กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-12-2009, 15:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก

กระแสโลกนั้นแรงและเร็ว ถ้าใครหลงเข้าไปในกระแสแล้วจะออกยาก ปราชญ์โบราณเขาจึงได้บอกว่า ปิดตาไม่ดู ปิดหูสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง จะนั่งสบาย รับอะไรเข้ามามากเกินก็จะเป็นโทษแก่ตัวเอง ยิ่งรับโดยไม่รู้จักคิดพิจารณาด้วย ก็ยิ่งเป็นโทษมากขึ้น เพราะว่าทันทีที่เรารับเข้ามา ก็จะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาว่า ชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เป็นเรื่องของโลภะกับราคะ ไม่ชอบก็เป็นเรื่องของโทสะกับโมหะ กิเลสกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าหากเราคิด ก็เป็นมโนกรรม พูดขึ้นมา เชียร์ขึ้นมา ไม่ว่าจะข้างไหน (เสื้อแดง-เสื้อเหลือง)ก็เป็นวจีกรรม แล้วถ้าลงมือเลยก็เป็นกายกรรมครบถ้วนสมบูรณ์ เขาหลอกให้เราสร้างกรรมอยู่ตลอด ตราบใดที่เราสร้างกรรมอยู่ ตราบนั้นเราก็หลุดพ้นไม่ได้

ถาม : ทำใจให้เป็นกลางยากนะครับ เพราะโดนกรอกใส่หูมาทั้งวัน
ตอบ : ต้องรู้จักคิด "มิดีมิร้าย" แล้วก็จะเป็นกลางพอดี

ถาม : ในความหมายของผมไม่ใช่ครับ
ตอบ : ถ้าคิด"มิดีมิร้าย" ได้ ก็จะเป็นกลาง เป็นอัพยากฤตธรรม

เรามาดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่วุ่นวายระดับวิกฤต มีธรรมะใดของพระพุทธเจ้าที่จะมาดับร้อนผ่อนเย็นได้บ้าง ? ก็เห็นสรรเสริญกันนักว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับยุคสมัย เมื่อไรก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้น..สถานการณ์อย่างนี้ก็ต้องใช้ได้ มีใครว่าควรจะใช้ธรรมใดมาแก้วิกฤตนี้ได้บ้าง ? ลองซ้อมลับสมองหน่อยสิ...

ถาม : อปริหานิยธรรม ?
ตอบ : อปริหานิยธรรม สามัคคีกัน ถึงเวลาก็พร้อมเพรียงกันเดินขบวน ?

ถาม : พรหมวิหาร ๔ ตอบแบบกำปั้นทุบดินครับ
ตอบ : พรหมวิหาร ๔ ไม่กำปั้นทุบดิน คือ ถ้าหากเรารักผู้อื่นเสมอเท่ากับตนเอง เราก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่ต้องการความเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาเท่านั้น ถ้าเราสงสาร ไม่อยากเห็นเขาทุกข์ยากลำบาก ก็อย่าไปปิดถนนสิ และถ้าหากเห็นว่าเขาได้เจ็ดหมื่นล้านก็หัดมุทิตาเสียบ้าง ไม่ใช่ไปอิจฉาเขา และท้ายสุด ต้องรู้จักวางอุเบกขาบ้าง สิ่งที่เขาทำอยู่นั้น เป็นการสร้างกรรมให้กับตนเอง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีผลทั้งสิ้น มีผู้รู้เขาบอกว่า คนเรายิ่งพูดมากก็ยิ่งโกหกมาก ถ้ายิ่งโกหกมากก็ยิ่งโดนจับได้ง่าย

ถาม : แล้วมโนกรรมนี่คิด..
ตอบ: จะคิดดี คิดชั่ว ก็ส่งผลทั้งนั้น คิดดีส่งผลด้านดี คิดชั่วส่งผลด้านชั่ว เป็นมโนกรรม จะว่าไปจริง ๆ แล้วธรรมะที่เหมาะกับยุคสมัย ต้องเริ่มที่ไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2014 เมื่อ 11:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-12-2009, 15:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความใจร้อนใจเร็วตามสถานการณ์ ถ้าหากเอาตามหลักการค้าของจีน พวกกู้จะเป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิจการ เราสังเกตดูคนจีนสมัยก่อน รุ่นปู่ รุ่นทวด เขามาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ อดมื้อกินมื้อ ค่อย ๆ สะสมรายได้ พอมีรายได้พอสำหรับจะทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็เริ่มลงมือทำกิจการนั้น สมัยโบราณเขาใช้คำว่าสู้แค่หน้าตัก ก็คือตัวเองมีเท่าไรก็ลงทุนแค่นั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาเจ๊งก็เสมอตัว ไม่มีหนี้ แต่สมัยนี้ไม่ใช่อย่างนั้น สมัยนี้ใช้ระบบกู้หนี้มา เป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน จะว่าไปแล้วผิดหลักมากเลย ในเมื่อเป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน ทำแล้วได้มาก็ไม่ใช่ของเรา

โดยเฉพาะเรามองในลักษณะ ๑+๑ = ๒ เพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่าเราทำเท่านี้ต้องได้เท่านี้ ถ้าหากทำสิบวันได้เท่านี้ ทำหนึ่งเดือนได้เท่านี้ ทำหนึ่งปีได้เท่านี้ แต่เราไม่ได้คิดว่า ถ้าไม่ได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? นั่นเป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างเดียว จริง ๆ แล้วไม่ว่าการทำกิจการอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าเริ่มกิจการต้องคิดในแง่ที่แย่ที่สุดไว้ก่อน ว่าถ้าพลาดแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ? หรือถ้าเจ๊งเราจะแก้ไข จะดึงตรงไหนมาเสริม เอามาค้ำจุน ? หรือว่าจะถอยไปสู่จุดไหน? ถ้าสามารถหาคำตอบอย่างนี้ได้ ก็ทำกิจการได้ แต่ถ้าหาคำตอบตรงนี้ไม่ได้ ทำอะไรก็มีสิทธิ์เจ๊ง

เราต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้จริง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ๑+๑ = ๒ก็ ไม่ใช่เสมอไป เพราะ ๑.๕+๐.๕ = ๒ เหมือนกัน ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราจะคิดว่าทำเท่านี้ต่อวันได้เท่านี้ เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งได้เท่านี้ โดยไม่ได้คิดถึงปัจจัยเสริมที่เข้ามา พวกปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำให้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ไม่เป็นตามที่เราคิด ถึงได้บอกว่า ถ้าทำกิจการต้องคิดถึงในแง่ที่ร้ายที่สุด

ถ้าใครอ่านเพชรพระอุมา พระเอกคือรพินทร์ ไพรวัลย์ เขาจะประเมินสถานการณ์ในด้านที่ร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน แล้วเตรียมการแก้ไข เพราะฉะนั้น..เกิดอะไรขึ้นมา ก็ไม่แย่ไปกว่าที่เขาคิดเตรียมเอาไว้ แล้วเขาจะรับมือได้ทุกอย่าง ดังนั้นว่า..ใครก็ตาม ถ้าหากว่ามีความอดทน ค่อย ๆ เริ่มไปทีละน้อย ฐานเขาจะแน่น แต่ถ้าไม่มีความอดทน หวังรวยเร็ว ต้องจับงานใหญ่ ก็ต้องกู้เงินเยอะ หลักทรัพย์ค้ำประกันก็สูง ถ้าพลาดแล้วจะไม่เหลืออะไรเลย

อย่าลืมว่าสมัยโบราณรุ่นปู่ รุ่นทวด ที่เขาบอกว่าสู้แค่หน้าตัก ต่อให้เจ๊งขนาดไหนเขาก็ยังเท่าทุน แต่สมัยนี้เป็นหนี้ตั้งแต่เริ่ม พระพุทธเจ้าบอกว่า อิณาทานํ ทุกขํ โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก เป็นโค-ตะ-ระ-ทุกข์ในโลกเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าเป็นหนี้ใคร โดยเฉพาะสันดานอย่างพวกเราอย่าให้ใครเป็นหนี้ด้วย เพราะว่าพวกเราพอเป็นหนี้เขาก็อยากจะใช้คืน อยู่ไม่สุขหรอก หาความสุขไม่ได้...เครียด แต่พอคนอื่นมาเป็นหนี้เรา มาหยิบยืมเรา เราดันไม่กล้าทวงเขาอีก ฉะนั้น..ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลย อย่าเป็นหนี้ใครและอย่าให้ใครเป็นหนี้เรา เชื่อพระพุทธเจ้าท่านเถอะ เป็นหนี้ทุกข์ที่สุดในโลกจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2014 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-12-2009, 16:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าเรามั่นใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ระยะเวลาและผลกระทบอาจจะมากหน่อย กว่าจะดับก็ช้าหน่อย และแทนที่จะดับ หลายต่อหลายคนก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดต่อด้วย ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลัง เขาบอกว่าทำเพื่อสถาบัน ทำเพื่อในหลวง ถ้าเราฟังสมเด็จพระเทพฯ ก็จะเห็นว่าท่านพูดชัดเจนมาก ท่านให้สัมภาษณ์ข่าวต่างประเทศว่า "เขาทำเพื่อตัวเขาเอง"

ถ้าหากรักในหลวง ในหลวงตั้งรัฐบาลไปเขาไม่ยอมรับ เขารักจริงหรือเปล่า ? และฝ่ายที่ตั้งไปก็ปฏิญาณต่อหน้าในหลวงว่า จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่ทันจะทำเลยก็แย่งเก้าอี้กันแล้ว ต่างประเทศอย่างอังกฤษ เขามีแค่สองพรรค อนุรักษ์นิยมกับประชาธิปไตย ทั้งสองพรรคเขาทำงานร่วมกัน ทันทีที่พรรคหนึ่งเข้าไปเป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งจะตั้งคณะรัฐบาลเงาขึ้นมาทันทีเลย ให้คนนี้เป็นนายกฯ คนนี้เป็นรองนายก คนนี้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย คนนี้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ฯลฯ เหมือนกับรัฐบาลทุกอย่างและทำงานร่วมกัน ถึงเวลาประชุมสภา ฝ่ายค้านประชุมด้วย ถ้าฝ่ายค้านมีความคิดใดที่ดีกว่ามาเสนอ รัฐบาลก็รับไปทำและให้เครดิตว่าเป็นความคิดของฝ่ายค้าน ก็จะเป็นการสานต่อนโยบายหนุนเสริมกันตลอด บ้านเขาจึงเจริญ ถ้ารัฐบาลมีอันต้องร่วงลงกระทันหัน ฝ่ายค้านเข้ามารับหน้าที่ทำได้เลย เพราะเขาทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว ทุกคนที่บอกว่าเป็นรัฐมนตรีเงา เขาก็ทำตัวเหมือนรัฐมนตรีจริง ๆ รับรู้ขั้นตอนการบริหารทุกอย่างเพราะทำงานร่วมกัน

แต่บ้านเราไม่มี บ้านเรามีแต่เลื่อยขาเก้าอี้บ้าง แทงข้างหลังบ้าง สาดโคลนบ้าง ดังนั้น..ประชาธิปไตยบ้านเราก็เลยกลายเป็นประชาธิปไตยน้ำเน่า หาความเจริญได้ยาก แต่จะว่าไปแล้วต่างประเทศเขาใช้ระบบนี้มาก่อนหน้าเราเป็นร้อย ๆ ปี พัฒนาการของเขาก็เลยล้ำหน้าเราไป บ้านเราถ้านับแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ เป็นต้นมา มันก็เพิ่งขึ้นเป็นปีที่ ๗๖ ถามว่านานไหม ? นาน..แต่ถ้านับเป็นพัฒนาการของการเมือง ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ยังไม่นานเท่าไร เพราะบ้านเมืองเรายังไม่พร้อม

รัชกาลที่ ๖ เยี่ยมมากเลย ท่านค่อย ๆ สอดแนวคิดประชาธิปไตยให้ชาวบ้านรับรู้ไปทีละน้อย ๆ ออกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตให้ชาวบ้านวิจารณ์ได้ ท่านเองก็เขียนตอบ สร้างดุสิตธานีขึ้นมาเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัชกาลที่ ๗ ก็รับช่วงขึ้นมา ท่านรู้ว่ายังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง ต้องบอกว่าคนไทยมีนิสัยขี้ข้ามานาน ถ้าไม่มีคนจิกหัวใช้ก็ไปไม่เป็น คิดเองไม่เป็น ทำเองไม่เป็น รัชกาลที่ ๗ เกรงว่าตรงนี้คนไทยจะเอาตัวไม่รอด ก็เลยค่อย ๆ ขยับทีละน้อย ๆ แต่คณะราษฎร์ใจร้อน ถล่มพระองค์ท่านลงมาเสียก่อน ตลอดเวลา ๗๖ ปี ประชาธิปไตยบ้านเราไม่เคยเต็มใบเลย เพราะมีเผด็จการทหารแทรกขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แต่ละระยะยาวนานมาก

เพราะฉะนั้น...พัฒนาการจึงก้าวหน้าช้า แต่ไม่ใช่ว่าไม่ก้าวหน้าเลย อย่างน้อย ๆ บ้านเรา การตรวจสอบของภาคประชาชนก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปใครเป็นรัฐบาล โอกาสที่จะไปงุบงิบโกงกินใครก็ยากขึ้น แต่ว่าช้า เราใจร้อนไม่ได้ ต้องให้ค่อยเป็นค่อยไปตามครรลองของเขา ถ้าหากทุกวันนี้ที่เขาเรียกร้องกันอยู่ เราลองมาคิดกันว่าประชาธิปไตยคืออะไร โดยประชาชน เพื่อประชาชน แล้วปัจจุบันนี้คืออะไร ? เสียงส่วนใหญ่เลือกนักการเมืองมาให้ทำหน้าที่ จะดีจะชั่วอย่างไรเราต้องยอมรับ ถ้ามีความเป็นสุภาพบุรุษพอ มีความใจกว้างพอ อีกสี่ปีค่อยว่ากันใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2014 เมื่อ 11:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-12-2009, 17:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้ารับเข้ามา แล้วไม่รู้จักคิดก็เครียด หรือคิดแล้ววางไม่ได้ก็เครียด ถึงได้บอกว่า พวกเราให้ทำมาหากินตามปกติ การเมืองจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของการเมือง พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรอยู่ได้นานหรอก ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ ก็ไม่ต้องไปเครียดกับใคร

โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของเราท่านเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่องจริง ๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยสรรเสริญระบบปกครองไหนว่าดี ประชาธิปไตยที่เราสรรเสริญกันนักหนา ท่านก็ไม่ได้บอกว่าดี แต่ท่านบอกว่า ถ้าปกครองโดยระบอบกษัตริย์ ต้องมีธรรมะก็คือ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหะ เป็นต้น ถ้าปกครองโดยสามัคคีธรรมคือประชาธิปไตย ก็ต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น เพราะท่านรู้ว่าระบอบต่อให้ดีแสนดี ถ้าคนชั่วเสียอย่างก็ไปไม่รอด จึงต้องมีธรรมะมากำกับ เพราะฉะนั้น..ทำอย่างไรที่กำลังใจของพวกเราจะอยู่กับธรรมะ ถึงเวลาแล้วไม่เต้นไปตามเขา เวลาฟัง ๆ แล้วรู้สึกเครียด เพราะข่าวที่กรอกหูอยู่ทุกวัน จะว่าไปแล้วนักข่าวจะต้องเป็นกลาง เป็นกลางยิ่งกว่ากลาง คือเสนอข้อเท็จจริงตามสภาพที่เห็น โดยไม่เอาอารมณ์ของตัวเองเข้าไปด้วย ไม่ใช่ไปตัดสินให้เสร็จสรรพเลย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเกิดขึ้นมาต้องประกอบไปด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเอาตัวไม่รอดทั้งในสังคมและทั้งในกระแสโลก ปัญญานั้นมี สุตมยปัญญา ฟังมา อ่านมา ศึกษามา จินตามยปัญญา รู้จักคิดพลิกแพลงเอาไว้ใช้การ ภาวนามยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ตามสภาพความเป็นจริงนั้น ๆ

หรือไม่ท่านแยกอีกอย่างหนึ่งว่า สหชาติกปัญญา ปัญญาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด รู้จักหาอาหาร รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักกลัวภัย ปาริหาริกปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอบรม สั่งสมมาในปัจจุบัน เนปักกปัญญา ปัญญาที่ช่วยให้เอาตัวรอดจากวัฏสงสารได้ แล้วเราเอาไปกองไว้ที่ไหนหมดก็ไม่รู้ ? เพราะเรามักจะให้อารมณ์นำหน้าเหตุผล เลือกที่จะเชื่อ ขอใช้คำนี้ อะไรก็ตามที่ค้านความเชื่อเรา แม้จะเป็นความจริง เราก็ไม่ค่อยยอมรับกัน ตรงจุดนี้เป็นจุดบอดมากของนักปฏิบัติ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความจริง ถ้าเกิดว่าส่วนที่เราเลือกที่จะเชื่อนั้นเป็นปัญญาทางโลก แล้วส่วนที่เราละเลยเป็นปัญญาทางธรรม ก็เป็นอันว่าชีวิตนี้ไม่ต้องเอาดีกัน ท่านจึงได้บอกว่าทุกอย่างมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ถึงเวลาสลายก็สลายไปในลักษณะเดียวกัน รู้หนึ่งก็เหมือนรู้ทั้งหมด รู้ทั้งหมดก็เหมือนรู้หนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2014 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-12-2009, 06:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ของเราอยู่เฉพาะหน้า ก็ใช้ได้ทุกเรื่อง ท่านจึงได้กล่าวว่า ทิฏฐธรรมมิกัตถประโยชน์ เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน เมื่อจิตใจเรานิ่ง สงบ มีปัญญา รู้พิจารณา ก็ไม่วุ่นวายเต้นไปตามเกมเขา สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในภพต่อไป ชาติต่อไป ถ้าหากเรารักษากำลังใจได้ดี ตายแล้วต้องไปสุคติแน่นอน และปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์สูงสุด คือหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ท่านให้ประโยชน์ไว้ทุกระดับ จึงได้กล่าวว่าถ้าสติ สมาธิ ปัญญาทรงตัวจริง ๆ มีประโยชน์ตั้งแต่ต้นยันปลาย เราลองมาวิเคราะห์ดูว่า ที่ผ่าน ๆ มาเราใช้ไปเท่าไร ? เขาบอกว่าเราใช้สมองไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่เรามีอยู่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่เขาให้นี่มากไปหรือเปล่า? ต้องคิดให้ดี ๆ นะ

ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้หมอเขาบอกว่า เราใช้สมองด้านซ้ายมาก ซึ่งเป็นเรื่องของความจำ ส่วนสมองด้านขวาซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์และเหตุผล เราไม่ค่อยได้ใช้กัน แม้กระทั่งเรื่องความจำเขาบอกว่าเราใช้ไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ทำไมพระอานนท์จำพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ได้ ๘๔,๐๐ พระธรรมขันธ์ ?

ลูกศิษย์รุ่นหลัง ๆ ก็จำสืบเนื่องกันมา ๓๐๐ กว่าปีจึงจะมีการบันทึกเป็นตัวหนังสือ แม้กระทั่งในปัจจุบันของเรา หลวงปู่วิจิตตะ สาราภิวังสะ เป็นพระพม่า น่าเสียดายว่ามรณภาพไปแล้ว กินเนสส์บุ๊คบันทึกไว้ว่า เป็นมนุษย์ที่มีความจำยอดเยี่ยมที่สุด สามารถจำพระไตรปิฎกได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เขาคิดเป็นหน้ากระดาษเอ ๔ ได้ ๑๖,๐๐๐ หน้า ขอให้เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง หลวงปู่บอกได้เลยว่าคำต่อไปคืออะไร คำก่อนหน้าคืออะไร ยิ่งกว่าค้นคอมพิวเตอร์อีกนะ คอมพิวเตอร์ยังไม่เก่งขนาดนั้น เพราะเวลาค้นจากคอมฯ จะให้ข้อมูลออกมายาวเลยว่าจะเลือกอันไหน แต่ของหลวงปู่สามารถฟันธงได้เลย เขาทดสอบจนกระทั่งยอมรับว่า ท่านเป็นมนุษย์ที่ความจำเลิศที่สุด นี่แค่รุ่นเรา ๆ เท่านั้นเอง แล้วเรามานึกดูว่า ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่เขาว่า เราได้ใช้ครบแล้วหรือ ? ปัจจุบันเราให้เครื่องจำแทนเราบ่อย...อันตราย ถ้าเครื่องพังเมื่อไร เราจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวเลย


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2014 เมื่อ 11:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ

Tags
อกาลิโก


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว