กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 05-04-2011, 20:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมทุกวันนี้พวกเราหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ก็เพราะว่าใช้ปัญญาน้อยเกินไป เป็นคนฉลาดแต่ขาดเฉลียว ปรับปรุงตัวไม่เป็น เป็นพวกไดโนเสาร์ เคยชินกับสภาพแวดล้อมอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนก็ตาย..สูญพันธุ์..!

งานทุกอย่างไม่ว่าจะงานทางโลกหรืองานทางธรรมก็เหมือนกัน ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ กาละ คือ เวลา เทศะ คือ สถานที่ เราต้องยึดหลักความยืดหยุ่น คล่องตัว เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการไปสู่เป้าประสงค์ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากรให้ได้มากที่สุด

ไม่ใช่ถือหลักนิติศาสตร์ เจ้านายสั่งอย่างไร กูทำอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ปริญญาอย่างพวกเราก็ได้ ไม่ต้องใช้บุคคลที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาหลาย ๆ ปีก็ได้ เอาเด็กใหม่ที่ไหนมา ก็สั่งให้ทำแบบนั้นได้ทั้งนั้น

ได้แต่หวังว่างานครั้งนี้ พวกเราจะได้ประสบการณ์อะไรบางอย่างเพื่อกลับไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนที่จะเป็นไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาเพราะปรับตัวไม่เป็น

ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากตัวทิฐิมานะ ก็คือ ตัวกูของกูมีมากเกินไป ตัวกูของกูนี้อยู่ที่บ้านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ภายนอกหรือที่ทำงาน จะกระทบกระทั่งกับคนอื่นเขา เพราะขาดการยอมรับในผู้อื่น ประสานงานกับคนอื่นไม่เป็น เป็นแต่ประสานงาอย่างเดียว ก็มีแต่จะทำความบรรลัยวายวอดให้กับงานตรงหน้าเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2011 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 06-04-2011, 08:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ความจริงไม่ใช่หน้าที่ของพระ ที่จะมาตักเตือนมาสั่งสอนกัน เพราะว่าเป็นงานของโยม เป็นหน้าที่โดยเฉพาะของโยม แต่วันนี้ดูแล้วอดรนทนไม่ได้ ขืนปล่อยต่อไปคงไม่รอดแน่ แล้วจะมาหาคนที่พูดตรง ๆ บอกตรง ๆ อย่างพระก็ไม่มี เพราะถ้าบอกไปก็เถียง

เราอาจจะไม่รู้ตัวว่า ความประพฤติของเรานั้น ทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายและถึงกับปล่อยวางไปเลยก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะเรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นก็ไม่มี ทำอย่างไรที่เราจะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ศึกษาเรียนรู้ให้มากที่สุด และทุ่มเทกับงานให้มากที่สุด

ทุกคนลองมองย้อนไปว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าทำงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ สิ่งที่อาตมาพูดมามีบ้างไหม ? หรือเรารู้แต่เพียงว่า บุคคลนี้เป็นผู้บังคับบัญชา เรายอมลงให้ แต่บุคคลที่เป็นเพื่อนร่วมงาน มีโอกาสเมื่อไรเป็นงับทันที..! ถ้าอย่างนั้นเราจะอยู่กับใครได้ นอกจากคนที่ทนนิสัยเราได้เท่านั้น..!

ไม่ว่าจะเป็นบริษัทห้างร้าน ตลอดจนวัดวาอาราม ถ้ามีแต่บุคคลประเภทนี้ นอกจากจะหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้แล้ว ยังมีแต่จะรอวันเสื่อมสลายและพังไปในที่สุด โดยเฉพาะความสามัคคีในหมู่คณะมีน้อย กระทบกระทั่ง ขัดเหลี่ยม ปีนเกลียวกันอยู่ตลอดเวลา

เราต้องดูตัวอย่างคนญี่ปุ่น เราจะเห็นว่าเกิดสึนามิขึ้นมา บ้านแตกสาแหรกขาด แม้แต่ที่จะอยู่ที่จะกินก็ไม่มี แต่คนญี่ปุ่นมีวินัยมาก คนเอาของไปแจกก็ยังเข้าแถวเรียบร้อย ขณะเดียวกันอย่างบ้านเรา พอเอาของไปแจก ก็แย่งกันจนจะเหยียบกันตาย นี่คือลักษณะความต่างที่ได้รับการอบรมมา ที่กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้นเป็นฉันใด ลักษณะบุคคลชาวญี่ปุ่นเวลาทำงานก็ฉันนั้น

พอชาวญี่ปุ่นเข้าทำงานที่ไหน เขาจะคิดว่างานนั้นเป็นของเขาเอง จะมีการเปลี่ยนงานน้อยมาก ส่วนใหญ่ทำไปจนเกษียณหรือตายคาบริษัทไปเลย ชาวญี่ปุ่นติดสถิติความบ้างานสูงสุด เพราะมีเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานวันละ ๑๐ ชั่วโมง ขณะที่บ้านเรา มาหลังเวลาแต่กลับก่อนเสมอ

ทำอย่างไรที่เราจะสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของในเนื้องานนั้นขึ้นมา เพื่อที่เราจะได้ทุ่มเทจริงจัง ใช้ศักยภาพตัวเองออกมาให้สูงสุด สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่หน่วยงานให้มากที่สุด ซึ่งเท่ากับสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตัวของเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2011 เมื่อ 13:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 06-04-2011, 08:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราไม่สามารถที่จะทำตรงจุดนี้ได้ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนงานกี่ครั้ง ทุกอย่างก็จะออกมาเหมือนเดิม แล้วเราก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยว่า เกิดจากข้อบกพร่องตรงจุดไหนของตัวเอง

ในการทำงานแต่ละโครงการ เรามีการสรุปทบทวนและประเมินผล ซึ่งตรงกับหลักการของพระพุทธเจ้า ในอิทธิบาท ๔ ข้อที่ว่าวิมังสา คือ ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? ด้วยวัตถุประสงค์อะไร ? ตอนนี้เราทำไปถึงไหนแล้ว ? เหลือเนื้องานอีกมากน้อยแค่ไหน ? จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้

ในเมื่องานทั่ว ๆ ไป เรายังมีการสรุปทบทวนประเมินผล แล้วทำไมการที่เราจะสรุปทบทวนและประเมินตัวเอง เราจึงไม่ได้ทำกันบ้าง ? งานแต่ละวันผ่านไป ยอมสละเวลาสัก ๕-๑๐ นาที มาคิดดูสิว่า งานวันนี้ถ้าเราประเมินตัวเองโดยไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว เราทำได้ดีพอแล้วหรือยัง ?

อาตมาเองไต่เต้าจากตำแหน่งพนักงานธรรมดาของบริษัทไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม (Thai - Japan Metal Industry Co. Ltd.) ใช้เวลา ๗ เดือนก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนก ขณะเดียวกันตอนที่รับราชการทหารอยู่ก็ฟันสองขั้นทุกปี จนกระทั่งครบสามปี เจ้านายต้องกาง รศ. ให้ดูระเบียบว่า การได้สองขั้นต้องไม่เกินสามปีติดกัน แปลว่าต้องมีการเว้น ถ้าไม่เว้นก็ผิดระเบียบ

นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกพวกเราว่า จริง ๆ แล้วพวกเราก็ทำอย่างที่อาตมาทำได้ เพียงแต่ว่าเราทุ่มเทความพยายามเพียงพอหรือยัง ? เรามีจิตสำนึกที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเท่าไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-04-2011 เมื่อ 15:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 06-04-2011, 14:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

และขณะเดียวกัน เราเองเมื่อทำงานไปแล้ว มีการประเมินทบทวนตัวเองบ้างหรือไม่ ? อย่าลืมว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกหมวด เหมาะในทุกกาลสมัย ท่านบอกว่าเป็นอกาลิโก ไม่โดนจำกัดด้วยเวลา ใครทำก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าทรงให้พวกเราสรุปทบทวนตัวเองอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเราตอนนี้ เรายังเดินไปตรงตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ ? ตอนนี้เดินไปถึงไหน ? เหลือระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? เราจะได้รู้ว่า เราต้องทุ่มเทพากเพียรให้มากกว่าเดิม หรือว่าระยะที่เหลือนี้สามารถที่จะลดหย่อนผ่อนปรนได้

ขณะเดียวกัน การทำงานก็ต้องรู้กาลเทศะ สัปปุริสธรรมท่านเรียกว่า กาลัญญุตา คือ การรู้กาล รู้วาระ กาละ ก็คือเวลา เทศะ คือสถานที่ ส่วนไหนที่จะเหมาะสมกับเรา ถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะดำรงตนเองอยู่ได้ท่ามกลางสังคมที่มีการแข่งขันสูงมากในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเองก็สักแต่เป็นขยะชิ้นหนึ่งที่ลอยไปตามกระแสเท่านั้น

ถ้าหากเขาเห็นประโยชน์หยิบฉวยขึ้นไปใช้ก็ดี ถ้าเขาไม่เห็นประโยชน์ เขี่ยทิ้งก็ลอยตามกระแสต่อไป ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อยากมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากจะเรียนให้สำเร็จ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า แค่มีอิทธิบาท ๔ ก็พอแล้ว

อิทธิบาท ๔ มี ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำงานนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เต็มใจทำ ไม่ใช่ซังกะตายทำ วิริยะ ทุ่มเทความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ มีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของ ทำงานให้ได้เนื้องาน ไม่ใช่ทำงานให้ได้วันหนึ่ง การทำงานให้ได้วันเป็นนิสัยของกรรมกร ไม่ใช่นิสัยของผู้ที่จะมานั่งทำงานในบริษัท

จิตตะ คือ กำลังใจจดจ่อปักมั่นอยู่กับงาน พูดง่าย ๆ ว่า กัดไม่ปล่อย งานไม่เสร็จกูไม่เลิก และท้ายสุด วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าผลงานนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 06-04-2011, 15:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักธรรมที่เหมาะสมแก่บุคคลที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในสภาพของนักบวชหรือฆราวาส ทั้ง ๆ ที่เนิ่นนานสองพันกว่าปีแล้ว เราเองได้นำมาใช้กันบ้างหรือไม่ ? และขณะเดียวกันพระองค์ท่านตรัสไว้ว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความสามัคคีย่อมยังหมู่คณะให้เกิดสุข พูดง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นทีมงานเดียวกัน ก็ต้องรักใคร่สามัคคีกัน

ตอนที่อาตมาเรียนปริญญาตรี รุ่นที่เรียนอยู่ด้วยกันนั้น พูดง่าย ๆ ว่า เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นเป็นตุ๊กแก แกะไม่ออกมาจนทุกวันนี้ เพราะว่าตอนที่เรียนอยู่ เรามีการแบ่งปันความรู้กัน ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถมากกว่า ก็จะสรุปเนื้อหาการเรียนให้เพื่อน เมื่อเพื่อนเอาเนื้อหาไปท่องจำ ก็จะได้ความรู้เท่ากันกับเรา

จะมีเพื่อนที่คอยทำหน้าที่เก็บข้อมูลและสรุปเนื้อหาอยู่ประมาณ ๔-๕ รายในรุ่น ดังนั้น..ถ้าข้อสอบออกมาก็จะมีคำตอบคล้าย ๆ กัน อยู่ ๔-๕ คำตอบ เพราะว่าทุกคนเอื้อเฟื้อต่อกัน รักใคร่สามัคคีกัน เห็นว่าเป็นรุ่นเดียวกัน ต้องช่วยกันฉุด ช่วยกันดัน ช่วยกันผลักขึ้นไป เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จพร้อม ๆ กัน

เราลองมานึกดูว่า ถ้าเราก้าวไปยืนโด่เด่อยู่บนยอดเขาคนเดียว แรก ๆ อาจจะปลื้มว่ากูประสบความสำเร็จ แต่พอนาน ๆ ไป มองรอบข้างหาใครไม่ได้สักคน แล้วเราจะรู้ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนั้นเป็นอย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 06-04-2011, 16:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอยกตัวอย่างหัวหน้าประเดิมชัย แสงคู่วงษ์ ตอนนั้นท่านเป็นหัวหน้าศูนย์จัดการต้นน้ำที่ ๑๖ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลต้นน้ำแม่กลองทุกสาย หัวหน้าประเดิมชัยผลักดันลูกน้องตัวเองให้ได้ซี ๗ ก่อนตัวเองสองคน ทั้งที่ตัวหัวหน้าเองติดอยู่แค่ซี ๖ มาตั้งหลายปีแล้ว

อาตมาก็ถามว่าทำไมหัวหน้าไม่เอาเสียเอง ? ท่านบอกว่า ถ้าตามสายงานของท่านต้องเป็นซี ๗ วิชาการ เพราะฉะนั้น..จึงสละตรงนี้ให้ลูกน้องไปก่อน เขาได้เพราะเรา ถึงเวลาเขาก็จะคิดถึงเรา พวกเราเคยเสียสละให้เพื่อนอย่างนี้บ้างไหม ?

อาตมาเองได้ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งต้องใช้การสอบช่วงชิงกัน ๑๕ กองพันเขามีเพียงตำแหน่งเดียว คิดดูว่าเป็นจำนวนเท่าไรต่อหนึ่ง ? กำลังพล ๔,๕๐๐ กว่าคน มีตำแหน่งเดียวและอาตมาสอบได้ แต่ว่าคนสอบได้ที่สอง เขามาคร่ำครวญว่า เขาอยากได้เหลือเกิน อาตมาก็สละสิทธิ์ให้เขาไปแบบหน้าตาเฉย เพราะรู้ว่าครั้งต่อไปถ้าเราสอบเราก็ได้อีก แต่ถ้าเพื่อนพลาดครั้งนี้แล้ว เขาจะไม่ได้อีกเลยเพราะหมดกำลังใจ เราเคยคิดเสียสละให้เพื่อนฝูงอย่างนี้บ้างไหม ?

อะไรก็ตามถ้าเราช่วงชิงไขว่คว้ามาใส่ตัว จะไม่มีวันเต็ม ไม่มีวันพอ แต่ถ้าเรารู้จักเสียสละให้คนอื่นได้ เราจะกลายเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก คนที่มีเพื่อนฝูงมาก จะไม่มีวันอับจน ลองคิดดูว่า ถ้าคนอื่นเขาเคยเสียสละเพื่อเรามาก่อน ถึงเวลาเขาบากหน้ามาขอความช่วยเหลือเราบ้าง เราจะปฏิเสธเขาได้ลงหรือ ?

ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ก็คือ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีอยู่มากต่อมากด้วยกัน ขณะเดียวกันหลักการปฏิบัติตนในชีวิตฆราวาสของเราก็มี เพียงแต่ว่าเรานำมาประยุกต์ใช้ได้แค่ไหน ? ไม่ใช่เจอสถานการณ์จริงก็เดินทื่อเป็นเถรตรงไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะเหมือนกับที่เขาว่า เดินไปชนต้นไม้ หัวแตกเสียเปล่า ๆ เพราะไม่รู้จักหลบหลีก เอาแต่ตรงไปตรงมาอย่างเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 06-04-2011, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขณะเดียวกัน เราลองพิจารณาดูว่า เราพลาดโอกาสที่ดีไปมากต่อมากด้วยกัน ก็เพราะตัวกูของกูที่ลงให้คนอื่นไม่เป็นหรือเปล่า ? เรื่องบางเรื่องถ้าไม่พูดก็ไม่ขาด แต่ถ้าออกพูดไปจะเกินมาก โดยเฉพาะถ้าเข้าหูผู้ที่มีอำนาจเหนือตน จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนได้มากกว่าที่เราคิด

โบราณท่านถึงได้บอกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง มาตราโบราณเขาว่า

๔ ไพ เป็น ๑ เฟื้อง
๒ เฟื้อง เป็น ๑ สลึง
๔ สลึง เป็น ๑ บาท
๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง
๒๐ ตำลึง เป็น ๑ ชั่ง
๕๐ ชั่ง เป็น ๑ หาบ


พูดไปได้แค่ ๒ ไพ แต่ถ้าเรานิ่งเสีย มีคุณค่าเท่ากับทองคำหนึ่งตำลึง ก็คือมีค่าเป็นทองคำหนักตั้ง ๔ บาท แล้วก็เป็นบาทโบราณด้วย ถ้าเป็นสมัยนี้น่าจะเป็นทองคำ ๔๐ บาทมากกว่า

ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ในมังคลสูตรว่า สิปปัญจะ เอตัมมัง คะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นสุดยอดอุดมมงคล

ศิลปะในที่นี้ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ศิลปะในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ทำอย่างไรที่จะเข้ากับคนอื่นให้ได้ดีที่สุด ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แม้จะเป็นของเก่าของโบราณ แต่ก็ไม่เคยล้าสมัย ทว่า..สำหรับบุคคลที่ปรับใช้ไม่เป็นแล้ว ก็จะล้าสมัย ไม่เห็นประโยชน์

ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ ขอให้พวกเราจำขึ้นใจเลยว่า ถ้าในสายตาของพระ ประเมินงานของเราแล้วยังตก ในสายตาของเจ้านายที่ประเมินเราแล้ว ก็ไม่น่าจะได้ ต้องตกเหมือนกัน ยับเยินพอ ๆ กัน

พวกเราลองนึกดูซิว่า ในการประชุมงานแต่ละครั้ง หลังจากที่ผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว มีการงัดข้อกันหน้าดำหน้าแดง ไม่มีใครลงให้ใคร สุดท้ายสรุปงานลงไม่ได้ มีบ้างไหม ? แล้วเราเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่านี่เป็นความผิดของเราหรือเปล่า ? ไม่ใช่มองไปว่าคนอื่นผิด

ถ้าเราสรุปได้อย่างไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว ว่าเราไม่ผิด ก็แปลว่า เราสรุปผิด เพราะเราผิดตั้งแต่เสือกทะลึ่งมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้แล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 06-04-2011, 21:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ในมุมมองส่วนตัวของเราเองอาจจะแคบเกินไป ต้องให้คนอื่นเขามองบ้าง ฝรั่งเขาว่า Thinking outside the box มองนอกกรอบ ออกไปยืนข้างนอกแล้วลองมองเข้ามาว่า ถ้าเป็นสายตาคนอื่นแล้วเขาจะมองเราอย่างไร ? เขามองด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส หรือเขามองเราด้วยความเวทนาสงสาร ? ถ้าเราคิดโดยไม่เข้าข้างตัวเอง จะต้องมีสักวันที่เรารู้สึกว่าตัวเราน่าเวทนาเหลือเกิน

ความชำนาญของเราเพียงด้านเดียวอาจจะไม่เพียงพอ แต่โบราณเขาบอกไว้ว่า อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล นั่นแปลว่า เราต้องเชี่ยวชาญจนสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ ตามโอกาส ตามเวลาได้ ไม่ใช่ประเภทเก่งเฉย ๆ

ผู้รู้ท่านบอกว่า เก่ง คือ รู้เท่าที่อาจารย์สอน ถ้ายอด..ต้องพลิกแพลงคำสอนของอาจารย์ไปใช้งานได้ แต่ถ้าจะให้เยี่ยมจริง ๆ..คุณต้องบัญญัติใหม่ เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้างว่า ในบางสิ่งบางอย่างที่เราทำนั้น ทำไมบางเวลาคำตอบที่ได้จึงไม่ตรงกับที่เราคิด ?

เราต้องรู้ว่าถ้าหากว่า Input ผิด คำตอบทุกคำตอบก็จะผิดไปด้วย ความจริง Input ไม่ได้ผิด แต่อาจจะสลับข้างเฉย ๆ จากหนึ่งสอง กลายเป็นสองหนึ่ง ก็ตัวเลขเดียวกัน แต่ทำไมจำนวนถึงได้ต่างกันขนาดนี้ ?

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องดูว่า คำถามบางคำถาม เราอาจจะถามในสิ่งที่เราอยากรู้ แต่ขณะเดียวกันนั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากบอกกับเราหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราถามในสิ่งที่เราอยากรู้ เราจะได้คำตอบหนึ่ง แต่ถ้าถามในสิ่งที่เขาอยากบอกอยากเล่า เราจะได้อีกคำตอบหนึ่ง แล้วผลจะต่างกันมหาศาล จึงได้บอกว่าถ้า Input ผิด Output ก็จะแย่ไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2012 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 07-04-2011, 08:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตกลงวันนี้ธรรมะมีภาษาประหลาดขึ้นมาเยอะแยะ ต้องขออภัยด้วย..เพราะว่าพอเห็นแล้วอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงตัวเองว่าทำไมกูเก่ง..!!? ก็เพราะรู้จักปรับเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ ขณะเดียวกันบางคนก็ตรงเป็นไม้บรรทัดจริง ๆ ยึดหลักวิธีการเดียวเหนียวแน่น ผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ ไม่กล้าก้าวล้ำกรอบออกไป

อาตมาเป็นเด็กนักเรียนที่เกเร สู้ครูด้วย ถึงขนาดบอกว่า "ถ้าเป็นเรื่องในตำรา ครูจะออกตรงไหนมาก็ได้ ถ้าผมทำแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม ตีผมกี่ทีผมก็ยอม แต่ถ้าผมทำแล้วได้คะแนนเต็ม ครูต้องให้รางวัลผมด้วย" มีบ้างไหมเด็กที่สู้ครูขนาดนี้ ?

ครูท่านจึงออกข้อสอบมา ๒๐ ข้อ อาตมาทำเสร็จได้ ๒๐ คะแนน แต่ไม่มีรางวัล ก็ไปถามว่าทำไมไม่มีรางวัล ? ครูท่านบอกว่า "ลายมือเธอไม่ดีพอ ครูตัดไปครึ่งคะแนน แต่ครูเมตตาก็เลยปัดเต็ม ๒๐ เธอได้เต็มเพราะครู เธอก็เลยไม่ได้รางวัล" เป็นอย่างไร ? ถ้าท่านไม่แน่จริง ท่านก็ไม่มาเป็นครูของอาตมาเหมือนกัน

นี่คือสิ่งที่อยากบอกพวกเราว่า เราสามารถแหกคอกได้ ถ้ามีความสามารถจริง แต่อย่าไปให้ไกลคอกนัก พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเขาขีดเส้นวงกลมไว้ หัวแม่เท้าซ้ายเราอาจจะแตะที่วงกลม แต่เท้าขวาก้าวออกนอกวงกลมไปแล้วสักสองเมตร ให้ยึดเกาะเส้นเอาไว้ แนวกรอบจะเป็นแนวให้เราเดิน

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องฆราวาส ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระ แต่ไป ๆ มา ๆ เป็นเรื่องที่พระต้องมานั่งบอกโยม เพราะโยมปรับเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้ไม่เป็น

ให้ทุกคนกลับไปแล้วทบทวนประเมินตัวเอง สรุปออกมาให้ได้ว่า ในเรื่องของงานที่เราทำนั้น เราเองถือเอาส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือเอาส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ? เราเอาความรักใคร่สามัคคี ความก้าวหน้าของหมู่คณะเป็นใหญ่ หรือไขว่คว้าเพื่อความเจริญของตัวเองเป็นใหญ่ ? ขณะเดียวกันในเรื่องของการงานนั้น เราสักแต่ว่าทำตามคำสั่งอย่างเดียว โดยที่ไม่มีการพลิกแพลง หรือรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้งานนั้นเสร็จง่ายลง ?

เรื่องพวกนี้คงไม่ยากเกินกำลัง ที่พวกเราจะไปทบทวนแล้วแก้ไข เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2012 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 07-04-2011, 08:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาชอบตีหมาตอนทำผิด ถ้าไม่ตีตอนนั้นแล้วหมาจะไม่จำ ต้องผัวะลงไปให้ร้องเอ๋งแล้วจะจำเลย แต่ถ้าเราเงื้อไม้แล้วปล่อยให้หมาวิ่งไปสักก้าวสองก้าว แล้วเราค่อยไปตี หมาจะไม่รู้แล้วว่าเราตีเพราะอะไร กลายเป็นเราไปรังแกหมา..!

ถ้ามีโอกาสขึ้นไปเป็นครูบาอาจารย์ หรือไปเป็นเจ้านายเขา อย่าปล่อยให้ความผิดต่าง ๆ ยืดเยื้อ เพราะจะทำให้ห้องเรียนหรือหน่วยงานเขาเสียหาย ถ้าผิดก็ต้องจี้ให้แก้ไขเดี๋ยวนั้นเลย เราอาจจะเป็นเจ้านายหรือเป็นครูบาอาจารย์ที่จู้จี้ขี้บ่น แต่ท้ายสุดพอลูกน้องแก้ไขหรือทำตาม นาน ๆ ไป เขาก็จะได้แบบอย่างที่ดีไปใช้ในโอกาสข้างหน้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 07-04-2011, 08:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เทคนิคคำสอนของพระพุทธองค์ทรงสอนเป็นกลาง ไม่น่าจะแบ่งว่าพระหรือฆราวาส ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือ ใครนำไปใช้ก็ได้ประโยชน์ เพราะธรรมะของท่านเป็นสากล ไม่โดนจำกัดด้วยขอบเขตใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธไปปฏิบัติแล้วได้ ขณะเดียวกันศาสนาคริสต์ปฏิบัติแล้วไม่ได้..ไม่ใช่

ทุกศาสนาถ้าตั้งใจปฏิบัติได้หมด หลักธรรมเป็นหลักสากล พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วใน
ธรรมนิยาม พระองค์ท่านบอกว่า อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ดี อนุปปาทา วา ตถาคตานัง ตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ดี

ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นเป็นปกติอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็คือมีอยู่แล้วเป็นปกติ ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของธรรมเหล่านั้น คือ สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ มีสภาพเหมือนกันหมด เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายมีสภาพที่ต้องทนต่อการเสื่อมสลายเป็นปกติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ สังขารทั้งหลายไม่สามารถยึดถือมั่นหมายได้ เพราะไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คงทน จนกระทั่งสามารถยืนหยัดคู่ฟ้าดินอยู่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 07-04-2011, 08:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ถ้าเพื่อนร่วมงานเรา เรายอมอ่อนน้อมมาก แต่เขา...
ตอบ : อย่างที่บอกว่า หัวแม่เท้าข้างหนึ่งให้แตะขอบเส้นไว้ ยึดหลักการไว้ ในเมื่อยึดหลักการไว้ หากเขาเองมาผิดหลักการ เราก็จัดการได้เลย

แหกคอกได้ แหกไปเลย แต่หัวแม่เท้าแตะขอบเส้นไว้หน่อย เพราะถ้าเราหลุดกรอบไป คนอื่นเขาจะเล่นงานเราได้ แต่ถ้ายังอยู่ในกรอบอยู่ เขาเล่นงานเราไม่ได้หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 07-04-2011, 08:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนตรงทำไมอยู่บนโลกลำบาก ? เจอคนเลวก็มาก
ตอบ : บอกแล้วว่า ตรงจนเลี้ยวไม่เป็นก็อยู่ลำบาก ถ้าคุณเลี้ยวเป็นโดยยึดหลักการอยู่ ไม่ลำบากหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 07-04-2011, 08:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เจอกฎของกรรมหนุนให้ทุกข์ พระท่านก็เมตตาสงเคราะห์ให้คล่องตัว แต่ไม่ยักจะรวย
ตอบ : คล่องตัวนี่ยังไม่พอใช่ไหม ? อยากจะรวยก็ทำ แล้วไม่ต้องกินไม่ต้องใช้ รวยแน่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2011 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 07-04-2011, 08:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ อาตมาจะไม่บอกว่ามีตำหนิตรงไหน แต่ให้รู้ว่ามีตำหนิอยู่สองแห่งที่ไม่มีใครปลอมได้ ตำหนิแรกเป็นเลเซอร์ ตำหนิที่สอง คนแต่งพยายามทำไว้เพื่อป้องกันปลอม เนื้อทองคำรุ่นนี้มี ๘๔ องค์ เท่ากับอายุในหลวง เพราะฉะนั้น..จำเป็นที่จะต้องป้องกันการปลอมไว้นิดหนึ่ง

เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์สามารถถอดแบบได้ ถ้าถอดแบบได้ ก็จะรู้ว่าตรงนี้เป็นตำหนิของเรา ลักษณะเดียวกันแบบนั้นถอดเลเซอร์ไม่ได้ อาตมาเองไม่กล้าที่จะสร้างพระเนื้อทองคำในระยะนี้ เพราะปกติของเราก็ไม่ได้เป็นไปตามราคาในท้องตลาดอยู่แล้ว

การสร้างพระเนื้อทองคำนั้น พอเป็นองค์พระขึ้นมา ก็ต้องชั่งน้ำหนักเท่าไร แล้วเทียบราคาทองในปัจจุบันคูณด้วยสาม ถึงจะเป็นราคาของวัตถุมงคลเนื้อทองคำ พูดง่าย ๆ ว่าพระเนื้อทองคำจะมีราคาเป็นสามเท่าของทองคำปกติ นี่เป็นอัตราสากล ทั่วประเทศเขาทำกันอย่างนี้

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็โดนเขาด่าเป็นปกติ เพราะวัตถุมงคลหลวงพ่อชิ้นละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ราคาสูงสุด ๓๐ บาท คนเขาก็โวยวาย เขาบอกว่า ในท้องตลาดราคา ๖๐- ๘๐ บาท ของหลวงพ่อราคาแค่ ๒๐ บาท

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าขาย ๒๐ ข้าก็ได้ ๒๐ เพราะลูกศิษย์ทำให้ฟรี แล้วจะไปเอาอะไรเยอะแยะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2011 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 07-04-2011, 08:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมามีประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กแล้วว่า จับวัตถุมงคลที่ผ่านการพุทธาภิเษกเมื่อไร จะมีพลังวิ่งจี๋ขึ้นถึงหัวเลย จะปวดขมับทั้งสองข้างขึ้นมาทันตา เลยเล่าให้น้องเล็ก (คุณจิราพร ซื่อตรงต่อการ)ฟัง น้องเล็กบอกว่าเขาไม่เป็น

แต่พอตรวจสอบพระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ น้องเล็กมึนจนกระทั่งยืนไม่ติด อาตมาจึงบอกว่า "รู้แล้วใช่ไหมว่า อาการของการจับวัตถุมงคลที่เข้าพิธีแล้วเป็นอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ไม่รู้ว่าจะแรงอย่างนี้"

ส่วนที่แรงนั้นด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรก เพราะว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้เข้าพิธีพุทธาภิเษกมาแล้ว ยังมีหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง ร่วมกันปลุกเสก

สาเหตุที่สอง วัตถุมงคลเป็นเนื้อทองคำ ซึ่งรับพลังได้มากที่สุด เรื่องนี้อาตมาเองไม่ทราบหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก

วัตถุมงคลรุ่นนี้อย่าคิดว่าหล่อขึ้นเฉย ๆ ยังไม่ได้เข้าพิธีนะ เข้าพิธีตั้งแต่ยังเป็นแท่งทองอยู่เลย ญาติโยมทั้งหลายไม่มีก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะว่าพระที่แจกในวันนี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีอะไรต่างกันเลย เราเอาไปเลี่ยมใส่กรอบทอง เขาก็คิดว่าเป็นทองคำเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2012 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 09-04-2011, 10:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พูดถึงทองคำก็นึกถึงพี่ประสิทธิ์ พี่ประสิทธิ์เป็นพี่ชายที่สนิทกันมาก พี่เขาเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งที่ทำให้อาตมาเข้าวัด เพราะพี่ประสิทธิ์สนใจการปฏิบัติมาตั้งแต่แรก ตอนนั้นอาตมาซื้อทองคำมา ๒ แท่ง แท่งละ ๑๐ บาท กลับบ้านไปก็โยนโครมลงบนเตียง แล้วก็ไปทำงานต่อ

พี่ประสิทธิ์มาเห็นเข้า ก็หยิบดู "ไอ้ห่..ของแบบนี้ยังเอามาทำของเล่น" แล้วเขาก็โยนไว้ที่เดิม คิดว่าเป็นของปลอม อาตมาเองก็ไม่บอกหรอกว่าของจริง ถ้าบอกเดี๋ยวหาย..!

อยากจะถามโยมว่า เคยจับทองคำน้ำหนักมากที่สุดเท่าไร ? ถ้าเป็นทองแท่งหรือทองรูปพรรณ เท่าที่อาตมาเคยจับก็คือ ชิ้นละ ๑ กิโลกรัม แต่ถ้าทองธรรมชาตินี่บอกไม่ถูก เพราะเคยตักขึ้นมาเป็นจอบ ๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไร อาตมาก็เพิ่งรู้ว่าทองธรรมชาติจะละเอียดเหมือนกับทราย ตอนนี้มีคนเขาวางแผนกันจะไปเอาทองคำ อาตมาก็วางแผนสะสมพระพุทธรูปและผ้าไตร พอถึงเวลาอาตมาเป็นเจ้าภาพงานศพ จะได้ถวายพระพุทธรูปและผ้าไตรให้พระที่มาสวดพระอภิธรรม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2011 เมื่อ 19:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 09-04-2011, 10:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดาพระเณรตลอดจนญาติโยมที่วัดท่าขนุน เขาบอกว่าขอตายก่อนหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อทำบุญให้แต่ละรายน่าชื่นใจเหลือเกิน งานล่าสุดที่ผ่านมา ก็คือ คุณยายจันทร์ บัวผัด อาตมาทำบุญให้คุณยายจันทร์ ๖ วัน วันที่ ๗ เลี้ยงเพลและก็เผาเลย ดังนั้น ๖ วันที่ผ่านมา ถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ขนาด ๙ นิ้ว วันละ ๔ องค์ ถวายผ้าไตรวันละ ๔ ไตร และถวายปัจจัยให้พระสวดอย่างต่ำรูปละ ๕๐๐ บาท ถ้ามีมากกว่านั้นก็จะใส่เกิน ๕๐๐ บาท ถือว่ามีเงินไม่รู้จะทำอะไร แบ่ง ๆ ให้พระเณรใช้บ้าง..!

ดังนั้น..เมื่อเขามาถามทางไปภูเขาทอง อาตมาบอกทางเสร็จก็เริ่มเก็บพระพุทธรูปและผ้าไตรเลย คาดว่าได้ใช้แน่ อะไรก็ตามที่วาระยังไม่ถึง ยังไม่เหมาะไม่ควร ถือว่าเราเตือนคุณแล้ว โดยเฉพาะถ้ามีพระไปด้วย พระมักจะโดนก่อน ไม่รู้เป็นอะไร เขามักเห็นพระเป็นหัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่ต้นความคิดก็ไม่ใช่เรา

ลองถามทิดตู่ดูสิ พรรคพวกชวนไปเอาพระธาตุพระสีวลี จนตัวเองแย่อยู่คนเดียว เขาเหมาว่าคนนี้หัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่คนอื่นชวนไปแท้ ๆ ทิดตู่ไปแล้วตกเขา ยังดีดวงไม่ถึงฆาต ไวเป็นลิงเลย แทนที่จะพลาดเอาหัวลงพื้น เท้าก็ไปเกี่ยวกับเถาวัลย์เข้า แต่ก็ถูกเถาวัลย์บาดขา เพราะเวลาน้ำหนักกระชากลงมา ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์หรือเชือกก็บาดได้ กลับมาแดงเถือกไปทั้งแถบ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2011 เมื่อ 13:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 09-04-2011, 11:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สถานที่นี้ (บ้านวิริยบารมี) เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมมาก เพราะเจ้าที่เป็นอากาศเทวดา ปกติอากาศเทวดาที่เป็นเจ้าที่นั้นหายากมาก ได้ภุมมเทวดาบารมีสูง ๆ ก็ยากแล้ว ถ้าไม่ใช่สถานที่สำคัญจริง ๆ ก็มักจะมีภุมมเทวดาดูแลอยู่

แต่สถานที่นี้ได้เปรียบ เพราะเจ้าที่ท่านดูแลวัดอยู่ โดยเฉพาะวัดในบริเวณนี้มี ๗-๘ วัดใกล้ ๆ กัน ท่านก็เหมารวมบ้านหลังนี้ไปด้วย ท่านบอกอาตมาตั้งแต่ตอนบวงสรวงครั้งแรกว่า ไม่ต้องตั้งศาลให้ท่านก็ได้ นึกถึงท่านก็พอ อาตมารู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยขอตั้งศาลหน่อย ศาลข้างหลังที่เห็นไม่ใช่อาตมาตั้งนะ คนงานเขาตั้งกันเอง แสดงว่าโดนจนเข็ด..!

เดี๋ยวอาตมาจะไปรื้อทิ้ง เพราะศาลที่อาตมาตั้ง คือที่ใครเห็นก็คิดว่าเป็นหิ้งพระติดข้างตึก

ถาม: หิ้งพระวิสุทธิเทพ ?
ตอบ : นี่แหละศาลเจ้าที่ของอาตมา บอกกับท่านว่า ถ้าไหว้พระก็คือตั้งใจนึกถึงและแสดงความเคารพถึงท่านด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเราเป็นพระแล้วไปไหว้เทวดา ท่านก็คงไม่ยอมรับ

อาตมาเคยไปไหว้พ่อปู่ฤๅษีทุ่งใหญ่ พอจุดธูปเสร็จ ท่านบอกว่า "ปักธูปเฉย ๆ ก็พอ ไม่ต้องไหว้ผมนะครับ เพราะผมมีแค่ศีลแปดเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2011 เมื่อ 19:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 10-04-2011, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,054 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเช้าพูดไปว่า การสร้างวิหารทาน ถ้าเป็นสถานที่ที่ใช้ประจำ จะมีอานิสงส์มหาศาล เพราะว่าเขาใช้กี่ครั้ง บุญก็เป็นของเรา โดยเฉพาะเจ้าภาพที่สร้างโบสถ์ สังฆกรรมทุกอย่างในส่วนของสงฆ์เขาใช้โบสถ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะการบวชพระ คือการให้กำเนิดซึ่งพระสงฆ์ จะต้องอยู่ในเขตสีมาของโบสถ์เท่านั้นจึงจะทำได้

ไม่เหมือนกับกฐิน กฐินเป็นญัตติกรรม สามารถที่จะสวดนอกพื้นที่โบสถ์ได้ แต่ถ้าเป็นญัตติจตุตถกรรม ก็คือ สวดประกาศ ๑ ครั้ง สวดยืนยันอีก ๓ ครั้ง รวมเป็น ๔ ครั้ง จึงเรียกว่าเป็นจตุตถกรรม คือ ทำ ๔ ครั้ง ถ้าอย่างนั้นต้องทำในเขตสีมาเท่านั้น

แต่ทางพม่าไม่นิยมสร้างโบสถ์ราคาหลายล้าน พม่าสร้างโบสถ์ครึ่งวันก็เสร็จแล้ว ถึงเวลาก็ระดมกันไปตัดไม้ไผ่ มัดแล้วก็โยนตูมลงน้ำ ให้ห่างจากฝั่ง ๖ เมตร เห็นพม่าสร้างโบสถ์แล้วอยากน้ำตาเล็ด ยิ่งไปเห็นกะเหรี่ยงสร้างโบสถ์ก็พอ ๆ กัน กะเหรี่ยงใช้ไม้จริง (ไม้กระดาน) แต่ทำเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่กลางน้ำ บางครั้งโบสถ์ของเขาก็โยกไปโยกมา

ที่เขาสร้างถือว่าถูกต้องตามพระวินัย ท่านบอกว่า อุทกุกเขปสีมา ก็คือ สีมาที่ใช้น้ำเป็นเขต ต้องห่างจากฝั่งในช่วงระยะ ๗ อัพภันดร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2011 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:29



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว