กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-10-2014, 17:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗

ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ จะขอกล่าวถึงพื้นฐานของการปฏิบัติ ซึ่งการปฏิบัติภาวนาของพวกเรานั้น พื้นฐานสำคัญก็คือศีล ๕ ข้อ หรือว่ากรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ ตามที่เรายึดถือ ให้ทุกคนทบทวนสิกขาบทของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้ามีการบกพร่องอยู่ ก็ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลหรือกรรมบถของเรา ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิด และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดในศีลหรือกรรมบถนั้น ๆ

หลังจากนั้นให้กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุด หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาจนสุด การที่จะหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้นให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามความต้องการของร่างกายระยะนั้น อย่าไปบังคับลมหายใจ

ลำดับถัดไปก็คือ ให้ตัดความกังวลทุกอย่างออกไปจากใจเสีย ตอนนี้เราอยู่ปฏิบัติธรรมในสถานที่นี้ เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลอื่นหรือว่าเกิดขึ้นในสถานที่อื่น เราไม่สามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวแก้ไขได้อยู่แล้ว หรือถ้ามีเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเป็นการตัดกังวล ก็ให้ปิดเครื่องไปชั่วคราวในระหว่างที่ปฏิบัติ

ลำดับต่อไปก็ให้พิจารณาว่า กำลังใจของเราตอนนี้สะอาด ปราศจากนิวรณ์หรือไม่ ? นิวรณ์ทั้ง ๕ อย่างนั้นประกอบไปด้วยกามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสระหว่างเพศ พยาบาท คือความโกรธเกลียดอาฆาตแค้นผู้อื่น ถีนมิทธะ ประกอบไปด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ มีความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดรำคาญใจ จนปฏิบัติไม่ได้ และวิจิกิจฉา มีความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ว่าจะเกิดผลจริงหรือไม่

ถ้าหากว่ามีนิวรณ์ข้อใดข้อหนึ่งอยู่ ก็ให้เร่งขับไล่ออกจากใจของเราไป วิธีไล่นิวรณ์ที่ดีที่สุดก็คือ เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เมื่อความรู้สึกของเราทรงตัว นิวรณ์ต่าง ๆ ก็จะกินใจของเราไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2014 เมื่อ 19:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-10-2014, 11:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลำดับต่อไป ก็ให้ตั้งกำลังใจของเราว่า การปฏิบัติครั้งนี้ เราจะใช้ระยะเวลาเท่าไร ก็คืออาจจะกำหนดไว้ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมง การที่เราต้องตั้งกำลังใจเอาไว้ในลักษณะที่เป็นเวลาแน่นอน ก็เพื่อควบคุมตัวของเราเองว่า ถ้ายังไม่ถึงเวลาเราจะไม่เลิก ไม่อย่างนั้นเวลากระทบกระทั่งอะไรขึ้น เราก็จะพาลเลิกเอาง่าย ๆ

ขอให้ทุกคนทราบว่า ถ้าเราตั้งเวลาไว้แล้วไม่สามารถทำตามได้ ก็เป็นการที่เรามีข้อบกพร่องในสัจจบารมี ดังนั้น..เท่ากับเป็นการบังคับตนเองในด้านหนึ่ง ว่าต้องทำให้ครบตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ แต่อย่ากำหนดเวลานานจนเกินไป ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ ๕ นาที ก็นานมากแล้ว

ถ้าหากว่าเป็นผู้ปฏิบัติมานานแล้ว จะเป็นครึ่งชั่วโมง ๔๕ นาทีหรือ ๑ ชั่วโมงก็ตาม ถึงสามารถทำได้นาน แต่ก็อย่าฝืนให้นานจนเกินไป เพราะการปฏิบัติสมาธิภาวนาก็เหมือนกับการทำงาน ถ้าเราโหมทำงานมาก ๆ ในวันเดียว วันถัดไปก็อาจจะทำงานไม่ไหว เป็นต้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายล่วงพ้นจากกองทุกข์ ท่านที่มีความสุขก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การกำหนดแผ่เมตตานั้นเป็นการรักษากำลังใจของเราให้ชุ่มเย็น ไม่แห้งแล้ง ทำให้อยากจะปฏิบัติ ถ้าหากว่ารักษากำลังใจของเราได้อย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การที่เราปฏิบัติภาวนาก็จะสามารถทรงอารมณ์ได้เร็ว แต่ถ้าหากว่ากำลังใจไม่ทรงตัว ก็ให้ทุกคนดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออก มาที่คำภาวนาใหม่ แล้วตามดูตามรู้ลมหายใจต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-10-2014 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 29-10-2014, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,166 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทุกคนต้องจำให้แม่นว่า ลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสตินั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ถ้าขาดลมหายใจเข้าออก การปฏิบัติภาวนาของเราจะไม่มีผล โดยเฉพาะจะไม่มีกำลังในการตัดกิเลส เราจึงไม่สามารถที่จะทิ้งลมหายใจเข้าออกได้

เมื่อลมหายใจเข้าออกทรงตัว แผ่เมตตาจนเต็มที่แล้ว ก็ให้ทุกคนคลายกำลังใจออกมาพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ ว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ประกอบไปด้วยทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์จากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

และท้ายที่สุด ร่างกายนี้ก็ไม่สามารถที่จะรักษาเอาไว้ให้มั่นคงยั่งยืนได้ ต้องเสื่อมสลายตายพัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นตัวตนยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ก็เอาจิตเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ จนถึงแก่ชีวิตก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว

ลำดับต่อจากนั้น ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ก็กำหนดดู กำหนดรู้ ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาควบไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่า ขณะนี้เป็นเช่นนั้น ขอให้ทุกคนรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2014 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว