กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-12-2015, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,026 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๘

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชอบมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ วันนี้มีผู้ถามว่า รู้ตัวอยู่ว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไร แต่ไม่มีกำลังใจที่จะไปขวนขวายทำ อยากทราบว่าขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน ? ซึ่งคาดว่าพวกเราหลายคนก็เป็นเช่นนี้ การที่เรารู้ว่าตนเองต้องทำอะไร แต่ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทำ มีความขวนขวายน้อย เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่ง ก็คือ เข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว ไม่เห็นสาระแก่นสารในสิ่งที่ตนเองต้องไปทำ จึงหมดความอยากที่จะทำในสิ่งนั้น ๆ

ส่วนสาเหตุที่สอง ก็คือ กำลังใจของเรายังไม่เพียงพอ ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา กิเลสรู้ว่าถ้าเราปฏิบัติสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง เราก็จะหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาไปได้ ดังนั้น...เขาก็จะดลใจให้เราขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติ ก็แปลว่าในส่วนที่บกพร่องมากที่สุดของเราก็คือสมาธิ จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านอำนาจของกิเลสได้

ดังนั้น ถ้าผู้ใดเกิดอารมณ์ในลักษณะอย่างนี้ ให้หันมาเร่งในเรื่องของสมาธิภาวนาเข้าไว้ ถ้าหากว่าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว คราวนี้ก็จะมีความพากเพียรบากบั่นไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่เป็นหน้าที่การงานของเราให้สำเร็จลง ด้วยเห็นว่าเรามีชีวิตอยู่ในวันนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง

เมื่อเป็นดังนั้นก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มสติเต็มกำลัง ซึ่งบุคคลที่เข้ามาถึงตรงจุดนี้ก็จะโดนนินทาในลักษณะที่ว่า จะบ้างานไปถึงไหน ? แต่ความจริงแล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ทำในลักษณะทิ้งทวน ทำในลักษณะงานชิ้นสุดท้าย เป็นงานครั้งสุดท้าย จึงต้องทำให้ดีที่สุด ให้เต็มกำลังที่สุด ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ากำลังใจของท่านยังไม่พอ พูดไปบางทีก็ฟังไม่เข้าหู
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 13:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-12-2015, 11:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,026 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของการปฏิบัตินั้น เราต้องสร้างเสริมสติ โดยเฉพาะอานาปานสติ คือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออก ถ้าอานาปานสติคล่องตัว ก็จะเกิดกำลังจากสมาธิ เมื่อสมาธิทรงตัว จิตใจสงบแนบแน่น ปัญญาก็เกิดได้ง่าย เมื่อสติระลึกรู้ว่า ทางนี้เป็นหนทางที่ผิด ก็จะใช้สมาธิระงับยับยั้งไม่ให้ก้าวไปยังหนทางนั้น และใช้ปัญญาตรึกตรองดูว่า แล้วหนทางที่ถูกเป็นอย่างไร ? เมื่อเห็นว่าหนทางที่ถูกนั้นเป็นทางใดแน่ ก็จะมุ่งตรงไปยังทางนั้น

ดังนั้น...ในสิ่งที่ผู้ถามถามว่า รู้อยู่ว่าต้องทำหน้าที่อะไร แต่ว่าไม่มีกำลังใจที่จะไปทำ ก็คาดว่าจะเป็นในอย่างที่ ๒ ก็คือปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมากกว่า เรียกว่าแต่ละวันหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้กำหนดสติตามดูตามรู้ในลมหายใจเข้าออกของตนจนมั่นคงเพียงพอ ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็จะต้องแพ้กิเลสไปเรื่อย ๆ และอาจจะหมดกำลังใจที่อยากจะทำความดีไปเลย

เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายที่เข้ามาปฏิบัติธรรม คงจะเคยได้ยินอาตมาพูดหลายครั้งแล้วว่า คำตอบแทบทุกประการจากการปฏิบัติธรรมนั้น อยู่ที่ตัวสมาธิแทบทั้งสิ้น ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ต้องใช้ปัญญาในการตัดกิเลส แต่ก็ยังต้องอาศัยกำลังจากสมาธิช่วยตัดกิเลสอยู่ดี พวกเราจึงไม่ควรทิ้งอานาปานสติอย่างเด็ดขาด เพราะอานาปานสติหรือว่าลมหายใจเข้าออก เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง เป็นกำลังช่วยกดกิเลสให้นิ่ง บั่นทอนกำลังกิเลสให้น้อยลง และช่วยให้เราตัดละกิเลสได้ง่ายขึ้น

เมื่อทราบถึงสาเหตุแล้ว ก็ให้เร่งปฏิบัติในอานาปานสติให้จริงจังกว่านี้ เพื่อที่จิตจะได้มีกำลังต่อต้านกระแสกิเลสได้ ไม่ไหลไปตามอารมณ์ใจใฝ่ต่ำอย่างเดียว

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว