กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-03-2015, 15:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๘

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดและสบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้ทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อครู่ที่ได้กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม ดูท่าแล้วไม่ค่อยจะดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้ากำลังใจของเราไม่ทรงตัว บางคนก็จะเครียด ห่วงกังวลทั้งตัวเอง ทั้งครอบครัว ทั้งหน้าที่การงานต่าง ๆ เพราะว่าในเมื่อสถานการณ์เอาแน่ไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะกำหนดให้เป็นไปได้ยาก

วิธีการที่เราจะไม่ไปใส่ใจ ก็คืออยู่กับการภาวนาของเรา ถ้าเราอยู่กับการภาวนา อยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สภาพจิตไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต เพราะว่าอดีตก็จะไปหวนหาอาลัยกับรัฐบาลเก่า ๆ ที่เราคิดว่าดีแล้ว ขณะเดียวกัน อนาคตก็ฟุ้งซ่านว่าจะมีรัฐบาลดี ๆ มาอีกเมื่อไร เป็นต้น

การหยุดใจไว้อยู่กับปัจจุบันจึงเป็นการสร้างสติที่ดีที่สุด ถ้าสติของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็อยู่ในกรอบของเหตุผลและศีลธรรม ไม่ทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ไม่ไหลไปตามกระแสโลกที่เร่าร้อนขึ้นทุกขณะ ถ้าเราหนักแน่น เยือกเย็น และมั่นคงพอ ก็อาจจะเป็นที่พึ่งแก่คน จะหมู่มากหมู่น้อยก็แล้วแต่การสั่งสมคุณความดีมา

ดังนั้น..ในการสร้างสติที่ดีที่สุดก็คืออานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทก็เริ่มแยกออกจากกัน เราอาจจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง บางทีก็หายไป คำภาวนาบางทีก็หายไป ยกเว้นท่านที่มีความรู้สึกละเอียดแล้ว แม้ดูภายนอกเหมือนไม่มีลมหายใจ แต่ท่านก็จะรู้ได้ว่ามีลมหายใจละเอียดอยู่ ซึ่งลมละเอียดเหล่านี้ บางทีไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ได้

เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ถ้าจับภาพพระอยู่ก็ให้กำหนดเฉพาะภาพพระของเรา ถ้าไม่ได้จับภาพพระแต่จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจหายไปก็ให้กำหนดสติรู้เท่าทันว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป อย่าไปดิ้นรนอยากจะหายใจใหม่ และอย่าไปดิ้นรนอยากจะไม่หายใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมดา โดยธรรมชาติ เรามีหน้าที่เอาสติเข้าไปกำหนดรู้ตามเท่านั้น

ถ้าใครสามารถทำดังนี้ได้ ความมั่นคงของสมาธิที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำให้สติทั้งว่องไว ทั้งแหลมคม สามารถที่จะคิด จะพูด จะทำอยู่แต่ในสิ่งที่ดี ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนาก็ตาม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2015 เมื่อ 16:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-03-2015, 15:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในส่วนของการกำหนดสติ คือ อานาปานุสติ คือ ลมหายใจเข้าออก จึงเป็นพื้นฐานใหญ่ เป็นแม่บทใหญ่ของการปฏิบัติกรรมฐานทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าปราศจากสติซึ่งเกิดจากสมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว กรรมฐานกองนั้นก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้ มีแต่จะเสื่อมสลายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

พวกเราทั้งหลายจึงควรที่จะรักษาลมหายใจเข้าออก เป็นอานาปานุสติ กำหนดภาพพระ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด หรือว่าเป็นวัตถุมงคลรูปพระก็ตาม ให้กำหนดภาพพระเอาไว้ให้ชัดเจน ให้มั่นคงอยู่ทุกวัน

หลังจากนั้นก็ชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าศีลเคยขาดก็ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมของเราไป ถ้าสมาธิทรงตัวจนไม่มีลมหายใจ ก็ให้กำหนดรู้ว่า สมาธิของเราทรงตัวจนกระทั่งไม่มีลมหายใจแล้ว เป็นต้น

เมื่อสมาธิทรงตัวเต็มที่แล้ว ถ้าไม่นำไปใช้งานอื่น ก็มักจะถอยออกมาแล้วฟุ้งซ่าน เราจึงต้องคลายอารมณ์สมาธิออกมา แล้วก็มาฝึกฝนปฏิบัติในการใช้วิปัสสนาญาณ คิดพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ของวัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น และท้ายสุดร่างกายนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เพราะว่าประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็พัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดมามีสภาพร่างกาย ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อกำหนดกำลังใจน้อมมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็ให้รักษาภาพพระหรือลมหายใจเข้าออกของเราไว้ ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกแล้ว ก็ให้นึกถึงภาพพระที่เรารัก เราเคารพ องค์ใดองค์หนึ่ง ตั้งใจว่านั่นเป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้ทุกคนรักษากำลังใจเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2015 เมื่อ 17:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว