กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-02-2015, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,162 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ในการปฏิบัติของพวกเรานั้น พูดง่าย ๆ ว่าต้องทำทุกวัน เหมือนกับที่เราต้องกินอาหารทุกวัน การที่ตัวเราต้องปฏิบัติธรรมทุกวัน ก็เพื่อเป็นการให้อาหารแก่ใจของเรา ส่วนใหญ่แล้วพวกเราให้แต่อาหารทางกาย อาหารทางใจไม่ค่อยได้ให้ สภาพจิตใจของเราจึงขุ่นมัว เศร้าหมอง จำเป็นจะต้องให้อาหารทางใจด้วยการปฏิบัติในสมาธิภาวนา ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา

เอาแค่หายใจเข้า ให้กำหนดความรู้สึกไหลตามเข้าไป ตั้งแต่ต้นจนสุดปลายของลม หายใจออกให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมาจนสุดกองลม ถ้าเผลอสติคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้สึกตัวก็ดึงความรู้สึกมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ กำหนดดู กำหนดรู้อย่างนี้ สมาธิก็จะค่อย ๆ ทรงตัวตั้งมั่น

อันดับแรกเลย ก็คือ สามารถหายใจเข้าและออกโดยรู้ตลอดกองลมได้ ลมหายใจของเราจะแรงหรือเบา จะยาวหรือสั้น ก็สามารถที่จะรู้อยู่ คำภาวนาอย่างไรก็รู้อยู่เช่นนั้น โดยที่สภาพจิตปราศจากนิวรณธรรมทั้ง ๕ คือห่างจาก กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย หรือสัมผัสระหว่างเพศ

เว้นจากพยาปาทะ คือความโกรธเกลียด อาฆาตแค้น มุ่งร้ายจองเวรต่อผู้อื่น อุทธัจจะกุกกุจจะ ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ตลอดจนกระทั่งชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ และวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่มั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ว่าการที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนี้ จะมีผลดีจริงหรือไม่ เป็นต้น

ถ้าอารมณ์ใจของเราทรงตัว นิวรณธรรมทั้ง ๕ นี้จะโดนขับไล่ให้ห่างออกไป สภาพจิตของเราจะมีความผ่องใส สามารถรู้ลมหายใจเข้าออกได้โดยอัตโนมัติ สิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2015 เมื่อ 15:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-02-2015, 17:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,162 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายทำมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้กำหนดสติคอยเฝ้าดูลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของเราเอาไว้ แล้วท่านทั้งหลายจงกำหนดจิต แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ ด้วยจิตที่หวังดีปรารถนาดีว่า อยากให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุขความเจริญ

ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาของเราไป จนกระทั่งกำลังใจของเราชุ่มเย็นด้วยอำนาจของเมตตาแล้ว ก็หันมาพิจารณาให้เห็นสภาพเป็นจริงว่า ร่างกายของเรามีสภาพความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นต้น และท้ายที่สุดสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้

สักแต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้กับโลกไป ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมมีความสุขเพียงชั่วคราว พลาดเมื่อไรก็ลงมาทุกข์อีกเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้รักษากำลังใจ พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาของเราไว้ ถ้าท่านใดชำนิชำนาญในการกำหนดภาพพระ ก็เอาจิตใจจดจ่ออยู่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรารักเราชอบ ว่านั่นเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราไว้อย่างนี้ จนกว่าจะเป็นที่พอใจของเรา เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็หันมาพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้สลับไปสลับมา ก็จะค่อย ๆ มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ต่อจากนี้ไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 06-10-2019 เมื่อ 00:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว