กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-10-2014, 14:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม อย่าเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ๆ การเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย สภาพจิตไม่เคยชิน จะทำให้อารมณ์ทรงตัวได้ยาก

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ วันนี้จะกล่าวถึงรากเหง้าของกิเลส ซึ่งประกอบไปด้วยโลภ โกรธ หลง ซึ่งรักหรือราคะนั้น ความจริงแล้วเป็นตัวเดียวกับความโลภ เพราะว่าเรารักใคร่ จึงอยากได้มา แต่คราวนี้ตัวรักหรือคำว่าราคะ เรามักจะเน้นเอาว่าเป็นความรู้สึกระหว่างเพศเท่านั้น

การปฏิบัติธรรมของเรานั้น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จะเป็นเครื่องทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องรู้เท่าทันว่าจะใช้อาวุธอย่างไรไปต่อสู้ เพื่อที่จะแก้ไขตนเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่กิเลสกำลังเข้ามาต่อตีกับเรา

ตัวราคะนั้น ท่านบอกว่าให้พิจารณาอสุภกรรมฐานหรือกายคตาสติ อสุภกรรมฐานนั้นในปัจจุบันเป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก หลายท่านอาจจะบอกว่าตามอินเตอร์เน็ตมีมากมาย อาตมาขอยืนยันว่าดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของจริง เนื่องเพราะว่าของจริงนั้น ทันทีที่เราก้าวเข้าไปในบริเวณนั้น แค่เราได้กลิ่นเท่านั้น เราก็จะรู้แล้วว่านี่คือศพที่แท้จริง

ในเมื่อไม่สามารถที่จะหาดูจากของจริงได้ ก็จำเป็นต้องไปพิจารณากายคตาสติ คือดูให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ว่า มีเพียงผิวหนังชั้นเดียวที่หลอกตาเราอยู่ พอลอกหนังออก ภายในก็เต็มไปด้วยเลือด ด้วยเนื้อ ด้วยเส้นเอ็น ด้วยตับไตไส้ปอด เครื่องจักรกลต่าง ๆ พยายามดูให้เห็นอย่างชัดเจน จิตใจของเราจะได้ไม่ใฝ่ไปทางกามราคะ

ในส่วนของความโลภนั้น ตัดได้ด้วยการให้ทาน ซึ่งพวกเราได้ทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว

ในส่วนของโทสะ ให้แก้ไขด้วยการรักษาศีล และเจริญพรหมวิหารสี่ บางคนไม่ถนัด ถนัดแต่การภาวนา ก็ให้จับกสิณ ๔ อย่างคือ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นนิมิตในการภาวนา ซึ่งจะช่วยในการระงับโทสะได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2014 เมื่อ 17:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-10-2014, 09:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนที่น่าหนักใจที่สุดก็คือความหลง เพราะส่วนใหญ่ก็คือหลงยึดในร่างกายของตนเองด้วยความวิปลาส (มีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง) คือร่างกายนี้ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ก็ไปยึดถือว่าต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ร่างกายนี้มีแต่ความสกปรกโสโครกน่าเกลียดเป็นปกติ ก็ไปเห็นว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นต้น

จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเรานั้น เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายตายพัง กลับกลายเป็นธาตุ ๔ คืนให้แก่โลกไป ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้เรายึดถือมั่นหมายได้

ถ้าหากว่ากิเลสใหญ่ทั้ง ๔ คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มายึดครองใจของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะนำพาตนเองให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ จึงจำเป็นที่ต้องรู้เท่าทัน และปฏิบัติในกองกรรมฐานที่เป็นคู่ศึกกับกิเลสใหญ่ทั้ง ๔ กอง ดังที่ได้กล่าวมานี้ โดยมีอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก เพราะว่าจะเป็นตัวสร้างเสริมกำลังใจของเราให้มั่นคง ให้มีกำลังในการที่จะหักห้ามใจตนเอง และในที่สุดก็จะมีกำลังในการตัดกิเลสต่าง ๆ ลงได้

ถ้าหากว่าท่านรู้แล้ว ก็ให้พยายามพากเพียรฝึกฝน อย่ารอจนถึงต้นเดือนแล้วค่อยมาเจริญกรรมฐาน อย่าทำแล้วทิ้งไปเฉย ๆ แต่ว่าให้พวกเราทุกคนพยายามที่จะปฏิบัติไว้ในทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อปฏิบัติแล้วให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราเอาไว้ อย่าให้สิ่งที่เราทำได้เลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าเราฝึกประคับประคองใจตนเองอยู่กับกองกรรมฐานได้ ยิ่งนานไปก็ยิ่งเกิดความชำนาญ ก็จะทำให้เราสามารถยืดระยะเวลา รักษากองกรรมฐานได้นานยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ตราบใดที่เรารักษากองกรรมฐานที่เราใช้ในการภาวนาพิจารณาอยู่ได้ ตราบนั้นกิเลสก็ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้ สภาพจิตของเราก็จะมีความผ่องใส ปัญญาก็จะเห็นชัดเจนว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี มีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นปกติ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าท่านเห็นจริงดังนี้ ก็จะเกิดอาการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตออกมาจากกองกิเลสทั้งปวง ก็สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 09:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว