กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 22-08-2011, 07:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยก่อนพุทธกาลมีบรรดานักบวชที่เจริญสมาธิกันเยอะ ทำไมไม่ปรากฏว่ามีใครที่สามารถตัดกิเลสโดยใช้สมาธิข่มแบบเจโตวิมุตติได้คะ ?
ตอบ : เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องตัดกิเลสแบบไหน เขาหวังการหลุดพ้นตามแบบของเขาด้วยทรมานกาย จึงเอากำลังสมาธิไปสู้ทนกับการทรมานกายจนกำลังนั้นหมดไป ก็เลยไม่พอที่จะตัดรัก โลภ โกรธ หลง นอกจากจะกดให้นิ่งอยู่ชั่วคราว

ถ้าไม่เอาไปทรมานตัวเอง ก็คงจะตัดได้ไปเยอะแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 22-08-2011, 07:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าหากความตายจะวิ่งเข้ามาหา ตอนนี้หนูก็ไม่กลัวความตาย แต่พอพิจารณาถึงตอนที่อธิษฐาน เหมือนกับใจค้านว่า ถ้าใจเราบรรลุธรรมได้ตอนนี้ เราจะตาย ก็เกิดกลัวความตายตอนนี้ค่ะ
ตอบ : เพราะยังทำได้ไม่จริง..!

ถาม : ให้เราหมั่นพิจารณาความตายตามที่เราเคยทำมาหรือคะ ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมดาว่า เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ เจ้าจะตายก็ตายไปเถิด เราจะได้พ้นไปจากเจ้าเสียที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 22-08-2011, 07:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมนั้น บางทีถ้าเราทำเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีกำลังใจอยากจะทำ แต่ถ้าไปวัดแล้วมีเพื่อนร่วมปฏิบัติเยอะ ๆ ก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อ

แต่พวกเรามักจะขาดทุนเสียส่วนใหญ่ เพราะเวลาการปฏิบัติภายในวันหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอว่างจากการปฏิบัติก็ไปคุยจ้อกัน จนกำลังใจคลายไป การปฏิบัติที่ดีต้องรักษากำลังใจให้ทรงได้ ประคับประคองไว้ให้นานที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเผลอ พอเจอคนที่รู้จักคุ้นเคยก็คุยไปเรื่อยจนถึงดึกดื่นค่อนคืน พอตื่นขึ้นมาก็มานั่งหลับตอนทำวัตรเช้า พอทำวัตรเสร็จก็ไปคุยต่ออีก

ช่วงเดือนสิงหาคม ทางวัดมีงานหนัก ๆ หลายงานติดกัน เริ่มจากงานเป็นเจ้าภาพประชุมพระนวกะ ถัดไปก็งานวันแม่และบวชปฏิบัติธรรม ถัดไปก็เป็นการอบรมของกระทรวงวัฒนธรรม เด็ก ๗ โรงเรียนด้วยกัน คัดตัวแทนมารวม ๒๕๐ คน

จะพยายามฝึกให้ออกมาในลักษณะที่อวดคนอื่นเขาได้ ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำต่อได้นานเท่าไร เพราะอยากจะได้เด็กจากชั้นที่เล็ก ๆ ปีหน้าจะได้เวียนมาซ้ำอีก สิ่งที่ได้ฝึกหัดไปก็จะได้กลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อตอนเย็นโยมแม่ของคุณชลธีเดินเข้ามา อาตมามองแล้วได้แต่ประหลาดใจ โยมแม่ของคุณชลธีเป็นคนแก่ที่เดินได้สง่าจริง ๆ ลักษณะอย่างนั้นคือ ฝึกมาจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นกิริยาโดยธรรมชาติ ถ้าไม่ได้ฝึกมาก็แปลว่าต้องเป็นของเก่าที่ข้ามชาติข้ามภพมา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 22-08-2011, 07:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในเรื่องของผ้าไตรจีวรนั้น ภาษาพระเรียกว่าผ้าบังสุกุล

ปังสุกุละ แปลว่า ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าคลุกฝุ่น คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ถือว่าเป็นผู้สละแล้วซึ่งทรัพย์สมบัติทั้งปวง มีแต่ตัวเปล่า ก็ต้องไปแสวงหาผ้าเพื่อทำจีวร ต้องเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว นำมาซัก มาตัด มาเย็บ มาย้อม กลายเป็นผ้าสำหรับใช้งานของตน

ในสมัยแรก ๆ อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ รูปแบบที่แน่นอนก็ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มอบหมายให้พระอานนท์คิดแบบในการทำจีวรให้เหมือนกันขึ้นมา พระอานนท์ได้แนวความคิดขณะที่บิณฑบาตผ่านท้องนา เห็นชาวบ้านเขาทำนา เป็นแปลง มีคันนา ท่านก็เลยมาดัดแปลงเป็นลักษณะของจีวร ซึ่งจะมีผ้าที่เป็นจีวร มีผ้าต่อ มีผ้ากั้น มีผ้าขอบ

ตัวผ้าจีวรก็มีมณฑล ก็คือช่วงที่ยาว และอัฒฑมณฑล ช่วงที่สั้นลงครึ่งหนึ่ง และมีกุสิ ก็คือผ้ากั้นช่วงยาว อัฒฑกุสิ ผ้ากั้นช่วงสั้น และมีอนุวาต ผ้ากั้นขอบ เมื่อออกแบบมา ต้องบอกว่าท่านเป็นยอดของมัณฑกร คิดออกแบบมาสองพันกว่าปีแล้วก็ยังใช้งานได้ดีไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 24-08-2011 เมื่อ 10:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 22-08-2011, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ผ้าที่ได้มาชิ้นใหญ่บ้าง ชิ้นเล็กบ้าง ท่านออกแบบมามีทั้งใหญ่และเล็ก อย่างที่บอกว่ามี ๗ ขันธ์ มี ๙ ขันธ์ ก็คือ ถ้าอ้วนหน่อยก็ ๙ ขันธ์ ถ้าผอมหน่อยแค่ ๗ ขันธ์ก็พอ สำคัญตรงสีที่ย้อม พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตผ้าย้อมน้ำฝาด ก็คือ น้ำจากการต้มเปลือกไม้หรือแก่นไม้

พระอัญญาโกณฑัญญะท่านบวชตอนอายุมากแล้ว ไม่อยากยุ่งกับพระลูกพระหลาน ท่านจึงไปจำพรรษา ที่ฉัตทันตสระในป่าหิมพานต์ บริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ที่จะนำแก่นหรือเปลือกมาทำเป็นน้ำฝาดย้อมผ้าได้ ท่านจึงไปขุดเอาดินลูกรังมาละลายน้ำ กรองเอาเฉพาะน้ำมาต้มและย้อมผ้า สีผ้าจึงค่อนข้างแดง

เมื่อถึงเวลาออกพรรษา ท่านก็มากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระลูกพระหลานเห็นเข้าก็นินทาว่า หลวงตาองค์นั้นมาจากไหนไม่รู้ ผอมจนเอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว ห่มจีวรสีแดงอย่างกับเลือด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยิน เกรงว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะล่วงเกินแล้วจะเกิดโทษแก่ตนเองมาก จึงเสด็จมาตรัสถามว่า

"ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นพี่ชายใหญ่ของเธอหรือไม่ ?" ท่านทั้งหลายทูลตอบว่า "ไม่เห็นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกว่า "หลวงตาที่ห่มจีวรสีแดงนั่นแหละ คือท่านอัญญาโกณฑัญญะ พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา พี่ชายใหญ่ของพวกเธอ

ท่านอยู่ในเขตที่ไม่มีไม้จะทำน้ำฝาดมาย้อมผ้าได้ จึงใช้ดินลูกรังย้อมผ้ากลายเป็นสีนั้น" พระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตให้ภิกษุใช้ผ้าไตรจีวรสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เกิดจากการย้อมด้วยน้ำขมิ้น สีกรักที่ย้อมด้วยแก่นขนุน และสีเจือแดงเข้ม ที่ย้อมด้วยสีลูกรัง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 22-08-2011, 11:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนว่า "เทพมารสะท้านภพ จุดมุ่งหมายที่เขาต้องการจะบอกเราก็คือ คน ๆ หนึ่ง สามารถใช้ความรักที่มีต่ออีกคนหนึ่งเป็นการสร้างเสริมความก้าวหน้าให้แก่ตัวเองได้

ล่างฟานหวินพอสูญเสียภรรยาไป เขาก็เอากำลังใจที่รักเมียมากมาทุ่มเทในการฝึกวิชาบู๊ เป็นกำลังใจที่เท่ากัน แค่เปลี่ยนมุมในการใช้เท่านั้นเอง เขาก็เลยกลายเป็นกระบี่มือหนึ่งของยุทธจักร ลักษณะเดียวกับพวกเราที่ใช้ฉันทะในทางที่ผิด เด็ก ๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ได้ข้ามวันข้ามคืน ถ้าใช้กำลังใจที่นั่งเล่นเกมส์มาปฏิบัติธรรม ก็จะสบายมากเลย

ในนิยายชุดนี้นั้น พอท้ายสุดก็จะก้าวข้ามความรักความเกลียดไปได้ คล้าย ๆ กับการหลุดพ้นเหมือนกัน ตอนหลังที่มาสู้กันก็อยู่ในลักษณะที่ลองดูว่า อีกฝ่ายหนึ่งไปถึงไหนแล้วแค่นั้นเอง อย่างจอมคนแผ่นดินเดือด ที่เอี้ยนเฟยช่วยศัตรูตัวร้ายอย่างซุนเอินเปิดประตูมิติลับ แล้วส่งข้ามไปในลักษณะหลุดพ้นจากโลกนี้ ก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือความเป็นศัตรูไม่มีแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายคนละเรื่องกัน ในเมื่อหวังความหลุดพ้น ความเกลียดความรักต้องวางหมด ฟัง ๆ ดูแล้วเหมือนศาสนาพุทธอย่างไรก็ไม่รู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 23-08-2011, 05:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่กระดูกจะเป็นพระธาตุนั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ก็คือ ตัวเองอธิษฐานให้เป็นพระธาตุ อีกอย่างคือพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้เป็น

อย่างหลวงปู่มั่น ท่านเกรงว่าคนจะไปยึดติดอยู่กับกระดูกของท่าน ท่านก็เลยไม่อธิษฐานให้เป็น ผ่านไปสามสิบกว่าปี ลูกศิษย์ท่านกระดูกแปรสภาพเป็นพระธาตุไปหลายต่อหลายองค์ แต่ท่านไม่เป็นสักที คนก็ชักสงสัยว่าหลวงปู่มั่นปฏิบัติดีจริงหรือเปล่า ? ถ้าปฏิบัติดีจริงทำไมกระดูกไม่เป็นพระธาตุ ? พระท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้เป็น สรุปว่ามาเปลี่ยนเป็นพระธาตุเอาทีหลัง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 23-08-2011, 05:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้น เขาบอกว่าการจะบันทึกบุญบาปของแต่ละคนจะเริ่มตอนอายุ ๖ ขวบเป็นต้นไป จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นความเชื่อของทางมหายาน ความจริงเขาบันทึกกันตั้งแต่ก่อนจะเกิดเสียอีก

ถาม : เขาให้เหตุผลว่าเด็กยังไม่รู้เรื่องค่ะ
ตอบ : ไม่จริงหรอก ลองเจอเด็กจุดไฟเผาบ้านดูสิ คุณจะลงโทษเด็กไหม ? คำว่า "ไม่รู้" นั้นไม่มี เพราะทุกอย่างทำไปตามรัก โลภ โกรธ หลง คุณจะมีสติรู้ตัวหรือไม่มีสติรู้ตัวก็เหมือนกัน เพียงแต่โทษนั้นไม่เท่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 23-08-2011, 06:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมเวลาผมบริกรรมแล้วเวียนศีรษะ ?
ตอบ : การปฏิบัติเขาแลกกันด้วยชีวิต การที่เกิดอาการขึ้นมาภาษาพระเรียกว่า ขันธมาร เขาแกล้งให้เราไปสนใจในร่างกายแทนที่จะภาวนา ถ้าเราคิดว่าทำความดีตรงนี้ ถึงตายลงไปก็ยอม ถ้าทุ่มเทอย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็เลิก เขาตั้งใจจะกวนให้เราเลิกทำ เพราะฉะนั้น..ก็อย่าไปเชื่อเขาแล้วกัน

มีหลายคนในช่วงที่ไม่เคยปฏิบัติความดีที่เมาหัวทิ่มบ่อ นอนตากน้ำค้างทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกกินเหล้าหันมาปฏิบัติธรรมก็ป่วยเช้าป่วยเย็น จนทำให้เขาคิดว่า การทำความดีทำให้เขาป่วย จนจะเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แล้ว

เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราไปในด้านที่จมปลักอยู่ในมือเขา เขาก็สนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าไปในด้านที่จะหลุดพ้นจากมือเขา เขาก็ขวางเต็มที่ ดังนั้น..ระยะแรกต้องสู้กันก่อน พอถึงเวลาถ้ากำลังเราดีกว่า เขาก็ขวางไม่อยู่แล้ว เขาเห็นว่าขวางไม่อยู่ก็เอาเรื่องใหม่มาขวางเราอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 23-08-2011, 06:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราภาวนาโดยพิจารณาภาพพระ แล้วอยากจะเปลี่ยนกองกรรมฐานในอนาคต จำเป็นต้องไปทำกสิณ ๑๐ ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจับภาพพระจนชินแล้วเปลี่ยนไปจับภาพกสิณ ก็แค่เดี๋ยวเดียว จำเป็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของเราว่าจะทำอะไร

ถ้าเรายึดมั่นในพุทธานุสติ ก็เอาภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องไปฝึกกสิณอื่น แต่ถ้าเราต้องการฤทธิ์ในอภิญญาก็ต้องไปฝึกกสิณเพิ่มเติม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 23-08-2011, 08:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าโยมจะปฏิบัติภาวนา โยมควรจะเร่งให้เป็นสมาธิก่อนหรือไม่คะ ?
ตอบ : จริง ๆ การปฏิบัติจะต้องค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าสามารถทำให้สมาธิทรงตัวไปเลยจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า

ถาม : สมาธิแล้วค่อยไปวิปัสสนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างนั้นจ้ะ เพราะการปฏิบัติสมาธิกับวิปัสสนาต้องไปด้วยกัน อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สมาธิเหมือนคนมีกำลัง วิปัสสนาเหมือนคนมีอาวุธ คนมีกำลังถึงจะใช้อาวุธได้ดี แต่ถ้ามีแต่อาวุธไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ไหว คนมีกำลังไม่มีอาวุธจะตัดถางอะไรก็ลำบาก

เพราะฉะนั้น..เวลาภาวนาพออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ไปต่อไม่ได้แล้ว เราจะสังเกตว่าพอถึงตรงนั้นไปต่อไม่ไหวจะถอยกลับทุกครั้ง พอถอยกลับลงมาก็มาพิจารณาวิปัสสนา ถ้าเราไม่พิจารณากำลังที่เราทำได้จะโดนไปใช้ในการฟุ้งซ่าน แล้วรัก โลภ โกรธ หลง จะแรงเป็นพิเศษเพราะว่าได้กำลังตรงนั้นไป ต่อไปอย่าเอากำลังไปให้กิเลสอีก ให้เอากำลังมาใช้พิจารณาวิปัสสนาแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 23-08-2011, 08:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการจัดประชุมพระนวกะหรือพระใหม่นั้น เพื่อให้พระผู้ใหญ่ได้มาบรรยายถวายความรู้ ว่าเป็นพระใหม่ควรจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ควรจะวางกำลังใจอย่างไร มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาเรียนรู้บ้าง และที่สำคัญก็คือให้พระท่านได้รู้จักผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ที่เหนือกว่าเจ้าอาวาสตัวเองเอาไว้บ้าง

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนอย่างสมัยที่อาตมาไปกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พอเข้าไปถึงวัด ก็ถามพระว่า "เจ้าอาวาสอยู่หรือเปล่า ?" พระท่านบอกกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "หลวงตาไปถามที่กุฏินั้นก็แล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอยู่หรือเปล่า?" นั่นเพราะเขาไม่รู้จักเจ้าคณะจังหวัด เขาเห็นว่าเป็นหลวงตาแก่ ๆ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 23-08-2011, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงนิยายจีนเรื่องเหยี่ยวเดือนเก้า (จอมเสเพลชายแดน) ว่า "เราจะเห็นว่ามีดที่เอี๊ยบไคซัดออกไป เป็นการซัดไปด้วยความรักไม่ใช่ความแค้น แม้ว่าจะฝึกฝนจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยฆ่าคนโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่คนชั่วช้าที่แก้ไขตัวเองไม่ได้แล้ว เอี๊ยบไคจะไม่ลงมือเลย

มีดสั้นมีความยาว ๓ นิ้ว ๗ หุน ฝีมือช่างเหล็กที่ไหนก็สามารถตีได้ แต่พออยู่ในมือของลี้คิมฮวงหรือเอี๊ยบไคแล้ว กลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีจึงเป็นผู้มีฤทธิ์ เพราะฉะนั้น..อยากเก่งแบบเขาก็ต้องขยันฝึกฝน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 05-12-2022 เมื่อ 23:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 23-08-2011, 14:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนอาตมาไปวัดท่ามะขาม ไปฉันเพลกับหลวงพ่อพระเทพเมธากร แมวเดินตามมา ๔ ตัว เป็นแมวแม่ลูกกัน หลวงพ่อเจ้าคุณท่านเห็นก็พูดว่า "เอ๊ะ..มันไม่เคยเข้ามาเลยนะ นี่มันเห็นอาจารย์เล็ก มันเดินตามเลย มันรู้ว่าได้กินแน่" แมวรู้ขนาดนั้นเลย

พอวางอาหารให้แมวกิน แมวตัวแรกที่เป็นลูกคว้าอาหารได้ก็เอาเท้ายัน คือ เอาสองตีนหน้าตะปบอาหารไว้ ปากก็งับอาหาร แล้วเอาตีนหลังยันตัวอื่นเอาไว้ ไม่ให้มาแย่ง โอ้โห..สุดยอดจริง ๆ ตัวกูของกูนี่ไม่เว้นคน ไม่เว้นสัตว์เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 24-08-2011, 05:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนเราไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ส่วนใหญ่คนเรามักกลัวการเริ่มต้นใหม่ ไม่แน่ใจว่างานใหม่จะเป็นอย่างไร ? เจ้านายใหม่จะเป็นอย่างไร ? เพื่อนร่วมงานใหม่จะเป็นอย่างไร ?

ขอยืนยันว่าเหมือนกันหมด เหมือนกันตรงที่ทำงานให้ได้อย่างใจเจ้านายเขาก็พอแล้ว ถ้าทำงานได้อย่างใจเจ้านาย เราจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2011 เมื่อ 09:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 24-08-2011, 05:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่เข้าวิปัสสนา จะเหมือน....หรือเปล่าคะ?
ตอบ : เรารู้จักคำว่าวิปัสสนาดีแค่ไหน ?

จริง ๆ แล้วเรื่องของกรรมฐาน ต้องทำสองอย่างควบกัน ถ้าทำอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ผลนั้นช้ามาก สมถะภาวนาทำให้กำลังใจของเราสงบ มีกำลังในการกดกิเลส วิปัสสนาภาวนาทำให้เห็นจริง ยอมรับ สองอย่างเหมือนกับคนที่ผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวจึงไปได้เร็ว

ถ้าเราทำสมถะภาวนาอย่างเดียว ก็เหมือนกับเราเพาะกำลังเอาไว้เยอะแยะ แข็งแรงมากเลย แต่ไม่มีอาวุธที่จะไปตัดไปฟัน ไปห้ำหั่นกับกิเลสได้ วิปัสสนาภาวนาเหมือนอาวุธที่มีคมมาก แต่ถ้าเราไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ขึ้น จึงต้องทำสองอย่างร่วมกัน

ครูบาอาจารย์ท่านจึงได้แนะนำว่า ให้ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ให้คลายอารมณ์ออกมาพิจารณา แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันเราขาดตรงนี้ พอเราภาวนาเต็มที่แล้วเราก็เลิก การที่กำลังใจของเราทรงตัวเต็มที่ทำให้เรามีกำลังมาก เวลาไปฟุ้งซ่านก็เอากำลังตรงนี้แหละไปฟุ้งซ่าน ก็เลยฟุ้งได้มากเป็นพิเศษ ทำให้คนหลายคนเข้าใจผิดว่า ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก ความจริงไม่ได้มากหรอก มีเท่าเดิม แต่กิเลสแข็งแรงขึ้นเพราะเราไปเสริมกำลังให้

ถาม : หนูก็พิจารณาในเรื่องของวิปัสสนา แต่กิเลสก็ยังอยู่
ตอบ : ใจต้องยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ปรารถนาร่างกายนี้อีกแล้ว เป็นการยอมรับที่เกิดจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ยอมรับเพราะรู้ว่าต้องยอมรับจึงจะใช่

เราไม่ใช่เด็กนักเรียน เด็กนักเรียนต้องตอบอย่างนี้จึงจะถูก จึงจะใช้ได้ แต่เรื่องของวิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าปัญญาไม่ยอมรับจริง ๆ อย่างไรก็ไปไม่ถึง ได้แต่เห็นเงาในน้ำ แต่ไม่สามารถจะหยิบจับขึ้นมาใช้งานได้

ถาม : อย่างพิจารณาแยกกาย เห็นจนเบื่อ จนชินไปแล้ว
ตอบ : ต้องเห็นว่าธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์เป็นปกติอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้จะไม่มีอีกสำหรับเรา แล้วก็เอาใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตาย เราไปพระนิพพานที่เดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2011 เมื่อ 09:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 24-08-2011, 07:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางครั้งหนูก็ลืมพิจารณา
ตอบ : พิจารณาเห็นธรรมดาให้ได้ทุกเวลา ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์มาอีก เราก็เดือดร้อนอีก

ถาม : ต้องเห็นให้มากกว่านี้อีก ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องลงตรงคำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาในโลกนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมดาการดำรงชีวิตอยู่ต้องเจอกับเรื่องอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ก็ปล่อยให้เป็นไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาสำหรับเราชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว สรุปลงมาให้ได้จ้ะ ถ้าสรุปไม่ได้ก็ไม่จบหรอก

ถาม : แสดงว่าจิตคงดื้อ ?
ตอบ : แสดงว่าเราเห็นธรรมดาไม่ตลอด ถ้าเห็นธรรมดาตลอด จิตยอมรับก็จะไม่กลุ้มใจ

ถาม : อย่างช่วงที่เข้าสมาธิก็จะหายไปช่วงหนึ่ง บางทีหนูก็นึกว่าเข้าฌาน แต่ก็ไม่แน่ใจ
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวสูงขึ้นแต่สติตามไม่ทัน เมื่อสติตามไม่ทันก็เหมือนกับหายไปเฉย ๆ บางคนคิดว่าตัวเองนั่งหลับ แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพของสมาธิทรงตัวสูงขึ้น แต่สติหยาบไปหน่อย ตามไม่ทัน

ถาม : ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่กับตัวภาวนาตรงหน้า จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรกำหนดรู้อยู่ ถ้าคำภาวนาหายไป หรือคำภาวนาเบาลงก็ให้กำหนดรู้ไว้

ถาม : สติตามไม่ทัน ?
ตอบ : ถ้าสติตามทันจะไม่หาย

ถาม : หายไปช่วงหนึ่ง พอตื่นมาก็เหมือนนอนหลับชาร์จแบต
ตอบ : ส่วนใหญ่นักปฏิบัติเขาจะหลับกันแบบนั้น

ถาม : คือตัดหลับหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ตัดหลับ ตัดหลับเราจะขาดสตินอนหลับยาวไปเลย แต่นี่เรานั่งหรือภาวนาอยู่ แต่สติหยาบไปหน่อย ตามสมาธิไม่ทัน พอตามทันก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2011 เมื่อ 09:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 24-08-2011, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูปฏิบัติไม่คืบหน้า ?
ตอบ : จะรีบร้อนไปไหนเล่า ? จำไว้ว่า..ถ้าทำเพราะอยาก จะได้ยากมาก ต้องทำเพราะเห็นประโยชน์แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนจะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็น..ก็ช่าง

การปฏิบัติจำเป็นต้องมีอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขาก็จะไม่สามารถก้าวถึงจุดสูงสุดของการปฏิบัติได้ ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ จะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน


ถาม : การที่อารมณ์ควบแน่นเข้ามา ควรจะ..?
ตอบ : แค่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่ากลัว อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว ถ้าลมหายใจมีอยู่ก็กำหนดดูลมหายใจ ถ้าคำภาวนายังมีอยู่ก็กำหนดคำภาวนา ตามดูตามรู้ไปเรื่อย ๆ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าหากเราจะตายตอนนี้ หรือจะหลุดออกไปตอนนี้เราขอไปหาพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ตั้งกำลังใจไว้แค่นั้นแล้วก็ว่าไปเรื่อย

ถาม : ภาพสมเด็จองค์ปฐมมาปรากฏอยู่ตลอด หนูก็เลยคิดว่าต้องรีบฝึกกสิณภาพ
ตอบ : กองไว้ตรงนั้นก่อน รอให้ตรงนี้เรียบร้อยแล้วค่อยไปทำ การปฏิบัติอย่าหลายใจ เปลี่ยนกรรมฐานอยู่เรื่อยจะไม่ได้อะไร

ถาม : ทำอย่างไรหนูจะได้พูดคุยกับสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ก็ไปหาท่าน กราบทูลถามอะไรก็ว่าไป ผิดท่าขึ้นมาก็กระจายเองแหละ..!

ถาม : หนูไปหาสมเด็จองค์ปฐม เมื่อไรจะได้คุยกับท่านคะ ?
ตอบ : ก็มัวแต่อยากอยู่ อีกกี่ชาติจะได้เล่า ?

ถาม : ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ทำอย่างเดิมไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังถึงก็ได้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2011 เมื่อ 12:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 24-08-2011, 16:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนหนูสวดมนต์รู้สึกว่ามีเข็มมาทิ่มตรงหัวใจ
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย เราจะทำความดี ถ้าตายลงไปตอนนี้เราไปดีแน่ ๆ แล้วก็สวดต่อไปเรื่อย ๆ

ครั้งต่อไปเวลาสวดมนต์ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออกด้วย ทุกเวลาที่เราสวด ทุกลมหายใจที่เราสวด คือ บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกว่ากำลังบารมีของพระรัตนตรัยทั้งหมดที่รวมอยู่ในตัวเรา สามารถขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ทั้งนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาสวดไป

ถาม : ทำสมาธิเห็นพระแม่กวนอิม จึงมาเล่าให้แฟนฟัง พอจะเล่าจิ้งจกก็ร้องทักขึ้นมาเลย แสดงว่าไม่สมควรที่จะพูดใช่ไหมคะ ? แล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ : พูดไปแล้วคนไม่เชื่อ เขาปรามาสก็จะเกิดโทษแก่เขามาก เขาว่าเราบ้า เขาอาจจะบ้าแทนก็ได้ ดังนั้น..เมื่อรู้เห็นอะไรต้องดูให้ดีก่อนว่า สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 25-08-2011, 05:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,403,132 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การตั้งพระพุทธรูปไว้ในห้อง ควรหันหน้าไปทิศเหนือใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะตั้งพระพุทธรูปไว้ที่ไหนก็แล้วแต่ ท่านให้หันไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเท่านั้น หันทิศอื่นถึงจะหาเงินเก่งเท่าไรก็มีอันต้องใช้จนหมด ถ้าอยากมีเงินเหลือก็หันให้ถูกทิศ

ถาม : ศาลพระภูมิเล่าครับ ?
ตอบ : ศาลพระภูมิหันหน้าไปทางไหนก็ได้ที่เราไหว้ถนัด แต่ตัวศาลให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน หน้าศาลหันไปทางไหนก็ได้ เอาตัวบ้านเป็นหลัก แล้วก็เลือกทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน

ถาม : ถ้าหน้าบ้านผมหันไปทางทิศเหนืออยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้าหันหน้าไปทางทิศเหนืออยู่แล้วก็ตั้งศาลเยื้องไปทางขวามือ ก็คือตะวันออกเฉียงเหนือ กึ่งกลางของเหนือกับตะวันออก ประมาณ ๔๕ องศา

ถาม : ฤกษ์ออกรถควรจะอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตามแบบวัดท่าซุงก็ออกวันพฤหัสบดี แล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกวันอาทิตย์แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

ถาม : คือออกมาวันพฤหัสแล้วยังไม่ต้องขับ ?
ตอบ : เอามาเก็บไว้ที่บ้านก่อน แล้ววันอาทิตย์ค่อยไปขับประเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว