กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-11-2009, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ลำบากเข้าไว้ต่อไปจะสบาย

คนเราถ้าจะประสบความสำเร็จได้ต้องผ่านความลำบากมาก่อน ถ้าสบาย...จะสำเร็จยาก คนเราเวลาลำบากแล้วมันจะต้องรีดเอาสมรรถนะของตัวเองทุกส่วนที่มีอยู่ออกมาเพื่อต่อสู้กับความลำบากนั้น แล้วมันจะทำให้ตัวเองมีความก้าวหน้าได้

คนในยุคปัจจุบันมันสบายเกิน ในเมื่อสบายเกิน ความก้าวหน้ามันจะมีน้อย ร่างกายของเราต้องเจอการกดดัน ก็คือ การฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า จนกระทั่งกระดูกเส้นเอ็นมันเข้มแข็งขึ้น สมรรถนะร่างกายมันจึงจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงขึ้นได้ เรื่องของใจก็เหมือนกัน ถ้าหากเราอยู่ในสถานที่สบาย ๆ เลี่ยงความลำบากเอาความสบาย ถ้าหากไม่ได้สร้างบุญมาดีจริงประสบความสำเร็จยากมาก เพราะมันจะไม่รู้เลยว่าตัวเองมีสมรรถนะเท่าไหร่ โบราณเขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ แต่พวกเรามันสบายก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ ไปไม่รอด

พระพุทธเจ้าท่านกำหนดธุดงควัตร ๑๓ ประการเอาไว้ เพื่อเค้นเอาสมรรถนะของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ออกมา เราจะเลี่ยงไปฝึกอย่างอื่นก็ได้ ถ้าหากว่าจริตนิสัยชอบและทุ่มเท แต่ถ้าหากจริตนิสัยมันหยิบหย่งจับจด เอาดีได้ยาก ให้เอาธุดงค์ไปเลย ให้มันรู้สึกว่าลำบากแทบล้มประดาตาย เดี๋ยวมันก็เห็นทุกข์เอง ไม่อย่างนั้นมันไม่เห็น

อยู่สบายกินสบาย พอเจอธุดงควัตรเข้าไป เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร นั่งอาสนะเดียวเป็นวัตร แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว หลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปธุดงค์แล้วหลงทาง เดินอดข้าวมาสองวัน พอวันที่สามหลุดออกจากชายป่า มาเจอบ้านโยมดีใจแทบตาย เห็นว่า ๑๑ โมงยังฉันได้ โยมเห็นว่าพระอดมาสองวันก็รีบหุงข้าวให้ ในระหว่างที่รอให้ข้าวสุกท่านเกิดเป็นลมไปก่อน ฟื้นขึ้นมาก็ปรากฏว่าเลยเที่ยงไปแล้ว ทำให้อด ไม่ได้ฉันอีก

พอวันที่สี่ท่านก็เดินไปเรื่อย ๆ กว่าจะเจอบ้านก็เกือบครึ่งวัน เมื่อบิณฑบาตได้ข้าวมาแล้ว ก็หลีกไปก็ปูผ้านั่งฉัน พอเปิดฝาบาตรฉันข้าวได้คำเดียว ช้างของชาวบ้านก็ดันตกมัน วิ่งมาทางนั้นพอดี หลวงปู่ท่านก็ต้องเผ่นลุกออกไป ทีนี้พระธุดงค์ท่านถือว่า นั่งฉันแล้ว...ถ้าลุกคือเลิกเลย แล้วหลวงปู่เพิ่งฉันได้คำเดียวด้วย ตกลงว่าสี่วันได้ฉันข้าวคำเดียว แต่ว่าท่านลำบากอย่างนั้นแล้วท่านมักจะได้มรรคได้ผล ตามที่ท่านต้องการ เพราะว่าจะให้ลำบากกว่านั้นมันไม่มีแล้ว อดจนแทบล้มประดาตาย แล้วท่านก็ยังไม่ยอมละเมิดศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต

ถ้าหากว่าทำตัวให้ลำบากไว้ ต่อไปอะไร ๆ ก็จะสบาย อาตมาเองตอนช่วงธุดงค์ ด้วยความที่ตัวเองลำบากมามาก เป็นลูกชาวไร่ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พอมาเป็นทหารก็เจอการฝึกทั้งกลางวันกลางคืนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ร่างกายจิตใจมันก็เลยที่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง เดินธุดงค์มันก็รู้ว่าลำบาก เชื่อไหมว่ามันลำบากเสียจนแทบล้มประดาตาย จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๑ มันจึงยอมรับว่าทุกข์ ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยยอมรับเลย มันนึกอยู่อย่างเดียวว่าแค่นี้กูไปได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ เราก็จะไม่นึกถึงความตาย มันไม่ลำบากจริง ๆ มันก็จะไม่นึกถึงความทุกข์ แล้วถ้าไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ สันดานอาตมาก็ไม่นึกขอให้คนช่วยเสียด้วย พอมันถึงที่สุดของที่สุดแล้วมันค่อยนึกถึงพระ นึกถึงครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นมันนึกอย่างเดียวว่าของแค่นี้เราเคยผ่านมาแล้ว เราไปได้

ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเราอยากจะเอาดีต้องยอมลำบาก สบายไม่ได้ ที่อาตมาออกจากวัดท่าซุงมาก็ด้วยเหตุนี้ เพราะว่าตอนที่อยู่วัดมันแทบจะก้าวถึงจุดสูงสุดแล้ว พระพี่พระน้องทั้งวัดเขายอมรับแล้วว่าเราแสบสุด ไม่มีใครยิ่งกว่านี้แล้ว ถ้าหากอยู่ลักษณะอย่างนั้นแล้วมันจะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะในเมื่อคนอื่นเขายกไว้ในที่สูงแล้วมันหาคู่แข่งไม่ได้ ในเมื่อมันหาคู่แข่งไม่ได้ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดจะใฝ่ดีจริง ๆ มันก็ไม่ไปดิ้นรน มันก็จะหยุดนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่า แล้วก็มีอยู่ทางเดียวคือออกมาตกระกำลำบากข้างนอก มันก็จะได้รีดสมรรถภาพตัวเองออกมาอีก จะได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง


เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-11-2009 เมื่อ 08:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-11-2009, 12:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ช่วงบ่ายภายในวันเดียวกันหลวงพ่อได้อ่านหนังสือให้ฟังว่า

"ในสังยุตตนิกาย นิทานวรรค พระพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลีว่า

ภิกษุทั้งหลาย ในบัดนี้ภิกษุทั้งหลายมีท่อนไม้เป็นหมอนหนุน อยู่อย่างไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ในชั้นความเพียรที่เป็นหลักเป็นประธาน มารผู้ใจบาปจึงหาช่องทางทำลายล้างมิได้ หาโอกาสทำตามอำเภอใจแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลยืดยาวในอนาคตนั้น ภิกษุทั้งหลายจะทำตนเป็นสุขุมาลชาติ มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนิ่ม จักสำเร็จการนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม มีหมอนใหญ่ ๆ ไว้หนุน นอนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น คราวนั้นมารผู้ใจบาปก็จักได้ช่องทำลายล้าง จักได้โอกาสที่ทำตามอำเภอใจ แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจว่า เราทั้งหลายจักใช้ท่อนไม้เป็นหมอนหนุน จักกินอยู่อย่างไม่ประมาท จักมีความเพียรเผากิเลสในชั้นความเพียรที่เป็นหลักเป็นประธานดังนี้"

แล้วท่านก็กล่าวว่า "จำเอาไว้ว่าถ้าไม่ยอมลำบากนี่ตายเร็ว สังเกตไหมคนที่มีความทุกข์มาก ๆ จะอายุยืน มันเหมือนกับว่าเขาถูกความทุกข์คอยกระหน่ำรุมเร้าอยู่ จนกระทั่งพลังชีวิตมันกล้าแข็งกว่าคนทั่วไป ก็เลยอายุยืน เพราะฉะนั้นเราเองถ้าอยากได้ดีต้องยอมทนลำบาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-11-2009 เมื่อ 12:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-02-2010, 10:31
ตั้มศักดิ์ ตั้มศักดิ์ is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 53
ได้ให้อนุโมทนา: 7,698
ได้รับอนุโมทนา 29,843 ครั้ง ใน 592 โพสต์
ตั้มศักดิ์ is on a distinguished road
Default

ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ในเว็บพลังจิตนะครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตั้มศักดิ์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว