กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-03-2018, 09:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม จะจับการกระทบของลม ฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐาน หรือรู้ตลอดกองลมก็ได้

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากคำถามที่ได้ถามมาในเว็บก็ดี หรือว่าฝากคำถามมากับบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ดี แสดงออกให้เห็นชัดว่า ญาติโยมทั้งหลายที่สอบถามมานั้น ส่วนใหญ่กำลังใจไม่สามารถที่จะทรงสมาธิได้ เพราะว่าถ้ากำลังใจทรงสมาธิได้ ก็จะไม่ไปฟุ้งซ่านถามคำถามในลักษณะแบบนั้น

การทรงสมาธินั้นสำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ ถ้าความรู้สึกของเราอยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ชั่วคราว แม้กระทั่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานได้มารจะมองไม่เห็น เพราะว่าผู้ที่ทรงฌานได้ อำนาจของฌานจะกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว ในเมื่อไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นบริวารคอยรายงาน คอยส่งข่าว มารก็ย่อมหาผู้ทรงฌานไม่เจอ

เราจะเห็นว่าแม้ในความเป็นโลกียะ ก็คือยังคลุกคลีอยู่กับโลก เราก็สามารถที่จะหลีกหนีมารได้ชั่วคราว แต่ถ้าก้าวขึ้นถึงโลกุตระคือเหนือโลก โอกาสที่เราจะพ้นเงื้อมมือมารก็เป็นไปตามลำดับขั้นที่เราก้าวไปถึง ดังนั้น...ในส่วนของอานาปานสติจึงเป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด ที่เราควรจะจดจ่อ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ชนิดที่ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ปฏิบัติแค่พอเป็นนิสัย

ถ้าหากว่าบุคคลเราตั้งใจปฏิบัติภาวนา ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน จะต้องทรงฌานได้แน่นอน เพียงแต่ว่าทรงฌานแล้ว ท่านทั้งหลายจะรักษาฌานนั้นเอาไว้ได้นานแค่ไหน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2018 เมื่อ 13:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-03-2018, 20:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าถึงเวลามารรู้ว่าเราจะพ้นมือไป ก็พยายามที่จะขัดขวางสุดชีวิต ถ้าตัวเราไม่มีสัจจะคือความมั่นคง ไม่มีขันติคือความหนักแน่นอดทน ไม่วิริยะคือความพากเพียรไม่ย่อท้อ เราก็จะพ่ายแพ้ให้แก่มารเสมอ

ดังนั้น...ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ความจริงจัง จริงใจ ความพากเพียรบากบั่น อดทนอดกลั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อยากได้ดีต้องขยัน คำว่า ขยัน ในที่นี้ ถ้าหากเอาตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าต้องทรงสมาธิได้ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สามารถทรงสมาธิได้ตลอดเวลา อย่างน้อยในแต่ละวันช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ต้องทรงสมาธิให้ได้ โดยเฉพาะช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ถ้าเราสามารถทรงสมาธิได้ก็จะอยู่สุขอยู่เย็น เพราะว่ากิเลสโดนดับลงชั่วคราว ถ้ารักษาอารมณ์ได้ดี ๆ ก็จะเย็นกายเย็นใจได้ทั้งวัน

ส่วนช่วงค่ำนั้นส่วนใหญ่เราปฏิบัติภารกิจมาตลอดทั้งวัน ร่างกายอ่อนล้าแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย อาศัยเวลาก่อนนอนกราบพระสักสามครั้ง เมื่อนอนลงก็ให้ตั้งใจว่าร่างกายนี้เหยียดยาวลงก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว ถ้าไม่สามารถที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลกในวันรุ่งขึ้น เราก็ขอไปอยู่พระนิพพาน แล้วเอากำลังใจของเราจับภาพพระหรือภาพพระนิพพานเอาไว้ กำหนดภาวนาจนกระทั่งหลับไป จิตของเรามีสภาพจำ และหลับไปในขณะที่ภาวนา ถ้าตายลงไปตอนนั้น ท่านก็จะไปตามกำลังสมาธิของท่าน

ดังนั้น...ในส่วนของการปฏิบัติ ถ้าทำมากไม่ได้คือทรงกำลังใจทั้งวันไม่ได้ ก็ให้ทำน้อยลง คืออย่างน้อยให้ทรงกำลังใจไว้ได้สักเช้า ๆ เย็น ๆ หรือถ้ารู้สึกว่าไม่พอเพียงก็ให้เพิ่มช่วงกลางวันขึ้นมา เราจะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับกิเลส และต่อสู้กับการงาน ยิ่งสมาธิทรงตัวมากเท่าไร เรื่องของการปฏิบัติงานก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เราจดจ่อ ตั้งมั่น และทำได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2018 เมื่อ 20:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:33



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว