กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 23-03-2013, 19:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ......ธรรมภายในคือโพชฌงค์ ?
ตอบ : เป็นสติที่ดำเนินไปภายในหรือดำเนินไปภายนอก แบบเดียวกัน ก็เราจะดูว่าเราจะดูที่ไหน ดูที่ยึดโยงกับร่างกาย การที่ร่างกายไปกระทำ อย่างเช่น การเคลื่อนไหวอิริยาบถอะไรต่าง ๆ หรือว่าเราจะดูสภาพจิตที่ดำเนินไปภายใน

จะว่าไปแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นสิ่งที่ละเอียดเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะย้ำแล้วย้ำอีก กว่าอาตมาจะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรเสร็จนี่เป็นเล่ม ๆ เลย เพราะว่าเป็นสูตรเดียวที่อ่านไม่จบ อ่านแล้วอยากวางมือไปปฏิบัติ อ่านกี่ครั้งก็อ่านไม่จบ คราวนี้จะทำอย่างไร พอดีว่าสอบนักธรรมเอก ตอนนั้นมาลาเรียกำเริบอาตมาก็ไม่รู้ เพราะหมอบอกว่าเป็นไวรัสลงตับ เรี่ยวแรงจะนั่งยังไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ จะสอบอยู่วันสองวันแล้ว ท้ายสุดก็เลยบนพระท่าน ว่าถ้าสอบได้จะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยลายมือตัวเอง เป็นการบังคับว่าต้องอ่านให้จบ

คราวนี้เวลาเขียนจะเขียนย่อไม่ได้ ต้องเขียนเต็ม ที่ท่านย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในบาลีที่เขาแปลมา เขาจะตัด ๆ ลงไปยาลน้อยเอาไว้เป็นตัวย่อ อาตมาต้องไปเขียนเต็มทั้งหมด มันในชีวิตมากเลยช่วงนั้น นี่เฉพาะแค่บาลี ถ้าแปลไทยด้วยตายแน่

ท่านบอกว่า อิติ อัชฌัตตังวา พะหิทธาวา เห็นภายในบ้าง เห็นภายนอกบ้าง บอกชัดเลย แต่ท้ายที่สุดก็สรุปตรงที่ว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราไม่ควรยึดอะไร ๆ ในโลกนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2013 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 23-03-2013, 19:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมาธิที่ไม่มีนิมิต คือ ?
ตอบ : ไม่อาศัยสิ่งอื่นเป็นเครื่องยึดโยง เอาแค่ความสงบภายในเท่านั้น เขาเรียกสมาธิที่ไม่มีนิมิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 25-03-2013, 13:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำบุญกับสมเด็จองค์ปฐมส่งผลเร็วมากเลยค่ะ ตอนสุดท้ายเจอกับตัวเอง มีงานเรียกให้ทำทั้งเดือน ก็เป็นเรื่องแปลก ?
ตอบ : พุทธานุภาพไม่มีประมาณอยู่แล้ว สำคัญตรงที่ว่าเรามีศรัทธาเลื่อมใสขนาดไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 25-03-2013, 13:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความเข้าใจตอนแรก ก็คือ ทองผาภูมิมีคนต่างด้าวเยอะมาก น่าจะเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นทวาย เป็นกะเหรี่ยง ปรากฏว่าวันตรุษจีนมีแต่เสียงประทัดรอบวัดเลย เดินบิณฑบาตก็ได้ยินแต่เสียงประทัด แล้วญาติโยมเปิดบ้านใส่บาตรกันมากผิดปกติ ส่วนใหญ่รอกันตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสว่าง แต่ปีหนึ่งใส่ครั้งเดียว ใส่เฉพาะวันตรุษจีน..!

หลายบ้านมีการเซ่นไหว้แม่ย่านางรถ มีการจัดโต๊ะข้าวปลาอาหาร บางบ้านใช้วิธีติดเครื่อง เปิดไฟด้วย ในความรู้สึกของอาตมาสรุปว่าพระสงฆ์กับรถราคาเท่ากัน เขาไหว้พระแล้วก็ใส่บาตร และเขาไหว้รถแล้วก็เซ่นโต๊ะใหญ่กว่าที่ใส่บาตรพระอีก นั่นทั้งโต๊ะเลยนะ..ส่วนพระเขาใส่ถุงเดียว..!

เดินไปก็นึกขำ ๆ ว่า บ้านเราเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่บุคคลกลับเหมือนกับฮินดู คือถือเทวดาเป็นใหญ่ ไหว้เจ้า ไหว้แม่ย่านางรถ ลองสังเกตดูในระยะหลัง ๆ วัดวาอารามหลายแห่งมีเทพเจ้าของฮินดูไปสถิตอยู่อย่างสง่างาม อย่างเช่น มีศาลพระพรหม มีตรีมูรติ มีพระพิฆเณศวร์

ในเรื่องของเทวดาเราจะเคารพกราบไหว้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นเทวตานุสติ แต่ถ้าไม่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนจะกลายเป็นศาสนาอื่นปนเข้ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน พระผู้ใหญ่บางรูปถึงกับสร้างอุทยานพระพิฆเณศวร์ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบันไดให้ศาสนาอื่นเหยียบขึ้นไปโต ผู้ที่ลงทุนก็คือพุทธศาสนา แต่พอถึงวันเกิดพระพิฆเณศวร์ บรรดาชาวฮินดูก็แห่เข้าไปทำบุญที่วัด กลายเป็นศูนย์รวมใจของชาวฮินดูแต่อยู่ในวัดพุทธ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 25-03-2013, 13:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มาคิดว่าในยุคของเรามีการปะปนของศาสนามากจนสับสนไปหมด ถ้าเนิ่นนานไปกว่านี้ สัจธรรมแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้าจะเหลือสักเท่าไร ? แม้ตอนนี้บางสำนักก็ใช้อัตโนมติ คือความเห็นของอาจารย์เป็นใหญ่ สอนตามที่คิดว่าใช่ ไม่ได้สอนตามพระไตรปิฎก ในเมื่อสอนตามที่คิดว่าใช่ โอกาสที่จะหลุดออกนอกทางไปก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

วัดพุทธในสิงคโปร์ ทั้ง ๆ ที่เป็นวัดเถรวาทหรือวัดไทย ไม่ว่าจะเป็นสิงค์โปร์ มาเลเซีย หรืออินโดนิเซีย จะต้องมีศาลพระพรหม จะต้องมีเจ้าแม่กวนอิม ไม่อย่างนั้นแล้วโยมไม่เข้าวัด เมื่อมีศาลพระพรหม เราก็เป็นส่วนของฮินดู เจ้าแม่กวนอิมก็มหายาน แต่เป็นวัดเถรวาทเต็ม ๆ เพราะว่าคนพุทธส่วนใหญ่ในมาเลเซีย สิงค์โปร์ หรืออินโดนิเซีย เป็นคนจีนแทบทั้งนั้น ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีเจ้าแม่กวนอิม ก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่วัดของเขา แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเคารพพระพรหมที่เอราวัณ วัดทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องสร้างศาลพระพรหมไว้ด้วย เพื่อที่จะไม่ต้องเดินทางไกลมาประเทศไทย

พุทธศาสนาของเราเพิ่ง ๒,๕๕๖ ปี ถ้าจะนับตั้งแต่วันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ ๒,๖๐๐ ปี ก็แปลว่ายังเหลืออีก ๒,๔๐๐ ปี ก็เกือบ ๆ ครึ่ง แต่ศาสนาของเราโดนแปลกปลอม ปลอมปน ปะปน แม้กระทั่งคำสอนก็มีในส่วนอัตโนมติเยอะมาก ถ้านานไปสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่า ต่อไปจะเหลือนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ สักเท่าไร ? แล้วในช่วงนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็คงต้องรับภาระหนักมากเป็นพิเศษ ที่จะยกเอาหลักธรรมแท้ในพระพุทธศาสนามาให้ญาติโยมได้ปฏิบัติกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 25-03-2013, 13:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ศาสนาฮินดูมีรากฐานมาตั้งแต่โบราณ จะว่าไปแล้วศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่น่ายกย่อง เพราะเป็นศาสนาที่เข้าถึงระดับยอดของเรามาตั้งแต่แรกเลย แม้กระทั่งพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นพระราชพิธี เท่าที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา จนมาถึงปัจจุบัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพิธีพราหมณ์ทั้งนั้น แต่เมื่อเข้าถึงระดับยอดแล้วศาสนาฮินดูไม่ได้ครอบงำ ถ้าฮินดูฉวยโอกาสใช้พระราชอำนาจในการครอบงำประชาชน คิดว่าศาสนาฮินดูจะมีศาสนิกมากมายมหาศาลทีเดียว

ที่เห็นชัดเจนที่สุดในปัจจุบันคือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์แท้ ๆ เลย ถ้าเราอ่านพุทธประวัติ พระเจ้าสุโทธนะก็ทำพิธีแรกนาขวัญ ที่พระพุทธเจ้าถูกพี่เลี้ยงทิ้งใต้ต้นหว้า แล้วพระองค์ท่านก็เลยเจริญพระกรรมฐาน จนกระทั่งบ่ายคล้อยไปแล้วเงาต้นหว้ายังตั้งตรงเหมือนเดิม เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ไม่ให้ร้อน

คราวนี้พอศาสนาฮินดูอยู่กับสังคมไทยมานานแสนนาน ทำให้คนไทยของเราติดพิธีกรรมของฮินดูมาโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพิธีการบวงสรวงต่าง ๆ ก็เป็นของฮินดู แต่คราวนี้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านเอามาปรับเป็นการไหว้พระแทน แต่พวกเราก็ยังติดรูปแบบของฮินดูอยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น การสร้างรูปหลวงปู่ หลวงพ่อใหญ่ ๆ ลักษณะนั้นเป็นการยกบุคคลขึ้นเป็นเทพเจ้าให้คนได้สักการบูชา เมื่อคนไปสักการบูชา เดี๋ยวก็อดไม่ได้หรอก ไปงุบงิบบนบานศาลกล่าวตรงนั้น สรุปว่าเจตนาแรกเริ่มตั้งใจให้เป็นพุทธานุสติหรือสังฆานุสติ แต่พวกเราทำเสียหมด พอถึงเวลาไปไหว้ ไปบน ไปร้องขอกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 25-03-2013, 13:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องของการบนบานศาลกล่าวหรือการร้องขอเป็นของฮินดู แต่พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่า การยึดในเทวตานุสติจริง ๆ แล้วเป็นของดี พระองค์ท่านจึงไม่ได้ห้ามตรงจุดนี้ แต่พระองค์ท่านใช้วิธีปรับ ว่าเราจะบูชาในเทวตานุสติอย่างไร ก็ให้ปรับให้เข้ากับคุณสมบัติของเทวดาระดับนั้น ๆ อย่างเช่น จะบูชาเทวดา เราต้องมีศีล ๕ ต้องมีหิริโอตัปปะ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นเทวดาได้

ถ้าเราจะบูชาพระพรหม เราก็ต้องมีศีล ๕ มีพรหมวิหาร ๔ มีฌานสมาบัติ ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็เป็นพระพรหมเองได้ หรือเราจะบูชาเทวดาผู้บริสุทธิ์ก็คือพระวิสุทธิเทพ ก็คือพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็มอบศีล สมาธิ ปัญญา ให้พวกเราใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ก็คือ มรรค ๘ นั่นเอง ถ้าหากพวกเราทำได้ดังนั้น ก็เป็นการบูชาที่ถูกต้อง สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 25-03-2013, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เมื่อพระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการปรับอย่างนี้ พวกเราแทนที่ยึดหลักธรรมในการปฏิบัติ เพื่อให้ตนเองได้เป็นเทวดา ได้เป็นพระพรหม ได้เป็นพระวิสุทธิเทพ เรากลับไปใช้วิธีการของศาสนาฮินดู ก็คือบนบานศาลกล่าวร้องขอ เพราะศาสนาฮินดูเชื่อว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้เทวดาโปรดปราน แล้วก็จะประทานพรให้ ก็เลยทำให้พระธรรมบริสุทธิ์ที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้แก่พวกเรา กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป ก็คือโดนปลอมปนกับหลักการปฏิบัติของศาสนาอื่น ด้วยการกระทำที่เราก็ไม่รู้ว่า เราทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลงไปเอง

ไปนึกถึงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่า บุคคลต้องการแก่นไม้ แต่ไม่รู้จักแก่นไม้ เมื่อไปถึงก็ตัดเอากิ่งและใบไป คิดว่านั่นเป็นแก่นไม้ แต่ไม่รู้จักแก่นไม้ ไปถึงก็ถากเอาเปลือกไปแล้วถือว่านั่นเป็นแก่นไม้ บุคคลอีกผู้หนึ่งต้องการแก่นไม้ ไม่รู้จักแก่นไม้ ก็ถากเอากระพี้ไปคิดว่าเป็นแก่นไม้ จนกระทั่งท้ายสุด บุคคลผู้รู้จักแก่นไม้ ถึงเวลาก็ถากเอาไปแต่แก่นไม้ สรุปก็คือว่าจะติดอยู่ในระดับของศีล สมาธิ ต่าง ๆ ลงไป ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงวิมุติญาณทัศนะ พระพุทธเจ้ายังไม่ถือว่าเข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา ก็แปลว่าบุคคลที่เข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา ต่ำสุดต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

เพราะวิมุติญานทัศนะเป็นเครื่องรู้เห็นเพื่อความหลุดพ้น ถ้ายังไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไป ถือว่ายังคลุกอยู่กับโลกเต็มที่ โอกาสหลุดพ้นมีน้อยมาก ดังนั้นหาแก่นไม้กันไว้ ถ้าผิดก็เอามาตีหัวกันเอง ถ้าหาถูกจะได้เอาไปใช้งาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2013 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 25-03-2013, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลักการอธิษฐานในศาสนาพุทธ จะต้องมีข้อยึดอย่างไรจึงจะเป็นอธิษฐานบารมี ?
ตอบ : อธิษฐานบารมี..อันดับแรกสร้างบุญใหญ่ให้เกิดก่อน เมื่อเกิดแล้วตั้งใจว่าจะให้ผลบุญนั้นเป็นอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2013 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 26-03-2013, 09:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเพื่อนเขาแต่งงานวันผิด เราไปบอกเขาให้เปลี่ยน แล้วเขาไม่เชื่อ ?
ตอบ : ก็เรื่องของเขา อย่าไปยุ่งกับเขาสิ

ถาม : ถ้าจะแก้ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปช่วยเขาแก้ เขาแก้กันเองได้..!

ถาม : ไม่มีทางแก้เลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีทางแก้ อย่าเสือกไปยุ่งกับเรื่องของเขา..! ปล่อยวางบ้าง อะไรที่แก้ไขไม่ได้ รู้แล้วไม่พูด เขายังได้กำลังใจ ถ้ารู้แล้วไปพูด เขาเสียกำลังใจ จะพังเร็วกว่านั้น

พวกเราส่วนใหญ่ความพอดีไม่มี ในเมื่อความพอดีไม่มี ก็มักจะดิ้นรนในสิ่งที่เกินกำลัง แล้วก็ทำให้ทุกข์มาก ในเมื่อหมดทางแก้ไข เราอย่าไปยุ่งก็หมดเรื่อง เรียกว่าหัดปล่อยวางเสียบ้าง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนวันแต่งงานแน่ แล้วจะไปยุ่งกับเขาทำไม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 26-03-2013, 10:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีข้อธรรมอีกหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ทั่ว ๆ ไป คือพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านสอนพรหมเทวดา พรหมเทวดาถือว่าเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล เขามีความเป็นทิพย์อยู่ ฟังเพียงหัวข้อธรรมก็สามารถรู้โดยตลอด ว่าในหัวข้อธรรมนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง

ในปฐมสมโพธิกถาได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเสวยวิมุตติสุข ๔๙ วัน ทรงใช้เวลาในการพิจารณาทบทวนพระอภิธรรมถึง ๗ วัน ด้วยระดับความรู้รอบเกินกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างพระพุทธเจ้า ยังใช้เวลา
สรุปประมวลผล ๗ วัน แล้วลองคิดดูว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเราจะไหวไหม ? แค่เราฟังธรรม ๗ วันก็อดข้าวตายแล้ว นั่นขนาดท่านสอนพรหมเทวดายังว่าเสีย ๓ เดือน แล้วจะมีใครจะสามารถฟังอภิธรรมตั้งแต่ต้นยันปลายได้บ้าง แล้วรับประกันได้ไหมว่าฟังแล้วจะรู้เรื่อง เข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ผล

ดังนั้น..ในปัจจุบันนี้มีบางแห่งบางสำนัก สอนในเรื่องของพระอภิธรรม แล้วมีประกาศนียบัตรให้ด้วย อาตมาก็ว่าเข้าท่าดีเหมือนกันนะ ไปนึกถึงปู่สัจจะ ปู่สัจจะชื่อเล่นว่าไล หลวงปู่อุตตมะบอกว่า “โยมไล..เรียนอภิธรรมเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ” เขารู้มากกว่าพระ แล้วปู่สัจจะเขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ คือมักจะคิดว่าตัวเองรู้มากกว่าพระ

มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานหลวงพ่อสาย ปู่สัจจะอาราธนาให้สวดธัมมนิยาม ส่วนใหญ่พระท่านสวดไม่ได้ แกก็เลยเอาหนังสือมนต์พิธีไปไล่แจก เป็นที่อับอายขายหน้ามาก เพราะพระระดับเจ้าคณะตำบลและเป็นเจ้าอาวาสทั้งนั้น สงสัยว่าถ้าปู่สัจจะตายคงเหลือแต่พระวัดท่าขนุนไปสวดให้ วัดอื่นเขาคงไม่รับหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 26-03-2013, 10:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การทำใจให้ผ่องใสในกรณีที่มีทุกข์เข้ามารอบด้าน ควรจะปล่อยวางอย่างไร คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์ และไม่ให้ใจเศร้าหมอง ?
ตอบ : เขาให้เลิกคิด ไม่ใช่คิดอย่างไรไม่ให้ใจเศร้าหมอง คิดเมื่อไรก็เจ๊งเมื่อนั้นแหละ..!

หยุดคิดเป็นไหม ? คนเราทุกวันที่ทุกข์อยู่ ส่วนใหญ่แล้วทุกข์เพราะความคิดตัวเอง
เพราะความคิดของเราที่มักจะเอาไปเปรียบเทียบกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย น่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะเป็นเช่นนี้ เป็นการส่งกำลังใจออกนอก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นสาเหตุของความทุกข์ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องหยุดคิด

การที่จะหยุดคิดได้ ต้องหยุดความรู้สึกของเราเอาไว้แค่ลมหายใจเข้าออก ซักซ้อมกำลังใจเราให้เกาะลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ ถ้ากำลังใจทรงตัวถึงสมาธิ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไฟเผาเราอยู่ จะโดนกำลังของสมาธิกดดับลงชั่วคราว ความทุกข์จะไม่ปรากฏ กำลังใจก็จะผ่องใส

เพราะฉะนั้น..อย่าถามว่าคิดอย่างไร เพราะตอนที่กิเลสรุมตีนี่คิดไม่ทันหรอก เราต้องหยุดคิด ควรจะซักซ้อมบ่อย ๆ ทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราไปรอ เวลาเจอข้าศึกแล้วค่อยไปซ้อม ไม่ทันรับประทานหรอก อย่างเช่นคนที่กลัวตาย ต้องซักซ้อมถึงความตายอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านพุทธทาสภิกขุใช้คำว่า "ตายก่อนตาย" ในเมื่อซักซ้อมนึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ พยายามทำใจของตนให้ชิน ว่าความตายต้องมาถึงเราอย่างแน่นอน เพราะปกติธรรมดาเป็นเช่นนั้น

ถ้าซักซ้อมจนชิน จะไม่เห็นว่าความตายน่ากลัว บางทีลืมกลัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราไม่ซ้อม ปุบปับจะให้คิดอย่างนั้นได้เลย รอไปก่อนเถิด เพราะฉะนั้น..หยุดคิดให้เป็นนะจ๊ะ หยุดไม่เป็น เย็นไม่ได้ ไม่ได้เล่นสำนวนนะ..นี่เป็นเรื่องจริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 26-03-2013, 10:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนปฏิบัติธรรมที่วัด หนูภาวนาไป จิตหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วก็มีเสียงท่านเคาะหัว ?
ตอบ : หลายต่อหลายคนที่ไปปฏิบัติธรรม โดนเคาะหัวแล้วชอบใจ ตอนที่เดินอยู่อาตมาจะดูไปเรื่อย ถ้าเห็นว่าสติเริ่มขาดก็จะเคาะสักโป๊กหนึ่ง ถ้ายังไปตามองค์ฌานหรือไปตามการภาวนาได้จะไม่ไปยุ่งด้วย เพราะฉะนั้น..คนไหนที่โดนให้รู้ไว้ด้วยว่าสติขาดแล้ว ไม่รู้เรื่องแล้ว คราวนี้คนที่จะทำอย่างนั้นควรที่จะรู้จริงสักนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้าเขาทรงฌานตามปกติ แล้วเราไปเคาะให้เขาหลุดออกมานี่..กรรมสาหัสเลยนะ

ถาม : คุยกับพี่อีกคนหนึ่ง เขาก็บอกว่าเกือบโดนเขกเหมือนกัน ?
ตอบ : เพราะเราขาดการฝึกซ้อมให้ชำนาญ เมื่อเราขาดความชำนาญ ถึงเวลาสภาพจิตไม่สามารถจะก้าวล่วงนิวรณ์ไปสู่ความผ่องใสได้เลย หรือไม่ก็พอเข้าสมาธิไปได้หน่อยหนึ่ง เผลอสติขาด..ก็หลุดอีก บางคนก็ตกใจ อยู่ ๆ หลุดก็สะดุ้งขึ้นมา อันนั้นแหละไม่ค่อยดี ถ้าสมาธิมั่นคงหน่อย พอโดนแตะรู้สึกตัว ก็เริ่มภาวนาต่อไปตามปกติ เอาเป็นว่าช่วยเท่าที่ช่วยได้ก็แล้วกัน มากกว่านั้นก็ช่วยไม่ได้หรอก ยกเว้นต้องใช้ไม้หน้าสาม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 26-03-2013, 10:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนตั้งท่าทำสมาธิมักจะไม่ค่อยได้ มักจะได้ตอนเผลอ ?
ตอบ : เพราะตั้งใจมากเกินไป เหมือนอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาสอนมโนมยิทธิ ท่านบอกว่าอย่าตั้งใจมากเกินไป คนตั้งกำลังใจมากเกินไปเหมือนกับคนที่ยืดคอเลยช่อง ประเภทตั้งใจน้อยเกินไปก็ต่ำกว่าช่อง ไม่สามารถจะไปตรงนั้นได้ ต้องพอดีช่องถึงไปได้

แต่คำว่าพอดีต้องเจอด้วยตัวเอง ถึงจะรู้ว่าแค่ไหนคือพอดี เพราะพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีต และสิ่งที่เราขวนขวายในปัจจุบัน พอรวมกันขึ้นมาก็จะมีจุดพอดี ซึ่งไม่เท่ากับคนอื่น ถ้าใครทำมาใกล้เคียงกัน ถึงเวลาก็มักจะได้อะไรเหมือน ๆ กัน คล้าย ๆ กัน ในเวลาใกล้ ๆ กัน ถ้าทำมาไม่ใกล้เคียงกันก็ต่างคนต่างไป บางคนก็หลายปี บางคนก็ไม่นาน

เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกจะเห็นว่า บางท่านพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็บรรลุมรรคผลเลย แต่บางท่านต้องผ่านไปอีก ๗ วัน ๑๕ วัน หรือไม่อย่างท่านพระอนุรุทธก็ใช้เวลา ๗ ปี หรือไม่ก็พระอานนท์ตั้งหลายปี พระอานนท์นี่น่าเห็นใจ เพราะว่าท่านทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากดูแลพระพุทธเจ้า แค่จัดคิวให้คนเข้าพบพระพุทธเจ้าก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว ไหนจะต้องเรื่องส่วนตัวอีก จนท่านไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ทรงความเป็นพระโสดาบันอยู่นานมาก

พระอานนท์ท่านบวชหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วหลายปีเหมือนกัน ต้องบอกว่าอธิษฐานมาเพื่อความเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ต่อให้พุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ในอนาคตก็ดี แม้ว่าพึงมีก็ไม่เกินอานนท์นี้” พูดง่าย ๆ ว่าท่านทำหน้าที่ของท่านได้เต็มที่แล้ว ในอดีตเคยทำได้แค่ไหนพระอานนท์ก็ทำได้แค่นั้น ในอนาคตจะทำได้แค่ไหนก็ไม่เกินที่พระอานนท์ได้ทำไว้แล้ว

พระอานนท์อายุยืนมาก ปรินิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ปี แปลว่าอยู่มาหลังพุทธปรินิพพานอีก ๔๐ ปีได้ ตอนช่วงนั้นจะมีการสืบสายธรรมะมา มีสายของพระมหากัสปปะ สายของพระมหากัจจายนะ สายของพระโมคคัลลานะ สายของพระสารีบุตร สายของพระอานนท์ แต่พอมาระยะหลัง ๆ ลูกศิษย์สายของพระมหากัจจายนะกับสายของพระอานนท์ มีการบันทึกหลักธรรมเป็นตัวอักษร ก็เลยมีการตกทอดมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะทางสายพระมหากัจจายนะ ตกทอดมาเป็นตำรามูลกัจจายน์ นักเรียนบาลีเจอเข้า..อ้วกทุกราย

เมื่อเช้าได้คุยกับมหาเบิร์ธ ถึงกับบอกว่า เราเรียนกันแค่ผิว ๆ เท่านั้น ถ้าเจอบาลีไวยากรณ์ชั้นสูงกับพระสูตรนี่ ต้องท่องกันหูดับตับไหม้กว่านี้อีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2013 เมื่อ 17:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 26-03-2013, 10:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูสงสัยว่าปฏิบัติจริงจัง หมายความว่า ให้เราพยายามรู้ลมหายใจเข้าได้ตลอดเวลา หรือแค่ตั้งหน้าตั้งตาทำจริงจัง ไม่ต้องทำอะไร นั่งแต่ในกรรมฐาน ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ แต่ให้สติรู้อยู่กับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก คนที่จะทำอย่างนี้ได้อย่างน้อยต้องทรงปฐมฌานละเอียดได้คล่องตัว สภาพจิตจะรู้และภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เรามีหน้าที่กำหนดสติประคับประคองไว้ตลอดเวลาก็พอ

ถาม : อย่างนี้ก็เป็นพระโสดาบันเลยสิครับ ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่ากำลังของพระโสดาบัน แค่ปฐมฌานก็พอแล้ว ความอยากจะเป็นพระโสดาบัน ทำเอาอาตมาปล้ำปฐมฌานอยู่หัวไม่วางหางไม่เว้น ๓ ปีเต็ม ๆ พอได้เข้าจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นพระโสดาบันเลย

เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเรื่องของสมาธิ กับเรื่องของกำลังใจเข้าถึงธรรมเป็นคนละเรื่องกัน แต่กำลังใจที่เข้าถึงธรรมต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยในการตัดกิเลส เสียเวลาไปสู้อยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ใครจะอึดขนาดนั้น ทำเท่าไรไม่ได้สักที แต่จะต้องการจะเอาให้ได้ ไม่ยอมถอย ถ้าความบ้าไม่พอนี่ก็เลิกกันไปนานแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 26-03-2013, 10:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะเป็นอย่างนั้น ก็คือสภาพของสังคม กระแสบริโภคนิยมทำให้คนใจร้อนใจเร็ว ไม่สามารถจะค่อย ๆ สั่งสมอะไรได้ ถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็อยากจะบรรลุตอนนั้นเลย การไปหาพระหาเจ้าในความหมายของพวกเขา โดยเฉพาะพวกที่มาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อาตมาเบื่อที่สุด มาลักษณะจะให้เราเสกเพี้ยงเดียวให้เขาเป็นพระอริยเจ้าไปเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าพาเราไปหมดแล้ว ท่านเสกทีเดียวก็ไปหมดแล้ว คงไม่เหลือพืชเหลือพันธุ์มาถึงเราหรอก ไปพระนิพพานกันเกลี้ยงแล้ว..!

แต่เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ ก็เลยกลายเป็นคนรุ่นใหม่ไม่มีความอดทน แล้วถ้าความอดทนไม่พอ การที่จะเข้าถึงธรรมจะน้อย เราต้องดูว่าโอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือคำสั่งสอนที่ประกาศอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านขึ้นมาประโยคแรกก็ ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา

ขันตี คือ ความอดทน ความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่งของนักปราชญ์ ก็คือใช้ความอดทนอดกลั้นในการเผาผลาญกิเลส ถามว่าต้องทำถึงขนาดไหน ต้องถึงขนาดเผาเหล็กละลาย ไม่อย่างนั้นเผากิเลสไม่ตายหรอก

คราวนี้พอเผาไปชั่วนาตาปี ความร้อนที่เผากิเลส ก็ทำให้กิเลสดิ้นรน จะตายแล้วนี่ แต่คราวนี้พอกิเลสโวยวายว่าจะตาย กิเลสรัก โลภ โกรธ หลง อาศัยตัวเราอยู่ เราก็ไปหลงประเด็นว่าเราเองจะตาย เราก็เลยเลิกปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะตาย แต่ความจริงเราโดนกิเลสหลอก ดังนั้น..ต่อไปอย่าไปเชื่อกิเลสนะ ถ้ากิเลสบอกว่าจะตาย เออ..! ให้ตายไปเลย แล้วก็ลุยต่อไป หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านถึงได้บอกอยู่เสมอว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ถ้าข้ามความตายไม่ได้เข้าไม่ถึงธรรมหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2013 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 27-03-2013, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงพระนาคปรก ๙ เศียรทองคำว่า "ชนวนเก่ามีตะกรุดมหาสะท้อน เนื้อทองคำอยู่ ๒ ดอก และมีตะกรุดโสฬส เนื้อทองคำของหลวงปู่เอี่ยม ๑ ดอก อาตมาลอกเอาผงตะกรุดโสฬสของหลวงปู่เอี่ยมที่พอกไว้ข้างนอก ไปผสมเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ แต่ทองคำเอามาหลอมเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ คราวนี้พอเอาชนวนมาหล่อพระนาคปรกลอยองค์ ก็เลยกลายเป็นติดไปด้วย

มีเพื่อนพระที่เล่นเครื่องรางของขลังท่านหนึ่งบอกว่า ตะกรุดโสฬสเนื้อทองคำของหลวงปู่เอี่ยมท่านไม่น่าจะทำ อาตมาถามว่า “แล้วที่ของผมคืออะไร ? ” ท่านบอกว่า “พระอาจารย์ลองคิดให้ดี ๆ นะครับ พระพุทธเจ้าห้ามพระจับเงินจับทอง แล้วพระสมัยก่อนท่านเคร่งครัดกว่าเราเยอะ จะเห็นว่าท่านทำตะกรุดจะใช้ฝาบาตรหรือใช้ตะกั่วถ้ำชา เพราะฉะนั้น..ผมว่าตะกรุดทองคำไม่น่าจะใช่ของหลวงปู่เอี่ยม”

“แต่ผมเคยเห็นตะกรุดทองคำที่หลวงปู่มั่นจารให้โยมว่ะ..!” อาตมาเชื่อว่าถ้าเรื่องเคร่งครัด หลวงปู่มั่นท่านเคร่งเป็นที่เลื่องลือแน่ แต่ท่านก็ทำให้โยมเพราะโยมเป็นคนหาแผ่นทองคำมา ก็เลยขึ้นอยู่กับการพิจารณา ถ้าท่านใดมั่นใจก็ใช้ไปเถอะ เพราะวัตถุมงคลสำคัญตรงความมั่นใจ ของดีแค่ไหนถ้ากำลังใจไม่เปิดรับก็เท่านั้นแหละ

แต่ว่าสิ่งที่ท่านท้วงติงมานี่มีเหตุผลเลยนะ แต่อาตมาก็คิดในแง่ที่ว่า ถ้าดังระเบิดไปทั้งประเทศอย่างหลวงปู่เอี่ยม พวกลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าใหญ่นายโต
พ่อค้า คหบดี ต้องมี แล้วท่านที่ฐานะรวย ๆ ก็อยากจะได้ของที่สมกับฐานะตัวเอง อย่างหลวงปู่ศุขท่านก็ทำตะกรุดสามกษัตริย์ทอง นาก เงิน ด้วยซ้ำไป ที่ทำถวายบรรดาเจ้าใหญ่นายโตตามวังต่าง ๆ โดยเฉพาะเสด็จในกรมหลวงชุมพร พวกเครื่องข้าราชศาสตราสมัยก่อนเป็นโลหะมีค่าทั้งนั้น แม้กระทั่งลูกสะกดยังเป็นสามกษัตริย์เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2013 เมื่อ 14:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 27-03-2013, 09:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่พระใช้เงิน นาก ทอง จริง ๆ นี่อยู่ที่เจตนาว่าดีหรือไม่ดีหรือครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าทรงทราบว่ากำลังใจของคนรุ่นหลังใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไหลตามไปแน่ พระองค์ท่านก็เลยห้ามไว้เลย แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า รับมาก็อย่าคิดว่าเป็นของเราสิ แล้วจะมีสักกี่คนที่คิดแบบนี้ ? ท่านถึงได้สอนพระสายวัดท่าซุงว่า "เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก่อนที่จะถึงปีหน้าถ้ามีเงินเหลือ ให้คิดทำงานที่ใหญ่กว่าเงินเอาไว้ พอเงินมาเราจะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา" เป็นสุดยอดของคำสอนเลย ใครกลัวเงินทับตาย พระสายวัดท่าซุงไม่กลัวหรอก มีเท่าไรก็เทลงการก่อสร้างไปหมด

เดือนนี้อาตมาติดลบไปเกือบสองล้านบาทเอง ใครบอกว่าถวายเป็นเงินส่วนตัว อาตมามักขู่เขาไว้ว่าจะเก็บไว้แต่งเมีย แต่ไม่พอแต่งเสียที เทลงเงินสงฆ์หมด แยกบัญชีเอาไว้ไปอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็จ่ายรวมกันไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2013 เมื่อ 14:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 27-03-2013, 09:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกที่เดินเท้าอย่างเช่นอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เดินจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย โดยตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว มีคนช่วยไปตลอดทางจนไปถึงเกาะสมุย หรือไม่ก็พวกขี่จักรยานรอบโลก ไปตรงไหนก็มีคนสงเคราะห์ เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกิดจากเรื่องของบุญของกรรมที่เนื่องกันมาตั้งแต่อดีต พอถึงเวลาก็ต้องมาสงเคราะห์ต่อกัน

อาตมาเองสมัยเรียนชั้น ป. ๑ - ป. ๔ มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งไม่รู้เป็นอย่างไรจะคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด ที่บ้านอาตมามีฐานะค่อนข้างจะยากจน ปีทั้งปีแทบจะไม่มีสตางค์ไปโรงเรียนเลย มีแต่ข้าวห่อไป เพื่อนคนนี้จะคอยซื้อขนมมาให้ตลอด ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ดีเหมือนกัน ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้รู้จักมักจี่สนิทสนมกันมาก่อน รู้อยู่อย่างเดียวว่าพอถึงเวลาเขาจะต้องมาช่วยเรา เขาเองก็คงงง ๆ อยู่เหมือนกัน

ดังนั้น..ของพวกนี้ เราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “บุคคลที่เกิดมาพบกันในชาติปัจจุบันนี้ ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาเลยนั้นไม่มี” อย่างน้อย ๆ ต้องเคยเป็นอะไรกันมาก่อน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา เป็นครูบาอาจารย์ เป็นศิษย์ เป็นเพื่อน แล้วมาเจอกันชาติใหม่ ก็มาเกื้อกูลกันต่อไป มาเข็นกันหรือมาถ่วงกัน มาเข็นกันนี่ยังพอไหว อย่างน้อย ๆ ก็ยังพยายามขึ้นหน้า แต่ประเภทมาถ่วงกันนี่เล่นเอาเราไปไหนไม่ได้เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2013 เมื่อ 14:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 27-03-2013, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าพระธรรมยุติจับเงินไม่ได้ เราถวายเป็นเช็กได้ไหมครับ ?
ตอบ : พุทธเจ้าท่านใช้คำว่า "เงินทอง" หรือ "วัตถุที่ใช้แทนเงินทอง" ตกลงใช้เช็กได้ไหมเล่า ? แต่ก็เห็นเขารับเช็กกันเป็นว่าเล่น

สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ เจอพระธรรมยุติพกตั๋วแลกเงิน ๓ เล่ม ใบละร้อยล้วน ๆ อาตมาก็คิดว่าท่านไม่จับเงิน แต่ท่านมีเยอะกว่าอีก ๓ เล่มก็ ๓๐,๐๐๐ บาทแล้ว สมัยนั้นอาตมามีเงินติดตัว ๒๐๐ บาทก็ดีใจแย่แล้ว ออกกิจนิมนต์ครั้งหนึ่งเต็มที่ได้ ๒๐ บาท กว่าจะได้ ๒๐๐ บาทนี่รอกิจนิมนต์ตั้ง ๑๐ ครั้ง แล้ว ๑๐ ครั้งนี่บางทีก็ครึ่งค่อนปี

สมัยบวชใหม่ ๆ ภาระยังไม่มาก พอถึงเวลามีโอกาสก็ลาไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส ถึงได้เห็นว่าวัดเทพศิรินทราวาสเป็นวัดธรรมยุติแต่เงินสะพัดมากเป็นพิเศษ นั่งคุยกับหลวงพี่ที่นั่น สักพักท่านขอตัว “หลวงพี่ครับ..ผมขอตัวแป๊บหนึ่ง” “ไปไหนวะ ?” “ไปบังสุกุลอัฐิให้โยม” เดินไปไม่ถึง ๑๐ นาที กลับมาเอาซองวางแปะไว้ อาตมาก็เปิด ดึงใบปวารณาออกมาดู ๔๐๐ บาท ไม่ถึง ๑๐ นาทีได้ ๔๐๐ บาท..! อาตมาอยู่วัดท่าซุงสวดเป็นชั่วโมงเขาถวาย ๒๐ บาท..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2013 เมื่อ 14:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว