กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-11-2014, 19:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,699 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ จากการตอบคำถามช่วงก่อนกรรมฐาน จะเห็นได้ว่า หลายคนยังไม่เข้าใจในหลักการปฏิบัติ ว่าถ้าเราจะปฏิบัติธรรมนั้นต้องยึดหลักอะไรจึงจะถูกต้องอย่างแท้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้ทุกท่านยึดตามหลักอปัณณกปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คำว่า อปัณณกปฏิปทา ก็คือ หลักการปฏิบัติที่ไม่ผิด พระองค์ท่านกล่าวว่ามี ๓ ประการด้วยกัน ได้แก่

ข้อที่ ๑ อินทรียสังวร คือรู้จักสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ถ้าเราหยุดไว้ไม่ทันด้วยอาการสำรวมอย่างยิ่งแล้ว ก็มีแต่จะก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเรา

อย่างเช่นว่า ตาเห็นรูป เราก็จะปรุงแต่งไปว่าสวยหรือไม่สวย เราชอบใจหรือไม่ชอบใจ หูได้ยินเสียง ก็จะปรุงแต่งไปว่าเพราะหรือไม่เพราะ เราชอบใจหรือไม่ชอบใจ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ก็ลักษณะเดียวกัน

การปรุงแต่งนั้น เมื่อชอบก็จัดอยู่ในฝ่ายราคะ เมื่อไม่ชอบก็จัดอยู่ในฝ่ายโทสะ ทำให้เราขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังนั้น..การสำรวมอินทรีย์จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด ถ้าถามว่าต้องสำรวมขนาดไหน ? ถ้าสามารถสำรวมได้อย่างในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวถึงพระผู้เฒ่าซึ่งสำรวมอินทรีย์ ปฏิบัติอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายสิบปี ปรากฏว่าในถ้ำนั้นมีจิตรกรรมที่วาดเอาไว้งดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าท่านไม่เคยแม้แต่จะเหลือบตาขึ้นไปดู เมื่อผู้คนกล่าวถึงความงดงามของสถานที่ หลวงปู่ท่านนั้นก็ได้แต่รับรู้เฉย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2014 เมื่อ 00:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-11-2014, 18:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,699 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กิตติศัพท์ความสำรวมอินทรีย์ของท่านเลื่องลือไปไกล พระราชาจึงส่งทูตไปอาราธนาให้เข้าวัง หลวงพ่อท่านก็เดินทางไปตามที่พระราชาอาราธนา ถึงประตูวังทหารยามถามว่าท่านมาทำอะไร ? หลวงพ่อท่านนั้นก็กล่าวว่า “มาเฝ้าพระราชา มหาบพิตร” ทหารยามบอกว่า “อย่าใช้คำว่ามหาบพิตร เพราะเราเป็นแค่ทหารเฝ้าประตูเท่านั้น” หลวงพ่อท่านก็ว่า "ไม่อาจจะทราบได้ เพราะอาตมาไม่ได้มองว่าโยมเป็นใคร อาตมารู้อยู่อย่างเดียวว่าพระราชาเป็นผู้อาราธนามา ดังนั้น..ผู้ที่พูดคุยด้วยน่าจะเป็นพระราชา"

เมื่อเข้าไปถึงด้านใน มหาอำมาตย์ออกมาต้อนรับ ถามว่าหลวงพ่อมาธุระอะไร ? ท่านก็บอกว่า “มาเฝ้าพระราชา มหาบพิตร” มหาอำมาตย์ก็บอกว่า "อย่ากล่าวเช่นนั้น เพราะเราเป็นแค่มหาอำมาตย์ ไม่ใช่พระราชา ไม่ควรใช้คำว่ามหาบพิตร" หลวงพ่อท่านก็ยืนยันว่า ผู้ที่อาราธนาท่านมาคือพระราชา ดังนั้น..จึงใช้คำนี้

การสำรวมอินทรีย์ในลักษณะเยี่ยงนี้ จะทำให้อันตรายต่าง ๆ จากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้

ข้อที่ ๒ ต้องยึดหลักโภชเนมัตตัญญุตา คือรู้จักประมาณในการกินแต่พอสมควร ถ้าถามว่าประมาณในการกินแต่พอสมควรเป็นอย่างไร ? ให้ยึดตามหลักสายพระป่า ก็คือฉันมื้อเดียว ถ้ายึดตามหลักของอุบาสกอุบาสิกาคือกินแค่ ๒ มื้อ งดอาหารมื้อเย็น เพราะว่าร่างกายที่ว่างจากอาหารนั้น ภายในร่ายกายไม่ล้นไปด้วยสารอาหาร เลือดลมก็ปลอดโปร่ง เดินสะดวก เมื่อภาวนาจิตก็สงบได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดราคะ เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เรารู้จักประมาณในการกิน จึงต้องสังเกตดูความพอเหมาะพอดีของตน ซึ่งถ้าหากว่ายึดถือในหลักโภชเนมัตตัญญุตาแล้ว ๒ มื้อถือว่าพอเพียงที่สุด

ข้อที่ ๓ ชาคริยานุโยค การปฏิบัติหลักธรรมของผู้ตื่นอยู่ คือมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีสติสมบูรณ์ เราก็จะสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราได้ เมื่อมีสติสมบูรณ์ เราก็จะรู้จักประมาณในการกินของเราเอง ดังนั้น..การที่พวกเรามาภาวนาอยู่นี้ ก็เป็นหลักการสร้างสติอย่างหนึ่ง เนื่องจากว่าเราดูลมหายใจเข้าออก ที่เรียกว่าอานาปานุสติ คือการระลึกถึงลมหายใจเข้า ระลึกถึงลมหายใจออกให้เป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2014 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-11-2014, 13:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,699 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขณะเดียวกัน เมื่อกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ต้องรู้จักคลายออกมาพิจารณาตามหลักของไตรลักษณ์ หรืออริยสัจ ๔ หรือวิปัสสนาญาณ ๙ ตามที่ได้กล่าวไปเมื่อวานนี้ เพื่อที่สภาพจิตของเรา ซึ่งบ่มเพาะกำลังเอาไว้ จะได้ใช้กำลังไปในทางที่ถูก ถ้าเราไม่หางานให้จิตทำดังนี้ ถึงเวลาสภาพจิตก็จะฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะเป็นการฟุ้งซ่านที่น่ากลัวมาก เพราะว่านำเอากำลังในการภาวนาไปฟุ้งซ่าน ทำให้ฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นการเป็นงาน เราจะดึงกลับได้ยาก เนื่องจากโดนอกุศลกรรมชักนำ เอากำลังไปใช้งานเสียก่อน เป็นต้น

เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตของเราจะเริ่มดิ่งลงสู่อารมณ์สงบ กลายเป็นสมาธิทรงตัวอีกครั้งหนึ่ง เราก็ภาวนาของเราต่อ ให้ทำสลับไปสลับมาดังนี้ ถึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างที่พวกเราต้องการ

อันดับต่อไป..ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2014 เมื่อ 13:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว