กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-11-2014, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,125 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงความไม่ค่อยจะแปรผันของโลหะทองคำ จนกระทั่งมีคำพังเพยว่า ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา เพราะว่าจะเผาจะหลอมเท่าไรก็ยังเป็นเนื้อทองคำ ไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นโลหะอื่น

พวกเราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราปฏิบัติธรรม คนอื่นเห็น ส่วนใหญ่ก็ต้องคิดว่าเราดี พวกเราทุกคนต้องถามตัวเองว่า การปฏิบัติของเราเองนั้นดีจริงแล้วหรือไม่ ? คำว่าดีในที่นี้ก็คือดีด้วยศีล ดีด้วยสมาธิ ดีด้วยปัญญา

การดีด้วยศีลนั้น เรารักษาศีลอย่างจริงจังแค่ไหน ? เราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลหรือเปล่า ? หรือว่าเรายังรักษาศีลแบบขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน ไม่สามารถที่จะรักษาให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ทั้งวัน ?

โดยเฉพาะบางท่านตั้งใจรักษาศีล ๘ แต่ทำได้ไม่ตลอด ถึงเวลาก็ใช้คำว่าขอลาศีลชั่วคราว เพราะว่าศีล ๘ ไม่สามารถกินอาหารหลังเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ใช้การลาศีลชั่วคราวมากินอาหารประมาณ ๑๕-๒๐ นาที แล้วก็รักษาศีล ๘ ต่อไป ถ้าทำลักษณะนี้ให้ระวังว่าจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย และขณะเดียวกันก็เป็นสีลัพพตปรามาส หรือการรักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่จริงไม่จัง

ถ้าของเราดีแท้ จริงแท้ เป็นทองคำที่ทนต่อการพิสูจน์ของไฟ ก็หมายความว่าเราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกสิกขาบท ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรารักษาศีลเพื่ออะไร เรารักษาศีลด้วยความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะว่าศีลเป็นของดี ของวิเศษที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้เป็นสมบัติของเรา ศีลเป็นของดี ของวิเศษที่ครูบาอาจารย์มอบให้เราไว้รักษาตัวทั้งชาตินี้และชาติหน้า ศีลจะเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ เข้าใจต่อจุดหมายในการรักษาศีล อย่างนี้เราเรียกตนเองได้ว่าเป็นผู้มีความจริงแท้ในศีล สามารถพิสูจน์ได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2014 เมื่อ 10:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-11-2014, 11:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,125 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของสมาธิ เราจะเข้าถึงความจริงแท้ได้อย่างไร ? เราก็ต้องสามารถก้าวข้ามอุปจารสมาธิไปสู่อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิที่เราก้าวถึง อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานละเอียด จะได้มีกำลังในการตัดกิเลสตั้งแต่ระดับพระโสดาบัน ถ้าต้องการตัดกิเลสมากกว่านั้น ก็ต้องเข้าถึงกำลังของฌาน ๔

ก็แปลว่าถ้าจะมีความจริงแท้ในสมาธิ อย่างน้อยเราต้องทรงฌาน ๔ ให้ได้ และไม่ใช่ทรงฌานเฉย ๆ เราต้องมีความคล่องตัวในระดับจะเข้าฌานเมื่อไรก็ได้ จะออกจากฌานเมื่อไรก็ได้ สามารถเข้าฌานไปตามลำดับก็ได้ สามารถเข้าฌานสลับไปสลับมาก็ได้ สามารถที่จะเข้าฌานตามเวลาที่ตนเองต้องการก็ได้ ถ้าทำถึงระดับนี้จึงเรียกได้ว่า เรามีความจริงแท้ในสมาธิ

ทำสมาธิเพราะเราเห็นคุณประโยชน์ว่า สมาธิมีกำลังในการดับกิเลส คือ รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว ทำให้สภาพจิตของเราผ่องใส สมาธิช่วยหนุนเสริมปัญญา เป็นกำลังในการที่จะนำไปใช้ในการพินิจพิจารณา จนกระทั่งรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้

ถ้าเราสามารถเข้าสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ เข้าสมาธิทั้งตามลำดับ ทั้งสามารถขึ้นหน้าถอยหลัง ทั้งสามารถที่จะเข้าตามเวลาที่ต้องการได้ เข้าสมาธิเพราะรู้เห็นคุณประโยชน์ที่แท้จริงของสมาธิได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นผู้ที่ทนต่อการพิสูจน์ เข้าถึงความจริงแท้ของสมาธิได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2014 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-11-2014, 16:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,125 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของปัญญานั้น เราก็ต้องพินิจพิจารณาในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้แจ้งเห็นจริงและยอมรับตามนั้น ถ้าหากว่าพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์ ก็ให้ดูว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ขณะดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาจนหลับตาลงไป ท้ายสุดก็เห็นชัดว่าร่างกายนี้เป็นเพียงสมบัติของโลก ที่เรายืมมาใช้ชั่วคราว ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เพราะว่าเป็นส่วนประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราได้อาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมเท่านั้น ถึงเวลาก็เสื่อมสลายไปตายพังไป กลับไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม

หรือจะพิจารณาตามหลักของอริยสัจ ดูให้เห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นจากอะไร แล้วเราไม่ไปสร้างสาเหตุนั้น ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา หรือว่าจะดูตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ เริ่มตั้งแต่ดูความเกิดและดับ หรือว่าเห็นเฉพาะความดับ หรือว่าเห็นเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นเป็นความน่ากลัว เห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย เห็นเป็นของที่น่าไปเสียให้พ้น เหล่านี้เป็นต้น

ถ้าเราสามารถใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จนกระทั่งสภาพจิตเห็นชัดเจนว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะร่างกายนี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้เป็นปกติ สภาพจิตยอมรับ ก็จะหมดความอยากในการมีร่างกายนี้ หมดความอยากในการเกิดมาในโลกนี้ เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็กล่าวได้ว่า เราเข้าถึงความจริงแท้ของปัญญา สามารถทนต่อการพิสูจน์ได้

ดังนั้น...การเข้าถึงความจริงแท้ของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ทนต่อการพิสูจน์ เหมือนกับทองคำแท้ที่ทนต่อการเผาผลาญของไฟ เราก็ต้องเป็นผู้ที่ยอมรับกฎของกรรม เห็นความธรรมดาในทุกสิ่งทุกอย่าง มีจิตใจอ่อนโยน พร้อมที่จะให้อภัยคนอื่นอยู่เสมอ ถ้าท่านทำเช่นนี้ได้ โอกาสที่ท่านจะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานก็จะมีมาก

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2014 เมื่อ 17:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว