่อ 01:49 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
คราวนี้พวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าเริ่มทำอะไรด้วยความลังเลสงสัย ผลจะเกิดได้ยากมาก เพราะว่าความลังเลสงสัยก็คือวิจิกิจฉา เป็นหนึ่งในกิเลสหยาบที่กั้นใจของเราไม่ให้เข้าถึงความดี พอบอกว่าให้ภาวนาก็ทำไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาคิดว่าภาวนาอย่างไร ? ภาวนาแล้วได้อะไร ? ต้องทำมากทำน้อยแค่ไหน ? มีอย่างเดียวคือกำหนดใจของเราเองว่าจะทำเท่าไร แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเท่านั้นเอง
ในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา คำตอบทุกอย่างอยู่ตรงการลงมือทำ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งถามก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แต่ถ้าหากว่าทำ จะมีประโยชน์มาก เพราะว่าทำแล้ว อันดับแรกก็คือ ถ้าทำดีทำถูก ก็เกิดผล ถ้าทำผิด ก็จะได้แก้ไขให้ถูก เมื่อเกิดผลขึ้น ความมั่นใจจะบังเกิดขึ้น แล้วถ้าไม่โง่เกินไปนักก็จะจำได้ว่า ตอนที่ผลของคาถาเกิดนั้น เราวางกำลังใจอย่างไร ครั้งต่อไปก็วางกำลังใจแค่นั้น คราวนี้ให้คาถามาเป็นร้อยเป็นพันบท ก็ย่อมได้ผลเหมือนกัน ดังนั้น...ในเรื่องของการใช้คาถาหรือวัตถุมงคลก็ตาม ตัวศรัทธา เชื่อมั่น ปราศจากความลังเลสงสัย เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สมัยโบราณคนเขารบรากัน ถึงเวลาถือหอกถือดาบขาววับวิ่งเข้าใส่กัน ถ้าขาดความเชื่อมั่นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองใช้อยู่จะคุ้มครองได้ รับรองว่าไม่รอดอย่างแน่นอน ตอนที่กระผม/อาตมภาพใช้พวกคาถาอยู่ยงคงกระพัน เคล็ดลับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ก็คือ ให้เห็นว่าอาวุธทั้งหมดเป็นของเล่น ในเมื่อเป็นของเด็กเล่น ย่อมทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้ากำลังใจของเราต้องมั่นใจขนาดนั้น อาวุธต่าง ๆ ถึงจะทำอันตรายไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-09-2021 เมื่อ 23:49 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพทดสอบมาด้วยตัวเองแล้ว ก็คือออกไปไล่พวกเรือหาปลา แล้วเขาคว้าปืนลูกซองออกมาจะยิง เมื่อเดินเข้าไปหาเหมือนอย่างกับว่าเขาถือสากกะเบืออยู่อันหนึ่ง ปรากฏว่าอีกฝ่ายยิงไม่ออก ต้องโยนปืนทิ้งแล้ววิ่งหนี ทำอย่างไรที่เราจะวางกำลังใจของเราให้มั่นคงขนาดนั้นได้ ?
แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าทำได้แล้ว ภายหลังถ้าท่านต้องการมรรคต้องการผล กำลังใจจะพลิกกลับมายาก เพราะว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล เราต้องละวางอุปาทานและการยึดเกาะทั้งปวง แต่เรื่องของการใช้คาถา เราต้องสร้างอุปาทานให้เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า อาวุธของฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับของเด็กเล่น เป็นแค่ไม้หรือพลาสติกเท่านั้น แล้วกำลังใจของเราจะไปยึดในลักษณะนั้นจนเคยชิน ถ้าแยกแยะกำลังใจของตัวเองไม่เป็น อย่างดีก็ไปได้แค่รูปพรหม แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราทำไว้ อันดับแรกเลยก็คือ กำลังใจของเรามีเครื่องยึด ถ้าสมาธิทรงตัว จิตใจก็สงบจากรัก โลภ โกรธ หลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้น พอจิตสงบ ปัญญาก็จะเกิด เราจะมองเห็นเองว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะสามารถหลุดพ้นเป็นชั้น ๆ ไปได้ ก็คือค่อย ๆ ลด ค่อย ๆ ละ แล้วท้ายสุดก็เลิก เราจะเห็นว่าบรรดาพระที่ท่านเข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว เรื่องของอภิญญาสมาบัติ ท่านแทบจะไม่ได้ใช้อะไรเลย เพราะว่าในความรู้สึกของท่านก็คือของเด็กเล่น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อารมณ์ที่อยากจะเล่นก็หมด ส่วนใครที่ยังคันไม่เลิก ก็จงเล่นต่อไป เพราะว่าอย่างน้อย ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงอยู่ในด้านดี เวลาตายก็ไปสุคติ เพียงแต่ว่าถ้าหวังสูงถึงขนาดหลุดพ้นเลย ต้องมีปัญญาเพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะเอาตัวไม่รอด เพราะว่าใจไปยึดอุปาทานไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-09-2021 เมื่อ 23:49 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
คำว่า "อุปาทาน" ก็คือการที่เรายึดมั่นกับของเก่า ของเดิม สิ่งที่ได้ยินมา สิ่งที่ได้ฟังมา สิ่งที่ได้ทำมา ในเมื่อเรายึดของเดิมโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมปล่อยวาง โอกาสที่จะเข้าถึงความดีสูงสุดย่อมเป็นไปไม่ได้
ตรงนี้ผมเห็นความ "โหด" ของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือท่านเชื่อว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอที่จะแยกแยะออกได้ สอนเสร็จแล้วท่านทิ้งเลย ประมาณว่า "มึงไปหาทางออกเอาเอง" ตรงจุดนี้ต้องบอกว่า ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่เชื่อมั่นในความสามารถของลูกศิษย์ เพียงแต่ลูกศิษย์เองจะมีความสามารถเท่าที่ครูบาอาจารย์ไว้ใจหรือเปล่า ? ส่วนพวกท่านทั้งหลายเอง กระผมเห็นว่า ถ้าหากไม่บอกก็คงจะโง่ไปอีกนาน...! จึงได้บอกให้รู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าจะเลือกเอาแบบไหน ถ้าจะไปทางวิสุทธิมรรค ก็วิ่งเข้าหาศีล สมาธิ ปัญญาตรง ๆ ไปเลย แต่ถ้าคิดว่าการทำแบบนั้น เหมือนอย่างกับเราตั้งใจที่จะเดินทางรอบโลก ถ้าไม่มีที่ให้แวะ ไม่มีที่ให้พักเสียบ้าง ก็รู้สึกว่าจืดชืดแห้งแล้งเกินไป เราก็ฝึกฝนเอาไว้ อย่างน้อย ๆ ถึงไม่ได้ใช้งานเอง เมื่อเวลาญาติโยมเดือดร้อน ก็ยังพอที่จะแบ่งเบาบรรเทาความเดือดร้อนของเขาได้ กระผม/อาตมภาพเอง เดี๋ยวต้องไปเข้าปฏิบัติธรรมของทางมหาจุฬาอาศรม ซึ่งต้องทำต่อเนื่องทุกวันอาทิตย์ ๓ อาทิตย์ติดต่อกัน ก็แปลว่าช่วงทำวัตรค่ำของวันอาทิตย์ทุกวัน จะไม่ได้เจอหน้ากระผม/อาตมภาพอีก อย่างน้อยก็อีก ๒ ครั้ง จึงขอโอกาสเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวให้แก่ญาติโยมเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2021 เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|