กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 06-02-2016, 21:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราทอนกรรมไปสักชาติสองชาติ เพื่อกระจายกรรม ในแต่ละชาติไม่เท่ากัน เพื่อให้เรามีกำลังได้มากขึ้น นับเป็นวิสัยที่ดีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำไป เพราะว่าบุคคลที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ใช่ แต่ละคนมีความตั้งใจที่ไม่เหมือนกัน เขาเห็นว่าสิ่งนั้นดีเขาก็ทำ โจรก็เห็นว่าการปล้นเขากินนั้นง่ายดี ในขณะที่พวกเราเห็นว่าการทำมาหากินโดยสุจริตจึงจะเป็นความดี ในเมื่อเขาเห็นว่าเป็นความดี เราจะไปว่ากล่าวคนอื่นอะไรได้ นอกจากยอมรับไปว่ามุมมองเขาเป็นอย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 07-02-2016, 19:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พอ ๒,๕๐๐ ปีหลัง พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมลง ผมเข้าใจว่าต้องสูงสุดก่อนแล้วค่อยเสื่อมลง คือเสื่อมลงตามสภาพ ขึ้นไปสูงสุดแล้วค่อย ๆ ลงมาหรือครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าคนเสื่อมลง ส่วนหลักธรรมยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เพราะฉะนั้น...คำว่าเสื่อมของคุณอย่าไปเข้าใจว่าหลักธรรมเสื่อมลง หลักธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ แต่คนแทนที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ดันไปอุ้มลูกเทพแทน..! แล้วจะไปกล่าวว่าอะไรเสื่อม ? ก็ต้องคนเสื่อมลง ศาสนายังคงปกติไปจน ๕,๐๐๐ ปี

ถาม : ไม่มีเจริญไปกว่านี้แล้ว คือ เสื่อมไปแล้วก็เสื่อมอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป ?
ตอบ : ความเจริญนั้นมีความเจริญทางด้านจิตใจ กับความเจริญทางด้านวัตถุ ปัจจุบันนี้คนเราส่วนใหญ่ทิ้งความเจริญทางจิตใจ มาพัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ และแทบจะเป็นการพัฒนาโดยส่วนเดียว ถ้าเรากล่าวถึงตรงจุดนี้ ต้องมาวัดกันว่า ความเจริญด้านไหนที่มีมากกว่า

ถ้ากล่าวว่าเสื่อมลง ก็คือบุคคลเสื่อมจากการปฏิบัติธรรม หลักธรรมไม่ได้เสื่อม แล้วบุคคลก็มาพัฒนาด้านวัตถุ ท้ายสุดวัตถุพอเสื่อมลง ก็ไม่รู้ว่าคนจะเลี้ยวมาหาหลักธรรมหรือเปล่า ? ก็ต้องรอเวลาเท่านั้น

เอาละ...ที่ถาม ๆ มาก็ฟุ้งซ่านพอแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไปนั่งภาวนาเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 20:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 07-02-2016, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราอโหสิกรรมให้เขา หรือเขาอโหสิกรรมให้เรา กรรมไม่ได้หายไปหรือกรรมหายครับ ?
ตอบ : คนสองคนผูกโซ่ติดกันอยู่ ถ้าต่างคนต่างปลดโซ่ในฝั่งตัวเองออก ก็แปลว่าจบ ความผูกพันไม่มี ถ้าเขาไม่ยอมปลด แต่เราปลดเสียฝ่ายเดียว ก็ปล่อยให้เขาตามโซ่ไปคนเดียวก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 20:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 07-02-2016, 19:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เกิดมาหูหนวก ตาบอด เขาได้ทำอะไรไว้คะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เห็นผู้คนปฏิบัติธรรมแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ฟังเสียงธรรมก็ทำเป็นไม่ได้ยิน พอถึงเวลาเขาชักชวนในการปฏิบัติในศีลในธรรมก็แกล้งโง่บ้าง ลองทำดูก็ได้...รับประกันว่าได้เป็นอย่างนั้นแน่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 20:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 07-02-2016, 19:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จำเป็นต้องสอนเขา บางคนสอนยากมาก ?
ตอบ : อยู่ในฐานะอะไรที่จะไปสอนเขา ?

ถาม : เป็นครูค่ะ ?
ตอบ : ยึดหลักการสงเคราะห์ตามหน้าที่ให้เต็มกำลัง ส่วนเขาจะรับได้แค่ไหนนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเรามีแต่เมตตา กรุณา ไม่มีอุเบกขา ท้ายสุดอย่างต่ำก็เครียด อย่างหนักก็บ้าไปเลย

ถาม : ถ้าเราสอนเขาให้ทำบุญไปวัด จะเป็นกรรมไหมคะ ?
ตอบ : อาจจะสร้างกรรมหนักให้กับบางคนด้วย เพราะนอกจากเขาจะไม่เห็นด้วยแล้ว อาจจะแสดงการต่อต้านออกมาเลย ฉะนั้น...การชักชวนคนทำความดี ต้องดูบริบท ดูกำลังใจของเขาตอนนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะให้เขาได้ความดี จะกลายเป็นว่าสร้างโทษหนักให้เกิดกับเขาได้

ถาม : เขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : เด็กเล็ก ๆ ก็ยังมีกตัตตากรรม ก็คือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เราเองควรทำตัวให้เขาดู ถึงเวลาครูกราบพระ ถึงเวลาครูสวดมนต์ เดี๋ยวเขาก็เลียนแบบเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 20:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 07-02-2016, 19:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สอนคนอื่นนั้นสอนได้ แต่สอนตัวเองสอนยากอย่าบอกใคร พระพุทธเจ้ายังกล่าวไว้ว่า อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ ฝึกตนก็คือสอนตนเองนั่นแหละ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระ เสือกไปเชื่อกิเลส..!

วันก่อนเด็ก ๆ ที่วัดหนีไปเที่ยวกับแฟน ถ้าเจอเหตุการณ์นั้นให้จำไว้เลยว่า สิ่งแรกที่เราต้องทำเลยไม่ใช่ดุด่าว่ากล่าว แต่ควรจะบอกให้เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องของอารมณ์ อะไรเป็นเรื่องของเหตุผล คือสังคมยอมรับเฉพาะในเรื่องของเหตุผล ในเรื่องของอารมณ์ต้องดูกระแสสังคมก่อนว่าในช่วงนั้นยอมรับไหม เพราะฉะนั้น...เรื่องความรักระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆ

เราลองมาคิดดูว่า ถ้าแม่เราเลี้ยงเรามา ๑๕-๑๖ ปี เราเองยังไม่รักเท่ากับไอ้บ้าที่เพิ่งเจอหน้ากัน ๓ วัน แบบนั้นถูกต้องไหม ? ต้องชี้แจงให้เขาฟังได้ แต่ถึงจะชี้แจงแล้วก็ตาม เขาก็ยังไหลตามอารมณ์ไปอีก เพราะฉะนั้น...คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ปกครอง ก็เลยต้องปากเปียกปากแฉะ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า อนุสาสนี ก็คือจ้ำจี้จ้ำไช ไม่อย่างนั้นก็เป็น โอวาทกถา ก็คือให้โอวาท ธรรมมีกถา สอนธรรม อนุสาสนีกถา จ้ำจี้จ้ำไช ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกหัวตะปูอยู่นั่นแหละ

เพราะบุคคลอย่างน้อยแบ่งเป็น ๔ ประเภท อุคคฏิตัญญู ฟังหัวข้อก็รู้ เข้าใจ ปฏิบัติได้เลย วิปจิตัญญู ต้องขยายเนื้อความหน่อยถึงจะเข้าใจ เนยยะ ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ย้ำหัวตะปูอยู่นั่นแหละ ตอกจนกระทั่งคนตอกเหนื่อย บางทียังตอกไม่ค่อยจะลงเลย

เหลือแต่ปทปรมะ พวกนั้นเก่งเกิน สอนไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราไปเข้าใจว่าปทปรมะเป็นคนโง่ ไม่ใช่โง่ แต่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความเห็นคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วย พอถึงเวลาเราเทไปก็ล้นหมด รับอะไรไม่ได้ ปทปรมะนี่ถ้าไม่ได้ประโยชน์เฉย ๆ ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ามาคัดค้านหลักธรรมด้วย ก็กลายเป็นสร้างกรรมหนักให้กับตัวเองไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2016 เมื่อ 20:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 07-02-2016, 20:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เอาเรื่องที่ดังในขณะนี้ ก็คือ การตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ กฎหมายระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ถ้าสิ้นสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่า ให้มหาเถรสมาคมนำเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก่อนหน้านี้เขาเอาอาวุโสพรรษาซึ่งถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่เนื่องจากว่าเขาต้องการเอาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นเป็นพระสังฆราช แล้วท่านอาวุโสพรรษาน้อยกว่า ก็เลยมีการแก้กฎหมายว่าให้อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ เพราะท่านได้รับการแต่งตั้งก่อน ท่านก็เป็นมา ๒๔ ปี

คราวนี้ส่วนที่แก้นั้น ปัจจุบันมาเอื้อประโยชน์ให้กับมหานิกายที่อาวุโสด้วยสมณศักดิ์ ก็คือหลวงพ่อสมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ก็ในเมื่อกฎหมายระบุเอาไว้อย่างนี้ ต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าคุณไม่ทำก็คือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะว่าไปฝืนกฎหมาย ไม่สามารถที่จะเป็นอื่นได้ ดังนั้น...คนไหนก็ตามที่อยู่ ๆ มากำหนดว่า สมเด็จพระสังฆราชจะต้องเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้สะอาด เป็นผู้สว่าง เป็นผู้สงบ ไอ้นั่นมันบ้า..! กติกาสังคมมีอยู่ ระบุไว้เป็นตัวอักษรชัดเจน ดันไม่เอา แต่จะเอากติกู ลักษณะนี้ปัจจุบันนี้มีเยอะ ก็เลยทำให้สังคม
วุ่นวายฉิบหายวายป่วงไปหมด

กฎเกณฑ์กติกาเขามีขึ้นมา เพื่อทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม อยู่ภายใต้การปกครองที่ใกล้เคียงกัน ถึงคุณจะไม่ยอมรับทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ต้องยอมรับ ไม่ใช่เอาแค่คนสองคนที่เขาเรียกว่า ๓ พ. ในเมื่อ ๓ พ.ไม่เอา คนทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย หรือคณะสงฆ์ทั้งประเทศจะต้องไม่เอาด้วย ถ้าเป็นนิสัยอาตมาสมัยฆราวาสก็คือ กระทืบแม่...ให้ได้สติ..! เสียดายเป็นพระแล้ว

เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ เราต้องยึดถือกฎเกณฑ์กติกาเป็นใหญ่ แบบเดียวกับเรื่องของพระเรา ถึงเวลาทำผิดทำพลาดขึ้นมาต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน บ้าไหม ? เรื่องของพระธรรมวินัยก็คือ คุณทำพลาดเดี๋ยวนั้น คุณก็ต้องอาบัติเดี๋ยวนั้น ก็คือศีลขาดลงตรงนั้น ไม่ใช่ศาลตัดสินว่าคุณศีลขาด คุณถึงไปยอมรับ ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเอาพระธรรมวินัยไปทำซากอะไร ?

ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบัน สังคมของเราหลงประเด็น เรื่องของพระต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ถัดไปคือกฎหมายบ้านเมือง ถัดไปคือจารีตประเพณี บางคนก็ต้องบอกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ หรือไม่ก็มืดบอดจนเกินไป ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็ต้องบอกว่าเป็นพวกโปรดไม่ขึ้น เป็นพวกที่อยู่ใต้เถนเทวทัต ท่านว่าเสียหมาไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2016 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 08-02-2016, 14:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "จำไว้ว่าถ้าใจอยู่กับตัวจะไม่ตกใจ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นแล้วจะตกใจ ถ้าเราส่งจิตไปที่อื่น ถึงเวลาประสาทสัมผัสรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น สภาพจิตวูบกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อรับรู้ อาการที่จิตกลับเข้าสู่ร่างเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ

บางคนก็สงสัย ฟ้าถล่มดินทลาย อาจารย์เล็กเฉยมาก แรก ๆ ก็ตกใจเหมือนกับพวกเรา ไปเฉยเอาตอนนั้น ไม่ทราบว่าพรรษาที่เท่าไร ไปปฏิบัติภาวนากันที่บึงลับแล มีเพื่อนพระไปด้วย ๔-๕ รูป ต่างคนก็ต่างหามุมเหมาะสมของตัวเอง ทำแคร่นอนกัน อาตมาถนัดนอนภาวนาจึงนอนว่าไปเรื่อย ประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม แคร่พังโครม เพราะทำไม่แข็งแรง พังด้านหัว พังโครมลงไป เออ...ใจเรายังนิ่งดี ก็ภาวนาไปเรื่อย อยากพังก็พังไป คราวนี้หัวก็ไหลไปเรื่อยจนกระทั่งทิ่มพื้น พื้นเป็นหินขรุขระก็รู้สึกว่าเจ็บ เลยขยับลุกขึ้น กะว่าจะซ่อมแคร่ ตอนนั้นกำลังใจนิ่งมาก แคร่พังก็ไม่ตกใจ

พอลุกขึ้น ตอนนั้นสมุห์กอล์ฟบวชใหม่ ๆ เห็นว่าแคร่พังดังลั่นเลย ทำไมอาจารย์เงียบ ๆ ก็เลยส่องไฟมา อาตมาลุกขึ้นพอดี ทางด้านหัวนอนมีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งสูงท่วมหัวเลย พอท่านส่องไฟมา อาตมาก็เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนมองหน้ากันอยู่ ห่มผ้าสีกรักออกเข้ม ๆ กว่านี้ ก็สงสัย เอ๊ะ...พระธุดงค์แปลกหน้า ท่านมาจากไหน ? สงสัยมาตอนเราหลับกระมัง ? เดี๋ยวจะชวนท่านคุยเสียหน่อยว่ามาจากไหน ? มาอย่างไร ?

ทางท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นว่าเงียบ ๆ ท่านก็เขย่าไฟแกว่ง ๆ อาตมาเลยเห็นพระธุดงค์เต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว...เงาของอาตมาเองนี่นา แล้วทำไมถึงเห็นเป็นองค์พระอย่างชัดเจนเลย หน้าตาก็เห็น เห็นชัด ๆ ลักษณะการครองจีวรอย่างไร จีวรสีอย่างไรก็เห็น ก็นึกขึ้นมาว่า ผีหลอกกูซึ่ง ๆ หน้าเลยนี่หว่า..! แต่ใจก็นิ่ง ไม่ได้กลัว ซ่อมแคร่เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อาตมาไม่รู้จักคำว่าตกใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แสดงว่าคงได้ที่ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าเอาใจอยู่กับตัว ก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าเอาใจไปฝากไว้กับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ทุกข์เยอะหน่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2016 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 08-02-2016, 14:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราปีนี้ดินฟ้าอากาศแย่มาก เหนือหนาวจัด ใต้ฝนหนัก กลางกับอีสานแล้งไม่มีน้ำจะกิน ที่อาตมาปรารภครั้งก่อนว่า อาตมาอยู่ในยุคที่คนกรุงเทพฯ ต้องรองน้ำตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ไปพอใช้เอาตอนตี ๒ ปีนี้ก็ให้ระวังเอาไว้บ้างนะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2016 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 08-02-2016, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเพิ่งจะเซ็นสัญญาซื้อเตาเผาปลอดมลพิษไปติดตั้งที่วัดท่าขนุนแล้ว ปีหน้าน่าจะได้ใช้งานเต็มที่ เผาได้วันละ ๖ ศพ คงไม่ตายเยอะขนาดนั้นหรอก

ทองผาภูมิเป็นเมืองท่องเที่ยว คนใหญ่คนโตไปเป็นประจำ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จทุกปี สมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังมีพระวรกายแข็งแรง ก็เสด็จทุกปี พระองค์ไปตรวจงานที่ทรงทำไว้ ปรากฏว่าหาเมรุที่เป็นหน้าเป็นตากับอำเภอไม่ได้สักหลัง ถึงเวลาก็ รมต.ท่านนั้น สส.ท่านนี้เป็นประธาน แต่เมรุโทรมดูไม่ได้เลย

ท้ายสุดอาตมาก็ตัดใจ...ทำเองก็ได้ แต่อาตมาบอกกับโยมหลายท่านแล้วว่า ไม่ใช่เห็นว่าเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าวัด กลัวว่าจะแพง ขอยืนยันว่าเผาฟรี ปกติที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่เคยเก็บสตางค์ใคร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2016 เมื่อ 17:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 09-02-2016, 13:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มาถวายสังฆทานว่า “ไปยกพระพุทธรูปมาด้วย ชอบใจองค์ไหนก็ยกมาเลย ถวายสังฆทานอย่าให้ขาดพระพุทธรูป เพราะเป็นของสำคัญที่สุด”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 09-02-2016, 14:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีคนมาปรารภเรื่องจะสร้างวัตถุมงคล พระอาจารย์กล่าวว่า “จะทำรูปพระรูปอะไรก็ทำไป แต่อย่าทำรูปของอาตมา เพราะอาตมายังมีความดีไม่พอที่จะไปขึ้นคอชาวบ้านเขา”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 09-02-2016, 14:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครไปซื้อรองเท้าให้เขาเหยียบบ้างไหม ? ดูแล้ววัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้ขาดสติขนาดหนัก ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งต้องถึงขนาดเหยียบกันปางตาย ราคาคู่ละ ๖,๙๙๐ บาท คนที่ซื้อไม่ได้ไปประมูลกัน ขึ้นราคาไปถึง ๑๕,๐๐๐ บาท อาตมาว่าไปเอาอีแตะที่เขาแกะสลักลายสวย ๆ มาใส่ยังจะดีกว่าอีก คู่ละ ๖๐ บาทเอง มีคนรับแกะสลักรองเท้า เคยเห็นบ้างหรือเปล่า ? จะเอาลายอะไรบอกได้เลย เขารับแกะให้

สังคมบ้านเราเห่อตามแฟชั่นโดยขาดสติ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี อาตมานี่ซาบซึ้งที่สุด เคยซื้อแฟล็ชไดรฟ์ตัวหนึ่งความจุ ๒ กิ๊ก ราคา ๑,๗๒๐ บาท จำมาจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนลดลงไปเหลือ ๒๙๙ บาท ปัจจุบันนี้แถมฟรีก็ไม่มีใครเอา โทรศัพท์เครื่องหนึ่งออกมา ๔,๐๐๐ บาท หลังจากนั้น ๖ เดือนเหลือไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาท ใช้ช้ากว่าเขานิดหนึ่งก็ได้ แล้วรองเท้าคู่หนึ่งหกพันกว่าบาท แต่ละคนที่ไปรุมกันซื้อก็ขอสตางค์พ่อแม่มาทั้งนั้น อะไรจะสิ้นสติกันได้ปานนั้น

เด็กนักเรียน นักศึกษาไปเรียนหนังสือ อาตมาก็สงสัยว่าเอาสมองไปไว้ที่ไหน บางคนนี่หัวถึงเท้าราคาเกือบล้าน กระเป๋าก็ต้องแบรนด์เนม เสื้อผ้าก็ต้องแบรนด์เนม รองเท้าก็ต้องแบรนด์เนม ต้องเข้าสีเข้าชุดกัน ได้แต่คิดว่าถ้าไม่ล้างผลาญพ่อแม่แล้ว คุณจะมีปัญญาหาเงินอย่างไรให้ได้ขนาดนั้น

คนที่ไม่มีก็ตะเกียกตะกายหามาให้ได้ พอไม่มีเทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านเขาก็ต้องหาเงินด้วยวิธีพิเศษ อย่างเมื่อเดือนก่อนมีการซ้อมกันจนหูตาปูด เพราะเพื่อนพาไปขายตัวแล้วก็ไปด่าเพื่อนอีท่าไหนก็ไม่รู้ เพื่อนก็ถือว่าตัวเองมีบุญคุณ อุตส่าห์หางานให้ยังจะมาด่าอีก จึงมีการลงไม้ลงมือกัน อาตมาก็เลยอนาถใจว่าสมัยนี้บุญคุณเป็นอย่างนี้กันหรือ ?

อยากดูไหม...อาตมาใช้โทรศัพท์มือถือราคาแพงมากเลย ๗๙๐ บาท ก็ใช้อยู่ทุกวันนี้ โยมโทรมาจะบริจาคเงินล้านก็เครื่องนี้แหละ ไม่เห็นต้องไปใช้ไอโฟน ๖ ไม่เห็นต้องไปใช้ซัมซุงกาแล็กซี่ ต้องบอกอเนจอนาถบ้านเรา คนขาดสติไหลตามกระแสมาก ฟุ้งเฟ้อ ไม่คิดจะร่ำเรียนเขียนอ่านให้มีความรู้จริง ๆ เพื่อที่จะไปทำมาหากิน แล้วบุคคลากรประเภทนี้อยู่ต่อไป ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ?

จะว่าไปอาตมาก็มีส่วนด้วยที่สอนเขาแล้วไม่ได้ดี วันก่อนเพิ่งจะอบรมเด็กวัดไป คือถ้าเด็กในวัดเราเอาดีไม่ได้ ก็ไปสอนคนอื่นเขาไม่ได้หรอก จึงต้องเคี่ยวเข็ญกันหน่อย”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 09-02-2016, 14:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เผาศพวันศุกร์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเผาได้ ที่วันศุกร์เขาไม่ให้เผาศพเพราะพ้องกับคำว่าสุข เขาถือเคล็ดว่า ในเมื่อสุขก็ไม่ควรที่จะทำอะไรให้ครอบครัวเขาทุกข์ใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 09-02-2016, 14:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาเป็นเด็กอยู่บ้านนอกเคยเกิดข้าวยากหมากแพงอยู่ ๒-๓ ครั้ง ใหม่ ๆ พ่อแม่ต้องเอาเผือกบ้าง มันบ้าง ฟักทองบ้าง ผสมกับข้าวให้พอกิน ไป ๆ มา ๆ ไม่มีข้าวจะกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน

ข้าวโพดสมัยก่อนเรียกว่าข้าวโพดเทียนหรือข้าวโพดม้า เอาไว้เลี้ยงสัตว์ ในเมื่อแก่และตากแห้งมาเป็นปี เอามานึ่งกินก็เหมือนกับเคี้ยวกระดาษดี ๆ นี่เอง ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ก็ต้องกินให้อิ่ม

หน้าหนาวผ้าห่มก็มีผืนเดียว พี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งกันซุกเข้าไป พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็เป็นห่วง กลางดึกมาถึงก็พับ ๆ ให้เป็นแถวยาว ๆ แล้วเอาพาดแค่หน้าอก กลัวเด็กจะเป็นโรคปอดบวมเพราะหนาว พวกเราก็ต้องแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ พอพ่อแม่ลับตาไปก็รีบคลี่ออกมาห่มใหม่ หนาวทั้งตัวแล้วเอามาพาดแค่หน้าอก ตอนนั้นพื้นบ้านยังเป็นดินอยู่ เพราะว่าไม่มีซีเมนต์ ข้างฝาเป็นไม้ไผ่ขัด กันลมไม่ได้ หนาวมาก ต้องก่อกองไฟกลางบ้าน แล้วก็เอาผ้าห่มมากางล้อมกันอยู่รอบกองไฟ ผิงไฟจนผิวแตกเป็นริ้ว ๆ ถึงเวลาเผลอ..ง่วงสัปหงกทีหนึ่งก็ผมไหม้เป็นแถบ

เดี๋ยวนี้อากาศย่ำแย่มาก ๆ เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาทนได้ แต่คนกรุงเทพฯ จะแย่ ได้ข่าวว่าหนาวตายที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง รวม ๆ กันแล้วหลายศพ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 09-02-2016, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยกพระ สมัยก่อนบวชอาตมาเคยอธิษฐานยกพระที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง องค์พระหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว หรือ ๑๒ นิ้ว ลักษณะเหมือนหล่อด้วยโลหะ ด้วยความดื้อก็คิดว่า "องค์แค่นี้ ต่อให้อธิษฐานไม่สำเร็จเราก็จะยกขึ้น" ว่าแล้วก็ตั้งท่างัด วูบเดียวเกือบหงายท้อง องค์พระลอยขึ้นมาเหมือนไม่มีน้ำหนักเลย อย่างกับหยิบกระดาษแผ่นเดียว สรุปว่าเรื่องนั้นคงจะสำเร็จแน่ ๆ

อีกทีหนึ่งไปยกช้างเสี่ยงทายที่พระพุทธบาทสระบุรี ยังไม่ทันจะอธิษฐาน เห็นรูปหลวงปู่นวม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม) ก็เกิดปีติ เอานิ้วก้อยเกี่ยวช้างขึ้นมาได้ทั้งองค์ แต่ตอนวางลงไม่ตรงที่ เขาวางบนพรมแล้วมีรอยยุบเป็นฐานช้าง ก็เลยใช้สองมือผลักให้เข้าที่ ปรากฏว่าผลักไม่ไป แต่ตอนเกี่ยวขึ้นมานี่ใช้นิ้วก้อยนิ้วเดียว"


ถาม : ช้างเสี่ยงทายเป็นโลหะตัน ?
ตอบ : โลหะตันทั้งตัว แล้วบังคับด้วยว่าถ้าผู้ชายให้ให้นั่งราบทับน่องใช้นิ้วก้อยยก ผู้หญิงใช้นิ้วชี้ ถ้าอธิษฐานแล้วสำเร็จจะยกขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 09-02-2016, 15:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พื้นฐานคำว่า "ป่าช้า" เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : ป่าช้าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือสมัยก่อนป่าช้าคือป่าช้า ไม่มีใครอยากไปยุ่งด้วย เพราะรกมาก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดบางนมโค ท่านไปฝึกปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่ามีชะมด มีเสือป่า มีกระต่าย เยอะแยะไปหมด ป่ารกขนาดนั้น คราวนี้ป่าก็รก หนามก็เยอะ ไปเร็วไม่ได้ก็เลยเรียกป่าช้า แต่ว่าทางด้านเหนือไม่เรียกป่าช้า เขาเรียกป่าเฮ่ว

คนโบราณมักจะรู้ดีกว่าเรา เวลาไปทำอะไรจะมีการเซ่นนายป่าช้าก่อน นายป่าช้าบางที่ก็เป็นเวมาณิกเปรต ก็คือเป็นเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่งและเป็นเปรตอยู่ครึ่งหนึ่ง บางที่ดุหน่อยก็เป็นมหิทธิกาเปรต หรือเป็นกาลกัญจิกอสุรกาย ไปทำอะไรแถวนั้น
ถ้านายป่าช้าไม่อนุญาตก็โดนอัด ต้องเซ่นสรวงนายป่าช้าก่อน

หลวงพ่อท่านอยู่วัดบางนมโค มีวันหนึ่งจะไปเจริญกรรมฐานในป่าช้า ปรากฏว่าได้ยินผีคุยกัน นายป่าช้าถามลูกน้องว่า "บ้านไอ้นั่นเขาทำบุญกัน มีใครไปโมทนาบ้างไหม ?" ลูกน้องเป็นร้อย ๆ บอกว่า "ไม่มีใครไปหรอกครับเจ้านาย" ถามว่าทำไม ? "โอ้โห..ทั้งฆ่าวัวฆ่าหมูฆ่าไก่ ขืนไปโมทนาพวกผมจะซวยไปด้วย" เขาทำบุญก็จริงแต่เขาเริ่มต้นด้วยบาป ไปฆ่าสัตว์เลี้ยงคน เลี้ยงพระ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก ถ้าโมทนาด้วยก็แปลว่า นอกจากรับส่วนบุญแล้วส่วนบาปก็รับด้วย กลายเป็นซ้ำเขาให้หนัก

อาตมาเพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่า บุญของเราถ้าไม่บริสุทธิ์ ผีเขาไม่โมทนาด้วยหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงเลยแนะนำว่า ถ้าจะเลี้ยงพระให้ทำ ๒ วิธี วิธีแรกถ้าทำอาหารเองก็ทำอาหารเจไปเลย ไข่สักใบก็อย่าไปทุบ อีกวิธีหนึ่งคือจ้างคนอื่นเป็นแม่ครัว อย่างเช่นว่าจ้างร้านอาหารให้เขาทำแล้วยกมาตักถวายพระไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วทำบุญผสมบาปกันอยู่เรื่อย

แต่ถ้าเรา
ไปซื้อเนื้อในตลาดที่เป็นปวัตตะมังสะ ที่เขาฆ่าแล้วขายเป็นปกติก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปสั่งเขาฆ่า อย่าไปสั่งว่าพรุ่งนี้ฉันจะทำบุญเลี้ยงพระ ๙ รูป ช่วยเชือดไก่ให้ ๒ ตัว ถ้าอย่างนี้ก็โดนจนได้ ไม่น่าเชื่อว่าทำบุญแล้วผีเมิน ไม่มีใครมาโมทนาด้วยเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 09-02-2016, 20:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่วัดท่าขนุนมีที่พักไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปไม่เกิน ๑๐๐ คน ก็ยังพอมีที่ให้นอน แต่นอนแบบรวม ๆ กัน แบบเป็นส่วนตัวจริง ๆ ยังไม่มี ที่วัดพยายามจะรักษาพื้นที่ป่าไว้ สิ่งก่อสร้างก็เลยมีน้อย

ส่วนใหญ่เวลาวัดมีงาน เขามักไปเช่ารีสอร์ทกัน คืนละ ๕๐๐ บาท นอนกันเพลิดเพลินเจริญใจ นอนจนลืมงานวัดไปเลย เพราะบรรยากาศดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2016 เมื่อ 03:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 09-02-2016, 20:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักความแก่กับความตายเป็นอย่างดี แต่จะเรียกว่ารู้จักเป็นอย่างดีก็คงไม่ได้ ความแก่กับความตายมีทั้งที่ปรากฏชัด และมีทั้งที่โดนปิดบังเอาไว้

ความแก่ที่ปิดบังเอาไว้ เราไม่ได้เรียกว่าแก่ แต่เราไปเรียกว่าโต อย่างเช่น เป็นเด็กเล็ก ๆ ค่อย ๆ โตขึ้น ๆ แต่ความจริงก็คือแก่ เหมือนอย่างกับรวงข้าว รวงข้าวพอเกิดขึ้นมา เมล็ดข้าวค่อย ๆ โตขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเมล็ดแก่ ก็คือแก่ไปเรื่อย ส่วนเราโดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่ เราไปคิดว่าเป็นการเจริญเติบโต แต่ความจริงเป็นการแก่ไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเรียกว่า ปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่โดนปกปิดเอาไว้ ส่วนอัปปฏิจฉันนะชรา คือความแก่ที่ไม่โดนปกปิด ได้แก่ การแก่แบบคนแก่ทั่ว ๆ ไปที่เราเห็นกันอยู่

เรื่องของความตายก็เหมือนกัน ปฏิจฉันนะมรณะ ความตายที่โดนปิดบังอยู่ จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เด็กเล็กก็ตายไปแล้ว แต่สันตติคือความสืบเนื่องด้วยอาหารต่าง ๆ ส่งผลให้กลายเป็นเด็กโต พอเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เด็กโตก็ตายไปแล้ว พอเป็นหนุ่มเป็นสาว เด็กหนุ่มเด็กสาวก็ตายไปอีก หรือไม่ก็ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เขาเรียกว่า ปฏิจฉันนะมรณะ ก็คือ ความตายที่โดนปกปิดเอาไว้ มองไม่เห็น ที่ไม่โดนปกปิดไปตายเอาตอนสุดท้าย เรียกว่า อัปปฏิจฉันนะมรณะ

บางอย่างถ้าเราปัญญาไม่ถึง ก็มองไม่เห็น เกิดความเมาขึ้นมา เกิดความเมาในวัย คือเรายังไม่แก่ เกิดความเมาในความไม่มีโรค คือเราไม่ป่วย เกิดความเมาในชีวิต มีแต่ความประมาท ไม่สร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าความเมาใน ๓ อย่างนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้เราเป็นมิจฉาทิฐิ ประมาท ไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม บางท่านถึงได้บอกว่า การเข้าวัดให้เดินเข้าไปเองดีกว่า ถ้ารอให้คนอื่นหามเข้าไปก็มักจะเอาไปเผาแล้ว

บางคนเข้าวัดแต่เล็ก ๆ จนเพื่อนว่า "จะบ้าไปไหน ? เข้าวัดเข้าวาตั้งแต่ตอนนี้" เพื่อนไม่ค่อยว่าหรอก พ่อแม่พี่น้องตัวเองนั่นแหละที่มักว่า เคยชวนโยมบางคนว่า เมื่อไรจะเข้าวัดทำบุญ "โอ๊ย...ลูกยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" คราวนี้ลูกโตหมดแล้ว เมื่อไรจะเข้าวัดสักที "โอ๊ย...หลานยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ" ไปของเขาได้เรื่อยเหมือนกัน ประเภทนี้ต้องรอเขาหามถึงจะได้เข้าวัด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2016 เมื่อ 03:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 10-02-2016, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,475
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,738 ครั้ง ใน 34,064 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นอาจารย์จะเหนื่อยไม่ได้ ทำไมเหนื่อยไม่ได้ ? เพราะต้องจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอน ตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา บางทีการที่เราจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ลูกศิษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะทำตามได้ เพราะยังไม่ถึงวาระบุญของเขาที่จะส่งผล ท่านที่วาระบุญส่งผลก็ทำไปตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ ทำไปตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ได้รับประโยชน์ของตนไป ฉะนั้น...คนที่วาระบุญยังไม่ส่งผล บางทีก็ปีแล้วปีเล่ายังไม่ได้อะไรเลย

ในสมัยพุทธกาล คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุมรรคผลพระนิพพานทุกรูปหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้บรรลุทุกรูป คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ถามว่า ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ธรรมที่พระองค์แสดงยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ทำไมภิกษุทั้งหลายจึงไม่สามารถไปพระนิพพานได้ทุกรูป ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากว่ามีบุรุษผู้หนึ่งมาถามว่า ทางไปกรุงราชคฤห์ไปทางไหน ? แล้วท่านตอบว่าทางกรุงราชคฤห์ต้องไปทางด้านทิศนี้ เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอหมู่บ้าน เดินไปเป็นระยะทางเท่านี้จะเจอเมือง แต่ว่าชายคนนั้นกลับจำผิด เดินไปในทางตรงกันข้าม จะไปถึงกรุงราชคฤห์ได้หรือไม่ ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์ตอบว่า ย่อมไปไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาไปไม่ถึง แล้วท่านไม่ช่วยให้เขาไปถึง ? คณกะโมคคัลลานะพราหมณ์บอกว่า เราเป็นเพียงคนบอกทางเท่านั้น เราไม่ใช่คนเดินทาง

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ในเมื่อเขาจดจำผิด ประพฤติปฏิบัติผิด ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ ตถาคตจะไปช่วยอะไรได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ชัดว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น

ใครที่เป็นอาจารย์ก็ต้องเคี่ยวเข็ญไปเรื่อย ตอกย้ำไปเรื่อย สอนกันจนตายไปข้างหนึ่ง ถ้าเขาไม่ตายก่อนอาจารย์ก็ตายก่อน เขาตายก่อนก็จบเรื่องของเขา อาจารย์ตายก่อนก็จบเรื่องของอาจารย์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 04:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว