#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปร่วมงานทำบุญวันบูรพาจารย์วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ตั้งแต่เช้า แต่ว่าไม่ได้อยู่ร่วมฉันเพลด้วย
เนื่องเพราะว่าเมื่อสวดพระพุทธมนต์เสร็จ รับไทยธรรมและให้พรเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบเดินทางไปยังวัดหนองทราย ตำบลหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งพระครูธรรมธรอดิเรก อนุตฺตโร ท่านได้นิมนต์กระผม/อาตมภาพ ให้มาร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล เพื่อฉลองศาลาที่ท่านเพิ่งจะสร้างเสร็จไม่นาน ถึงขนาดรีบเดินทางไป ฉันภัตตาหารบนรถไป แต่ว่าก็ยังไปเกือบจะไม่ทันเวลา ไปถึงวัดหนองทรายแล้ว เจ้าหน้าที่นำไปเข้าห้องน้ำห้องส้วม เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็นิมนต์ขึ้นอาสนะ กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ข้างท่านเจ้าคุณอ่าง (พระนันทวิริยาภรณ์) วัดใหญ่สว่างอารมณ์ พระมหานาคก็เริ่มให้ศีล และนำสวดพุทธาภิเษกพอดี เหลือบดูรอบข้าง เห็นท่านเจ้าคุณชำนาญ (พระมงคลวโรปการ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์อยู่ที่หัวแถว มีหลวงพ่อสมชาย (พระราชพัฒนากร) วัดปริวาสราชสงคราม เป็นผู้จุดเทียนชัย ทางด้านหลังก็คือพ่อท่านสูติ วัดในเตา หรือว่าวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ อีกด้านหนึ่งที่เยื้องไปก็หลวงพ่อแป๊ะ (พระครูยติธรรมานุยุต) เจ้าคณะตำบลบางกระเบา เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ (แคแถว) หลวงพ่อต๋อง (พระครูสุทธิสารโสภิต) รองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค เจ้าอาวาสวัดพุตะเคียน เป็นต้น จึงได้ตั้งใจกราบขอบารมีพระ ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ในการปลุกเสกเหรียญฉลองศาลาของพระครูธรรมธรอดิเรกในครั้งนี้ด้วย เมื่อพระมหานาคสวดไป ๑ จบ ทางด้านพิธีกรก็บอกว่า "ขอให้พระเถระทุกรูปถอนจากสมาธิจิตออกมาพักผ่อนก่อน เนื่องเพราะว่าต้องรอการสวดรอบสอง ซึ่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม จะมาร่วมพิธีด้วย" กระผม/อาตมภาพลืมตาขึ้นมาก็เห็นพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ พระเดชพระคุณพระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ ป.ธ.๗) รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ก็มากันพร้อมหน้า จึงกราบเรียนหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ไปว่า "กระผมเห็นเจ้านายวิ่งแซงหน้าไปลิบ ๆ แต่ว่าตามไม่ทัน เพราะว่าไม่มีรถนำ" ทำเอาท่านเจ้าคุณแย้มถึงขนาดหัวเราะ เนื่องเพราะว่าความจริงต่อให้มีรถนำ กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยวิ่งเร็วเกินกว่าที่ทางหลวงกำหนดให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2023 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนที่รอดมาได้ ทั้ง ๆ ที่โชเฟอร์แต่ละท่านตีนหนักมาก..! ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของดวงล้วน ๆ เมื่ออายุมากขึ้น จึงให้ขับรถช้าลง ต่อให้เร่งรีบขนาดไหนก็ไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนใหญ่ก็จะแช่อยู่ที่ ๙๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่เนื่องจากว่าพลขับ ก็คือน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) นั้น กะระยะในการเข้าออกได้แม่นยำมาก จึงทำให้แทบจะไม่เสียความเร็วไปเลย ดังนั้น..บางทีท่านที่เหยียบถึง ๑๒๐ หรือว่า ๑๔๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ว่าเหยียบแล้วก็ต้องไปเบรค เพราะว่าติดรถคันหน้า บางทีอาจจะทำความเร็วเฉลี่ยสู้กระผม/อาตมภาพไม่ได้ เพราะว่าของเราแทบจะไปเฉลี่ย ๙๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ว่าการขับรถเร็วนั้น ไม่แน่ว่าจะถึงที่หมายเร็ว หากแต่คนที่รู้จังหวะเข้าออก ขับรถตามกฎจราจร อาจจะไปถึงที่หมายได้เร็วกว่า เมื่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีมาถึง ได้ทำการเจิมและจุดเทียนชัยหลัก ตลอดจนกระทั่งเทียนมหามงคลซ้ายขวา แล้วก็ไปเพื่อที่จะจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย ท่านเดินผ่านหน้าแล้วบอกว่า "ขอดูชื่อหน่อย" เนื่องเพราะว่าทุกอาสนะจะมีชื่อผู้นั่งติดเอาไว้ กระผม/อาตมภาพจึงกราบเรียนว่า "พระครูวิลาศกาญจนธรรม วัดท่าขนุนครับ" ท่านเองก็พยักหน้ารับทราบ แต่เชื่อเถอะว่าเดินผ่านไปสามก้าวก็ลืมแล้ว..! ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นบุคคลที่จำแม่นมาก แต่กระผม/อาตมภาพเองตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะว่าการเป็นที่จดจำของระดับครูบาอาจารย์ก็ดี หรือว่าเป็นที่จดจำของผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ตาม กระผม/อาตมภาพรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น..หลายเรื่องหลายราวที่ไม่ต้องการ จึงต้องทำให้คนอื่นลืมไปเสียเลย..! ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคาถาพญาเต่าเรือน สามารถที่จะใช้ในวิธีการเดียวกันนี้ได้ เนื่องเพราะว่าคำว่าเต่าเรือน คือเต่าตัวใหญ่เท่าเรือนยอดนั้น มีคำพ้องว่า "เลือน" ก็คือ เลือนลางจืดจางไปจากคนอื่น หรือว่าไปจากที่นั้น ๆ ดังนั้น..โบราณาจาย์ถ้าหากว่ามีคดีความ ก็มักจะภาวนาคาถาพญาเต่าเรือนนี้ เพื่อที่ขอให้คดีความนั้น เลือนลางจืดจางไปจากตนเอง กระผม/อาตมภาพก็นำมาปรับใช้ โดยการให้ตนเองเลือนลางจืดจางไปจากสายตาผู้บังคับบัญชาหรือครูบาอาจารย์ เวลาที่ไม่ต้องการจะให้ท่านจดจำ คาถานั้นเป็นการภาวนาสลับกันไปสลับกันมา ก็คือ "นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ" ภาวนาจนกระทั่งจิตของเราทรงตัวแล้ว ตั้งใจจะให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น..! เรื่องของคาถาเป็น "บาท" คือพื้นฐานของอภิญญา ใครที่สามารถทำได้บทหนึ่ง บทอื่น ๆ ก็ใช้กำลังในระดับเดียวกัน เมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น จดจำอารมณ์ได้แม่นยำว่า เราวางกำลังใจแบบไหน จึงสามารถใช้คาถาได้ผล ก็ให้วางกำลังใจแบบนั้น แล้วพระคาถาทุกบทก็จะใช้ได้ผลเหมือนกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของการฝึกซ้อมกำลังสมาธิล้วน ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2023 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยจากพิธีการพุทธาภิเษกแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางกลับมายังที่พัก ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน และตรวจสอบรายจ่ายที่จะต้องจ่ายให้กับบรรดาผู้ที่ทำงานให้กับตนในช่วงสิ้นเดือนนี้ อันดับแรกเลยก็คือ รายจ่ายงวดที่ ๑๒ และงวดที่ ๑๓ ของการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน รวมแล้ว ๑๖ ล้านบาท..! อีกส่วนหนึ่งก็คือค่าแม่พิมพ์ และค่าปั๊มเหรียญเสริมปัญญาเนื้อทองคำ ซึ่งเฉพาะค่าปั๊มเหรียญอย่างเดียว ก็เหรียญละ ๑,๐๐๐ บาทแล้ว จึงต้องพยายามต่อรองให้ลดลงมาให้ได้
บางทีท่านทั้งหลายอาจจะไม่ทราบว่า การสร้างวัตถุมงคลแต่ละชิ้นนั้นราคาแพงขนาดไหน ค่าปั๊มเหรียญ ถ้าหากว่าเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท เราปั๊มไป ๓๐๐ เหรียญ ท่านก็ลองคูณดูว่าเป็นเงินเท่าไร (๓ แสนบาท) แล้วขณะเดียวกันเนื้อทองคำที่จะต้องใช้ในการสร้างอีกเหรียญละเท่าไร ดังนั้น..รวม ๆ แล้ว รายจ่ายตรงนี้ เฉพาะเหรียญเนื้อทองคำอย่างเดียว ก็อยู่ที่ประมาณ ๑๕,๖๐๐,๐๐๐ บาท..! บางท่านได้ยินแล้วก็สะดุ้งว่ากระผม/อาตมภาพ จะได้ทุนคืนหรือไม่ ? เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพไม่ได้หนักใจ เพราะว่าถึงเวลาแล้ว ท่านที่มีบุญสัมพันธ์มีกรรมสัมพันธ์กันมา ท่านก็จะมาช่วยเหลือในตรงจุดนี้เอง ทำให้ทุกครั้งก็สามารถที่จะหาเงินได้พอที่จะใช้หนี้ทัน โดยที่ไม่ต้องหนักใจเหมือนกับที่อื่นเขา แล้วค่อยไปหาเงินจ่ายค่าปั๊มเหรียญเนื้อเงิน เหรียญเนื้อทองเหลือง เหรียญเนื้อทองแดง และเหรียญเนื้อชินตะกั่วกันอีกทีหนึ่ง เรื่องพวกนี้อยู่ในลักษณะที่โบราณกล่าวว่า "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" แต่สำหรับกระผม/อาตมภาพแล้ว ไม่น่าจะเป็นการตำข้าวสารกรอกหม้อ หากแต่ว่าเป็นการ "สีข้าวสารใส่เรือส่งไปต่างประเทศ" เพราะว่าสามารถที่จะหาเงินได้จำนวนมาก แต่ว่ารายจ่ายก็มากพอกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วย..! จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย เมื่อมีสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านมอบเอาไว้ให้ คือพระคาถาต่าง ๆ โดยเฉพาะ "พระคาถาเงินล้าน" ก็ได้โปรดทำให้ขึ้นใจ แล้วท่านทั้งหลายก็จะเห็นคุณเองว่า พระคาถาแต่ละบทนั้น สามารถที่จะช่วยเราได้อย่างไรบ้าง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2023 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|